วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เมื่อเราอยากเป็นมนุษย์ไอเดีย.....


เมื่อเราอยากเป็นมนุษย์ไอเดีย...


จากหนังสือ (Creative สร้างสรรค์สร้างได้ ผู้เขียน คือ มนต์ทิวา-นเรศร์ มหาคุณ)



หนังสือเล่มนี้จะอธิบายถึงแนวทางหรือกระบวนการคิด เพื่อก่อให้เกิดไอเดีย หรือความคิดสร้างสรรค์ โดยมีหลักการง่ายๆ คือ สังเกตุ สมาธิ ฟัง คิด ถาม อย่างเปิดใจ...ตลอดจนจัดลำดับความคิด และอย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว เพราะความคิดสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่มักจะเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ก่อนเสมอ



คุณอยากเป็นยอดคนที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อยู่เสมอหรือไม่ นอกจากองค์ประกอบมากมายที่กล่าวไปแล้ว การทำจิตใจให้สดชื่นเสมอนี่แหละที่อยากให้คุณทำให้ได้ เพราะผู้มีพลังสร้างสรรค์ที่แท้จริงต้องมีสุขภาพจิตที่ดี มองทุกสิ่งรอบตัวให้เป็น ความสุข แม้แต่ปัญหาหรืออุปสรรคขวากหนามก็จะมองมันเป็นเรื่องท้าทายและพิจารณาอย่างใจเย็น



ทำอะไรก็ได้ให้เกิดการผ่อนคลาย นั่นแล....แม้แต่การเคี้ยว การขยับกล้ามเนื้อปากก็ยังเป็นทางหนึ่งที่สามารถกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างดี ด้วยเหตุนี้การกินจึงมักช่วยให้เราคิดออก เพราะเมื่อกล้ามเนื้อในปากขยับก็เท่ากับว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ขยับตามและมันจะทำให้เกิดกระบวนการผ่อนคลายขึ้น


ตอนนี้ มาแนะนำวิถีทางแห่งการพักผ่อนเพื่อให้ความคิดสร้างสรรค์ไหลมาเทมาละกันนะ หนังสือบอกไว้ว่า



1. การพักผ่อนระหว่างวัน หรือพักเบรก และอย่านอนดึกจนเกินไป อย่าเกินเที่ยงคืน ตื่นหกโมงเช้ามารับอากาศยามเช้า ไอเดียคนจำนวนมากจะพรั่งพรูหลังได้นอนพักและตื่นมารับอากาศดี


2. อ่านหนังสือผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นนิยาย นิตยสารสักเล่ม เพื่อเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ


3. ออกกำลังกาย ตามแต่ชอบเพื่อให้เหงื่อออก ทำให้เอ็นโดฟิน สารแห่งความสุขหลั่งออกมา


4. นัดทานอาหารกับเพื่อน ไม่ใช่นัดประชุมนะ นัดทานอาหารสบายๆ กินไปคุยเล่นกันไปจ้า ไอเดียมันอาจจะผุดขึ้นมาในวงก็ได้


5. ให้รางวัลตัวเองด้วยภาพยนตร์ดีๆ สักเรื่อง เพราะนักสร้างสรรค์จำนวนไม่น้อยได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์สนุกๆ หรือมีแง่คิดสาระที่ดี


6. ดนตรีบำบัด เพราะดนตรีทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อย่าฟังแบบกระโชกโฮกฮากหละ ถ้าไม่ต้องสร้างสรรค์หนังบ้าระห่ำบันลือโลก ก็อย่าฟังเลย ฟังแบสบายๆ เรื่อยๆ เพื่อสร้างความครื้นเครงให้จิตใจและสมอง อารมณ์จะได้เบิกบานแบบพอดี ไอเดียถึงจะเฉิดฉายออกมาได้



ทั้งหมดที่บอกไปข้างบน คือ แนวทางบางส่วนที่ช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์


ที่สำคัญ จงจำเอาไว้ว่า......


ทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์ เสมอ ความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่แค่ผลงานศิลปะ ที่ศิลปินสร้างสรรค์ เท่านั้น แต่มันคือ ไอเดียต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการคิดของสมองเราที่ทุกคนต่างก็มีเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราจะดึงมันออกมาใช้เมื่อไหร่ มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง



หนังสือเล่มนี้ยังแนะนำข้ออื่นๆ อีกมาก ทั้งแง่การรับมือความขัดแย้ง การโต้แย้งอย่างมีเหตุผล การเปลี่ยนแปลงตนเอง และการหัดมีมุมมองใหม่ๆ อยู่เสมอ ..... (ฟังคุ้นๆ ว่าจะเป็นนวัตกรรมนะคะ หุหุ)




สิ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้


.....ก็ เขียนไปแล้วข้างบน ได้เทคนิค ได้แนวคิด ซึ่งจริงๆแล้ว เป็นแนวทางง่ายๆ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า basic and simple นั่นแหละ


อย่างน้อยอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วก็มีกำลังใจ ที่จะอ่านสรุปและวิเคราะห์ เนื้อหา climate change ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ ที่กองพะเนินบนโต๊ะ ตอนนี้ต่อไป.... ทำไป พิจารณามันไปว่า มันคือ ความท้าทายและต้องมีความสุขกับมัน เพื่อลดความรู้สึกเบื่อหน่าย และยัง เห็นสัจธรรม ว่า เหนื่อยก็พัก ....เพราะบีบคั้นสมองมากเกินไป ไอเดียมันก็ไม่เกิดหรอกค่ะ


อ่านและสรุปโดย ภัทราวดี ค่ะ

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

CSR การสร้างธุรกิจด้วยพลังวิสัยทัศน์

มาร์ก อัลเลน เขียน
ไพโรจน์ ภูมิประดิษฐ์ แปล

(CSR ย่อมาจาก Corporate Social Responsibility หมายถึง ความรับผิดชอบขององค์กรธุรกิจต่อสังคม )


เป็นหนังสือปรัชญาการทำธุรกิจที่มองถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สิ่งสำคัญคือการมีวิสัยทัศน์ เป็นเรื่องของชายสูงวัยชื่อเบอร์นี เข้ามาแนะนำแนวทางธุรกิจให้กับธุรกิจขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มต้นแห่งหนึ่งเป็นการร่วมหุ้นกันกับเพื่อนๆรวม 3 คน เบอร์นีแนะนำว่าบริษัทควรมีคนตัดสินใจหลัก และต้องมีแผนธุรกิจในระยะ 5 ปี และจินตนาการถึงภาพความสำเร็จของบริษัทในอนาคต แผนธุรกิจจะต้องแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะปัญหาอุปสรรคทั้งภายนอกและภายใน(ความกลัว ขาดความนับถือตนเอง ขาดประสบการณ์ความรู้ ลังเลสงสัย) ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนั้นมีรากฐานมาจากวิสัยทัศน์ การมองเห็นโอกาสในภาวะปัญหาเป็นสิ่งสำคัญ ทำความปรารถนาให้เป็นความตั้งใจ ถือผลประโยชน์ของบริษัทให้เหนือนกว่าผลประโยชน์ของตัวเอง แบ่งผลกำไรให้บุคคลหรือองค์กรที่ทำงานเพื่อให้โลกนี้ดีขึ้น(ทำงานช่วยเหลือผู้คนและสิ่งแวดล้อม) เมื่อ"ให้"จะได้รับสิ่งตอบแทนที่สำคัญ มากกว่าด้านการเงิน นั้นคือความเบิกบานใจ

แบ่งผลกำไรให้พนักงานมากพอ และให้พนักงานมีสิทธิถือหุ้น ให้ความสำคัญกับสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดีของพนักงาน จ้างคนที่หลงรักงานของเขาและให้เขาทำในงานที่เขารัก ความสัมพันธ์ในที่ทำงานควรเป็นเหมือนการเต้นรำไม่ใช่การต่อสู้ ปล่อยวางความคิดเชิงลบและเชื่อมั่นในความคิดเชิงบวกที่เสริมอัจฉริยภาพในตัวเอง เรียนรู้อยู่เสมอกับธุรกิจ จากคนและจากทุกสิ่ง ทำในสิ่งที่รัก ทำงานด้วยความรัก อยู่ด้วยความรัก ธุรกิจสำเร็จได้นั้นมาจากความรัก ความปรารถนาดี การคิดกว้าง และการให้

จุดมุ่งหมายสูงสุดของธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์มิใช่การหาเงิน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงโลก โลกขณะนี้ไม่ได้ขาดเงิน แต่ขาดความเข้าใจและภาวะสร้างสรรค์ คือขาดวิสัยทัศน์ วิสัยทัศน์ของคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้
“จงอยู่ให้ห่างจากคนที่พยายามเย้ยหยันปณิธานของคุณ
คนที่ไม่ยิ่งใหญ่มักทำเช่นนั้น
แต่ผู้ที่ยิ่งใหญ่จริงจะทำให้คุณรู้สึกว่า
คุณก็สามารถยิ่งใหญ่ได้ด้วยเหมือนกัน”
มาร์ค ทเวน

ปล. ผู้อ่าน ประไพ ใจมั่น เจ้าหน้าที่ส่วนกลาง
"ช้าไปนิด...แต่....คิดถึงเสมอ" เหอๆๆ

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คู่มือมนุษย์ทำงาน

เขียนโดย รศ.ดร.บวร ปภัสราทร


ผกามาศ ทรงโยธิน

เลิกนกทา จ.ยโสธร


คนเราทุกคนต่างมีหน้าที่การงานที่ต้องทำในแต่ละวัน บางงานก็ทำเพื่อตัวเองและครอบครัว บางงานทำเพื่อคนอื่น บางงานทำเพราะจำใจต้องทำ ดังนั้นในแต่ละวัน เราจึงมีโอกาสทั้งสนุกและทุกข์กับงาน แต่ถ้าทำใจให้เป็นกลาง วางอคติต่างๆลง แล้วมองดูงานนั้นในแง่ของภาระที่ต้องขับเคลื่อนให้เกิดความสำเร็จ พร้อมกับดูงานนั้นเสมือนห้องเรียนที่ช่วยสอนความรู้ใหม่ๆดีๆให้กับเราอย่างไม่รู้จบ หลายครั้งงานที่ยากให้บทเรียนสามารถนำไปประยุกต์ได้กับงานอื่นมากมาย หลายครั้งงานที่ไม่มีผลตอบแทนแต่ให้ความรู้กลับมาอย่างมากมาย และในการทำงานนั้น ในบางครั้งจำเป็นต้องมีหัวหน้า บางครั้งต้องมีลูกน้อง หรือบางครั้งต้องมีการทำงานเป็นทีม ในหนังสือเล่มนี้นั้นได้มีให้แง่คิดในการทำงานไว้ทั้งหมด 36 ข้อคิด โดยแบ่งย่อยไว้ 4 หัวข้อใหญ่ด้วยกัน


1. ว่าด้วยการเป็นผู้บริหาร

- เก่งแค่ก่อนรับตำแหน่ง ผู้บริหารที่เป็นแบบนี้มีสาเหตุมาจากหลายๆสาเหตุด้วยกันเช่น ดีแต่คุยเรื่องการบริหารแต่บริหารไม่เก่ง, ก่อนรับตำแหน่งมีข้อมูลในงานที่ต้องบริหารไม่มากพอเมื่อรับตำแหน่งจึงได้รู้ว่ามีข้อจำกัดและอุปสรรคมากมายทำให้ทำอย่างที่พูดไม่ได้ หรือแม้แต่ในเรื่องของผลประโยชน์ ก่อนรับตำแหน่งไม่มีผลประโยชน์ใดๆเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้พูดได้มากมายแต่เมื่อเข้ารับตำแหน่งแล้วกลับทำไม่ได้ ซึ่งผลประโยชน์นี้ไม่ได้มีเฉพาะเงิน ทองเท่านั้นแต่รวมถึงอำนาจวาสนาและการเลือกที่รักมักที่ชังด้วย

- เปลี่ยนงานให้เหมาะกับคนหรือเปลี่ยนคนให้เหมาะกับงาน ผู้บริหารส่วนใหญ่นิยมเปลี่ยนคนให้เหมาะกับงานโดยดูจากการมอบหมายงานให้คนๆนั้นทำ แต่ถ้าหากวันหนึ่งเราไม่สามารถเปลี่ยนคนให้เหมาะกับงานได้ ผู้บริหารควรทำงานนั้นๆให้เป็นงานที่น่าพึงพอใจ เพราะหากคนทำงานมีความพึงพอใจในงานนั้นๆผลงานที่ออกมาจะสำเร็จและงดงาม

- ผู้ใหญ่ที่มีสาระ ผู้ใหญ่แห่งวงการในวันนี้ไม่ใช่เพียงแค่การเป็นผู้ที่มีอายุมากกว่าคนอื่นๆในวงการนั้นๆ แต่ต้องเป็นผู้ที่มีทั้งสาระและทักษะ ซึ่งผู้ใหญ่ที่มีสาระนั้นจะมีการชมมากกว่าการตำหนิ, เป็นนักฟังที่ดี, ไม่อวดฉลาด, ไม่ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ และที่สำคัญต้องมีการวางแผนในการทำงานจากข้อเท็จจริงไม่ใช่ความรู้สึกหรือความเชื่อส่วนตัว

- สอนหรือสั่งให้ทำ ผู้บริหารส่วนใหญ่เราสามารถจำแนกสไตล์การบริหารได้หกรูปแบบ ซึ่งรูปแบบหนึ่งที่ผู้บริหารเป็นมากคือสั่งให้ทำอย่างเดียว พนักงานที่คุ้นเคยกับการบริหารแบบนี้จะมีอาการพิการทางความคิด และผู้บริหารเองมักคิดว่าพนักงานไม่มีความคิดความสามารถที่เพียงพอจึงต้องใช้การบริหารแบบนี้ จึงเป็นเหตุให้องค์กรขับเคลื่อนไปได้อย่างช้าๆจนเกือบไม่เห็นกรขับเคลื่อน

- ไม้อ่อนคนดัด ไม้แก่ดัดคน เทคโนโลยีต่างๆเมื่อนำมาใช้ใหม่ๆต้องผ่านการยอมรับ คัดเลือก จากผู้คนในองค์กรและเมื่อเทคโนโลยีนั้นพัฒนาไปเรื่อยๆจนถึงระดับหนึ่ง จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีจะกลายเป็นสิ่งที่กำหนดว่าผู้คนในองค์กรนั้นจะต้องมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและการทำงานให้เข้ากับเทคโนโลยี เช่นเดียวกับกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆที่มีอยู่ในองค์กรแต่ละองค์กรไม่ต่างจากเทคโนโลยีเหล่านี้เช่นกัน

- เมื่อขุนเขาว้าเหว่ อาการนี้จะเกิดขึ้นกับผู้บริหารที่คิดเสมอว่าตนนั้นเก่ง เด่น ฝีมือดี พนักงานทำอะไรให้ไม่ถูกใจ ต้องคอยสั่งและกำกับตลอดเวลา รวมไปถึงเมื่อประสบความสำเร็จในชิ้นงานหนึ่งๆกลับรับความสำเร็จนั้นคนเดียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้พนักงานเกิดอาการ กินแรงและออมฝีมือในการทำงานจนไปถึงอาการสอพลอ และเกิดการไม่จริงใจต่อกัน

- อะไรทำให้ผู้บริหารขี้อิจฉา ผู้บริหารที่มีอาการนี้มักเกิดกับผู้บริหารที่มีความสามารถไม่พอ และมักกลัวจะสูญเสียตำแหน่งหรือความสำคัญของตนในองค์กร ซึ่งคนที่แย่ที่สุดกับอาการนี้ของผู้บริหารคือพนักงาน เพราะต้องคอยรองรับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของผู้บริหารคนนั้น

- ดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพของทีมบริหารที่มาจากหลายพวก การดูประสิทธิภาพการบริหารงานส่วนใหญ่มักดูจากความรวดเร็วและถูกต้องในการทำงานแต่หากเป็นการทำงานของทีมผสมจะต้องคำนึงถึงความโปร่งใสในการวางนโยบายและการบริหารด้วย

- ลูกน้องชั้นดี ความสำเร็จของการทำงานนั้นเกิดจากการมีหัวหน้าดีเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์แต่เกิดจากการมีลูกน้องดีมากถึง80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากผู้บริหารคนใดต้องการลูกน้องที่ดีต้องดูตัวเองก่อนว่า มองเห็นลูกน้องเป็นพันธมิตรเพื่อนคู่คิดหรือไม่, มองเห็นความเจริญก้าวหน้าของลูกน้องเป็นสิ่งสำคัญหรือไม่และตนเองนั้นอยากเป็นพระเอก นางเอกของเรื่องหรืออยากเป็นผู้กำกับ


2. ว่าด้วยการเป็นพนักงาน

- เมื่อตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง มีข้อแนะนำคือหลีกเลี่ยงการเข้าไปมีส่วนร่วมกับความขัดแย้งนั้น หรือตัดใจเข้าข้างใดข้างหนึ่ง หรือเสนอให้ทุกฝ่ายประนีประนอมกัน

- โกรธผู้บริหาร การที่พนักงานจะไม่พอใจผู้บริหารจะมีหลายสาเหตุด้วยกันเช่น จุดประสงค์หรือเป้าหมายในชีวิตการทำงานถูกกีดกันหรือปิดโอกาส, ความแตกต่างในเรื่องอำนาจหน้าที่ของแต่ละคน, การถูกเปรียบเทียบอยู่เสมอ, ความไม่พอใจระหว่างกันภายในองค์กร เป็นต้น

- ทุกข์ของลูกน้องที่มีเจ้านายเก่งเกินไป ผู้บริหารที่เก่งเกินไปมักจะเห็นลูกน้องของตนด้อยฝีมือด้อยความคิด ดังนั้นในการทำงานทุกอย่างผู้บริหารจะเป็นผู้นำแต่เพียงผู้เดียว จึงทำให้ลูกน้องที่มีกลายเป็นลูกน้องประเภทเอาตัวรอดไปวันๆเท่านั้น ส่วนลูกน้องที่ปัญญาก็กลายเป็นหุ่นยนต์ที่น่าสงสาร

- เมื่อต้องอยู่กับผู้บริหารขี้อิจฉา หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องทำงานกับผู้บริหารที่มีลักษณะอย่างนี้พึงเตือนตนเองเสมอว่า จงทำดีแต่อย่าเด่น

- เมื่อต้องทำงานกับคนชอบหักหลัง คนที่ชอบหักหลังผู้อื่นจะมีสิ่งที่น่าสังเกตอยู่คือ ไม่รักษาคำพูด มักปกปิดข่าวสาร ไม่มีการแบ่งปันสาระใดๆให้กับผู้อื่น แต่อยากมีส่วนรับรู้สาระของผู้อื่น ไม่รักษาความลับ และที่สำคัญไม่ยอมรับผิด

- ถามแล้วโกรธ การที่ผู้บริหารมีอาการโกรธเมื่อถูกถามนั้นจะสะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับผู้บริหารคนนั้นๆซึ่งอาจมองได้ว่า ผู้บริหารนั้นมีความรู้สึกว่าตนถูกลองภูมิ, ไม่มีความรู้ในเรื่องที่ถูกถามหรือผู้บริหารคนนั้นกำลังปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้

- ไม่รู้ไม่ถาม การแลกเปลี่ยนความรู้ในที่ทำงานระหว่างพนักงานจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยสิ่งสำคัญคือความเชื่อถือ เชื่อมือ ระหว่างกันไม่จำเป็นว่าพนักงานนั้นจะต้องทำงานอยู่ในแผนกเดียวกันหรือไม่ ที่น่าสนใจ คือพนักงานที่อยู่ต่างแผนกกันจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันมากกว่าพนักงานที่อยู่ในแผนกเดียวกันซึ่งความเชื่อถือกันจะเกิดขึ้นได้จาก การนึกคิดของพนักงานเอง, การพบเห็นฝีมือของผู้นั้น, การที่ต้องช่วยเหลือกันทั้งในองค์กรและการที่พนักงานที่รู้ช่วยเหลือพนักงานที่ไม่รู้เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง

- เข้าใจกระจ่างแจ้งไม่มีทะเลาะเบาะแว้ง ส่วนสำคัญอยู่ที่คนให้กับคนรับข้อมูลข่าวสาร ต้องมีการให้แบบกระจ่างไร้ข้อข้องใจ ไม่ต้องมีการคิดต่อยอดมากมายนัก ผู้รับจะได้ไม่ต้องมีการปรุงแต่งข้อมูลนั้นมากมาย

- นิสัยการทำงานแบบไม่ใช่มืออาชีพ คนที่ทำงานแบบมืออาชีพนั้นเริ่มจากการรู้หน้าที่ รู้พันธกิจของตนเองอย่างชัดเจน มีการกำหนดเป้าหมายที่เป็นจริงได้ ในขณะเดียวกันชอบเสาะหาความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่ของตนเอง ขณะทำงานใส่ใจกับกระบวนการทำงาน ไม่กลัวความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น

- เมื่อเครื่องมือทันสมัยแต่ผู้ใช้ไม่พัฒนา หากเราไม่สามารถปฏิเสธเทคโนโลยีใหม่ๆที่พัฒนาอย่างรวดเร็วได้เราต้องคิดว่าทำอย่างไรที่จะไม่ให้เกิดความเสียหายจากความเร็วของเทคโนโลยีนั้นๆ ซึ่งอาจทำได้โดยการมองและวิเคราะห์ตัวเองก่อน, ปรับเปลี่ยนการทำงาน แต่สุดท้ายก็ต้องเลือกระหว่างประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดกับความพึงพอใจของคนทำงานในองค์กร


3. ว่าด้วยการทำงานเป็นทีม

- เริ่มด้วยการขึ้นบันไดแห่งการเป็นบัณฑิต ผู้ที่เป็นบัณฑิตต้องมีคุณสมบัติคือ เป็นผู้ที่มีความรู้, มีความคิด, มีความสามารถและต้องมีคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งบัณฑิตที่ดีนั้นสามารถแบ่งได้ 4 ระดับด้วยกันคือ ระดับขั้นพื้นฐานคือต้องมีความรู้ทั่วไปในวิชาชีพของตน ระดับขั้นก้าวหน้าคือต้องมีการพัฒนารู้จักแสวงหาความรู้ใหม่ๆ มีความคิดสร้างสรรค์ ระดับเชิงรุกคือต้องรู้จริงไม่ใช่แค่จำ คิดเป็นขั้นตอน และระดับเป็นเลิศคือ มีทักษะที่เชี่ยวชาญทำงานได้อย่างแม่นยำ สอนคนอื่นได้

- คนเก่งอยู่ผิดเวที ปัญหาคือจะพบกับความยากลำบากและความล้มเหลวในการทำงาน เพราะคนเก่งมีปัญหาในเรื่องของการเรียนรู้และการไม่สามารถยอมรับความล้มเหลว ซึ่งคนเก่งที่แท้จริงนั้นต้องกล้าที่จะยอมรับความจริง ไม่แสวงหาแต่แพะ และอดทนพอที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

- ทฤษฎีว่าด้วย คนมีความรู้ ธุรกิจในอนาคตจะใช้ความรู้เป็นปัจจัยในการทำงาน ดังนั้นจึงมีความซับซ้อนในการทำงานมากขึ้นเนื่องมาจากต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน จึงทำให้เกิดปัญหาระหว่างบุคคลมากขึ้นตามจำนวนพนักงาน ดังนั้นผู้บริหารควรต้องหากลยุทธ์ในการบริหารจัดการกับพนักงานของตนที่มีอยู่แต่ละคนอย่างจำเพาะเจาะจง

- เก่งทั้งทีมแต่กลับล้มเหลว อาการนี้วงการบริหารเรียกว่า อาการอพอลโล ซึ่งเกิดจากการเอาคนเก่งมารวมกันและไม่ยอมรับความสามารถของกันและกันได้ ในการทำงานจึงเกิดการใช้เวลาส่วนใหญ่ในการจับผิดกันและกัน เพื่อลดความน่าเชื่อถือของกันและกัน จึงทำให้งานที่ออกมาล่าช้าหรือล้มเหลวในที่สุด

- ความล้มเหลวของทีมคนเก่ง ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากอาการเสียกระบวนท่า ซึ่งมีสาเหตุมาจากสิ่งสำคัญ 2 ประการคือ การประสานงานและแรงจูงใจ หากต้องการให้งานออกมาดี ในการรวมทีมคนเก่งทำงานร่วมกันนั้นควรเริ่มต้มจากงานเดิมที่แต่ละคนทำอยู่ก่อนแล้ว เพราะความเชี่ยวชาญและคุ้นเคยกับการทำงานนั้นดีกว่าเริ่มงานใหม่จะทำให้ทีมนั้นเสียเวลาพูดคุยหาวิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำงานชิ้นนั้นซึ่งในที่สุดจะเกิดอาการที่เรียกว่า วงแตกได้ ก่อนจะได้งานชิ้นใหม่

- ปัญหาของทีมที่หัวหน้าทีมแก่งแต่ลูกน้องแย่ เกิดจากสาเหตุที่ลูกน้องไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะเติมเต็มในส่วนที่หัวหน้าขาดได้ เห็นแก่ตัว และที่สำคัญหัวหน้าทีมไม่สามารถทำให้ลูกน้องเข้าใจและยอมรับวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ที่ใช้ในการขับเคลื่อนองค์กรได้

- สร้างทีมอย่างไรไม่ให้วงแตก ต้องดูปัจจัย 3 อย่างคือ คนที่จะเข้าร่วมทีม, งานที่จะมอบหมายและวิธีการสื่อสารระหว่างกัน มีข้อคิดอยู่ว่าทีมที่วงแตกขณะประสบความสำเร็จจะสามารถฟื้นทีมกลับมาใหม่ได้

- รักษาทีมให้อยู่รอด หัวหน้าทีมมีหน้าที่ที่สำคัญคือต้องทำนุบำรุงทีม รักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหัวหน้าทีมกับลูกทีมและลูกทีมกับลูกทีม ต้องดูความเหมาะสมลดความแตกต่างในการสนับสนุนสมาชิกในทีมไม่ให้มีหรือมีมากจนเกินไป

- ลดการประชุมเพื่อประหยัดพลังงาน ต้องพิจารณาว่าการประชุมในครั้งนั้นมีความสำคัญหรือไม่ ต้องใช้พลังงานมากน้อยแค่ไหน ซึ่งในการประชุมนั้นมี 3 สาเหตุคือ ธรรมชาติของคนเราชอบพบปะพูดคุย, บางคนคุ้นเคยจนเห็นว่าเป็นกิจวัตรที่ต้องทำ และเห็นว่าคนอื่นหรือหน่วยงานอื่นเขาทำกัน นอกจากสาเหตุเหล่านี้แล้วพบว่าในการประชุมนั้นช่วยให้ผู้บริหารรู้สึกปลอดภัยในการตัดสินใจกับเรื่องหรือเหตุการณ์หนึ่งๆที่เกิดขึ้นมากกว่าการตัดสินใจตามลำพัง


4. ว่าด้วยการพัฒนาตนเอง

- โกรธกระจก กระจกคือข้อมูลต่างๆที่เกิดจากการทำงานของเราและเป็นสิ่งที่จะบอกว่าวันนี้เราหรือองค์กรของเราเป็นอย่างไร เราไม่ควรโจมตีผู้ให้ข้อมูลเพียงเพราะข้อมูลนั้นไม่ถูกใจเราเพราะจะทำให้เราไม่สามารถมองเห็นตัวเองได้เลยว่าขณะนี้เราเป็นอย่างไร

- ฝีมือดีแต่ไม่มีคนเชื่อ ความเชื่อถือและไว้วางใจจะเกิดขึ้นกับองค์กรหนึ่งๆได้ องค์กรนั้นต้องมีกิจกรรมที่โดดเด่นและเป็นหนึ่งเดียว ผู้คนสนใจ สังเกต เข้าใจ และตีความในทางที่ดี ชัดเจน

- สมบูรณ์แบบนิยม องค์กรที่มุ่งหวังความสมบูรณ์แบบมากเกินไป จะเป็นองค์กรที่ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้เพราะคอยแต่นำความล้มเหลวเล็กๆน้อยๆมาวิเคราะห์ทำให้ไม่เกิดการริเริ่มสิ่งใหม่ๆ และในที่สุดอาจเกิดความแตกแยกในองค์กรได้ หากต้องการให้องค์กรพัฒนาควรลดความสมบูรณ์แบบลง มองความสำเร็จและร่วมกันแก้ไข ชี้แนะ ในสิ่งที่ล้มเหลว

- ตัดสินใจแย่ๆเพราะมั่นใจมากเกินไป การมั่นใจมากเกินมีผลเสียต่อการตัดสินใจในเรื่องสำคัญเพราะจะเกิดการลำเอียงต่อข้อมูลข่าวสารใช้ประสบการณ์ ความเชื่อและทัศนคติของตนเองในการตัดสินใจซึ่งจะนำมาซึ่งความผิดพลาดได้ง่าย

- เครือข่ายผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ หลายองค์กรยอมรับว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นภายในองค์กร ไม่ได้มาจากการทำงานตามลำดับขั้นที่เป็นไปตามแผนผังองค์กร แต่มาจากการประสานงานอย่างไม่เป็นทางการระหว่างพนักงานแต่ละกลุ่มภายในองค์กรนั้น โดยใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีเป็นส่วนใหญ่ และเครือข่ายที่อยู่เบื้องหลังของความสำเร็จนั้นมักจะเป็นพนักงานที่อยู่นอกสายตาของผู้บริหาร ซึ่งจะเป็นพนักงานที่มีลักษณะเป็นแกนกลาง, ตัวเชื่อม, ทูต และผู้เชี่ยวชาญ

- พอใจที่จะเปลี่ยนแปลง ผู้บริหารที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจะต้องพยายามส่งเสริมให้เกิดแรงส่งและลดแรงต้านให้มากที่สุด ซึ่งขอบเขตและวิธีการที่จะใช้ในการเปลี่ยนแปลงนั้นผู้คนต้องคุ้นเคยและยอมรับได้ สิ่งสำคัญต้องทำให้ทุกคนในองค์กรเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้คุณค่าของแต่ละคนลดลง

- คิดต่างกันอย่างสร้างสรรค์ องค์กรที่มีผู้คนหลากหลายย่อมมีมุมมองแตกต่างกัน ดังนั้นการเคารพและยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างกัน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้องค์กรนั้นมีการแก้ปัญหาที่ง่ายและพัฒนาที่เร็วขึ้น

- ทำใหม่ให้ดีกว่าเก่า การกระตุ้นให้พนักงานในองค์กรช่วยกันทำงานให้บรรลุเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ให้ได้นั้น วิธีที่ดี คือการนำข้อมูลข่าวสารของทุกฝ่ายในองค์กรมานำเสนอให้พนักงานได้ทราบ ไม่ว่าจะเป็นในทางบวกหรือลบ พร้อมกับชักชวนให้พนักงานช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรค ซึ่งสิ่งสำคัญ ผู้บริหารต้องทำตนให้เป็นที่ไว้วางใจและเชื่อถือได้ และเมื่อความสำเร็จมาถึง ต้องมีการตอบแทนพนักงานอย่างเหมาะสมทั่วถึงทั้งองค์กร

-----------------------------------------------------
จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้มาศได้เห็น, เรียนรู้และเข้าใจการบริหารการทำงาน เข้าใจบุคลิกลักษณะของแต่ละคนมากขึ้น ได้รู้ว่าการทำงานแบบนี้แล้วเกิดผลแบบนี้มาจากสาเหตุอะไรได้บ้าง และเราสามารถทำอะไรหรือแก้ไขอย่างไรได้บ้าง หนังสือเล่มนี้ เป็นการนำประสบการณ์การทำงานทั้งของตัวผู้เขียนเองและบุคคลรอบข้างของผู้เขียนที่ได้เกิดการเรียนรู้มารวบรวม วิเคราะห์ หาเหตุผล จนไปสู่การเผยแพร่เพื่อเป็นแนวทางในการใช้ชีวิตในการทำงานให้กับผู้อ่าน หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วทำให้มาศหันกลับมามองดูตนเอง วิเคราะห์ตนเองทำความเข้าใจกับตนเองมากขึ้น และที่สำคัญปรับตัว, อ่าน, วิเคราะห์, เรียนรู้ การทำงาน ของบุคคลที่เราต้องเกี่ยวข้อง ทำความเข้าใจในบุคลิกของแต่ละคนที่เราต้องทำงานด้วย ก่อให้เกิดการเข้าใจและยอมรับ มากขึ้น มีเหตุมีผลมากขึ้นและสามารถนำมาตอบคำถามมากมายที่มีอยู่ในใจเราที่ไม่เข้าใจถึงการกระทำของคนบางคนได้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง นอกจากนี้มาศสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน ทำให้มาศรู้ว่ามาศเองควรทำตัวอย่างไรเพื่อให้มีความสุขกับงานและเพื่อนร่วมงานในองค์กรที่ทำอยู่รวมถึงสมาชิกและบุคคลที่เราต้องเกี่ยวข้องด้วย และสามารถนำไปใช้กับงานส่งเสริมที่ทำอยู่ได้ในแง่ของการวางตัว การปฏิบัติกับสมาชิก เพื่อให้เกิดการต้องการทำงานร่วมกันในทุกฝ่ายและมีความสุขในการทำงานร่วมกัน

การเรียนรู้เพื่อการพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน

นางสุกัญญา พิมพ์ทอง

ศูนย์เกษตรอินทรีย์ยโสธร


ประมาณ 5 6 ปี ที่ผ่านมา วนเกษตรหรือศูนย์การเรียนรู้ชุมชนป่าตะวันออก เข้าไปทำงานกับชาวบ้านในชุมชนรอบป่าตะวันออก มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการค้นหาและทดลองทำงานกับชาวบ้านในชุมชนป่าตะวันออก และเพื่อการค้นหาและทดลองแนวทางในการสร้างการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นกับคนในชุมชนต่างๆ เพื่อให้คนและชุมชนสามารถพึ่งตนเองอยู่ได้อย่างเข้มแข็งยั่งยืน บนพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจที่พอเพียง สังคมเข้มแข็งและสิ่งแวดล้อมที่สมดุล

กระบวนการเรียนรู้เพื่อการพึ่งตนเอง

การเรียนรู้ จะต้องเกิดขึ้นตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวไม่ใช่แค่การอบรมแล้วจบ การอบรมเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ การเรียนรู้นี้จะทำให้เราค้นพบพลังงานเป็นฐานพลังงานที่เกิดขึ้นมาจากข้างใน ซึ่งทุกคนมีแต่ยังไม่เคยเอามาใช้

ทำอย่างไรคนจึงจะเรียนรู้

เมื่อประสบกับสภาวะปัญหาที่ยังหาทางไม่ได้ ถ้ายิ่งดิ้นรนปัญหาก็อาจจะมีบีบรัดรุนแรงมากขึ้นไปเอง สิ่งที่ควรทำ คือ การหยุดดิ้นรนและกลับมาตั้งสติ คิดทบทวน ทำความเข้าใจกับชีวิตใหม่ มองจากอดีตที่ผ่านมา กับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันอย่างเข้าใจ และจะพบว่ามีข้อบกพร่องมากมายที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จะมองเห็นในวิธีคิดที่เปลี่ยนแปลงไปของอดีตและปัจจุบัน จากวิถีชีวิตที่เคยพึ่งตนเองได้ในอดีตมาปัจจุบันกลับไม่สามารถพึ่งตนเองได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น การได้แลกเปลี่ยนความคิดได้เห็นกิจกรรมในการแก้ปัญหาชีวิตและชุมชนของคนเหล่านั้น ทั้งเหนือ กลาง ใต้ อีสาน เป็นการสะสมข้อมูลไปเรื่อยๆ จะทำให้เกิดความคิดใหม่ขึ้นมาได้ทีละเล็กทีละน้อย เกิดขึ้นใหม่ เป็นวิธีคิดใหม่และแนวทางในการดำเนินชีวิตใหม่ ของของมันที่เรียกว่าวิถีชีวิตแห่งการพึ่งตนเอง

และยังมีกระบวนการเรียนรู้เพื่อการพึ่งตนเอง อีกหลายขั้นตอน สำหรับเกษตรกรและชาวบ้านที่จะไปเริ่มต้นการเรียนรู้ตัวเองได้โดยการบันทึกรายจ่าย ซึ่งการบันทึกรายจ่ายคือ เครื่องมือชนิดหนึ่งที่ใช้ในการเรียนรู้เรื่องตัวเองจากข้อมูล การดำรงชีวิตในแต่ละวัน การบันทึกรายจ่ายเป็นการเก็บข้อมูลที่จะบอกแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี ชีวิตของเราและครอบครัวดำรงอยู่ได้ด้วยต้องจ่ายเงินไปให้กับเรื่องอะไรบ้าง และจ่ายไปเท่าไหร่ รายจ่ายที่บันทึกไว้เพื่อที่จะได้รู้ว่าร่ายจ่ายที่จ่ายไปนั้นมันจำเป็นต่อชีวิตเราหรือไม่ สิ่งของเครื่องใช้หลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่ต้องการอยากจะจ่ายแต่ก็ต้องจ่าย เพราะชีวิตดำรงอยู่ได้นั้น จำเป็นจะต้องมีปัจจัยมาหล่อเลี้ยงมีปัจจัย 4 เป็นพื้นฐาน และหลักการบันทึกรายจ่ายคือ คิดและทำ จริงใจกับการบันทึกและต้องทำต่อเนื่องเพื่อจะได้เรียนรู้ว่า รายจ่ายในแต่ละวันรวมกันแล้ว มันมีมากน้อยแค่ไหน อุปกรณ์การทำบันทึกรายจ่ายง่ายๆ แค่ปากกาหนึ่งด้ามสมุดหนึ่งเล่มแล้วจัดทำตารางแล้วเริ่มทำบันทึกได้เลย

การเรียนรู้และทำความเข้าใจปัญหาของตนเอง

ทุกคนมีปัญหาเหมือนกัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าคนส่วนใหญ่นั้นรู้จักการแก้ปัญหาหรือไม่ ส่วนปัญหานั้นมีทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ปัญหานั้นเกิดขึ้นได้กับตัวเราเองเพราะคนเราทำอะไรลงไปนั้น ไม่คิดให้รอบคอบ มันก็เลยกลายเป็นปัญหา ปัญหาส่วนใหญ่นั้น คือ เรื่องของเศรษฐกิจและการใช้เงินฟุ่มเฟือยและไม่ปฏิบัติตามหลักของเศรษฐกิจพอเพียง เราควรทำเข้าใจกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นและช่วยกันแก้ไขปัญหาให้ได้เท่านั้นเอง

คำตอบจากวนเกษตรทางรอดของเกษตรกร

ผู้ใหญ่วิบูลย์เคยเป็นเกษตรกรที่พาตัวเองวิ่งไปตามการพัฒนากระแสหลักอย่างเต็มกำลัง จุดเปลี่ยนของชีวิตอันเป็นวิถีทางใหม่จากการหันกลับไปหาภูมิปัญญาท้องถิ่น ประสบการณ์ที่สั่งสมจากการเลือกทางเดินมุ่งสู่วิธีการผลิตแบบใหม่ ทำให้ผู้ใหญ่กลายเป็นผู้นำทางความคิดและเป็นผู้นำด้านหลักเกษตรกร คนเราต้องเรียนรู้เพื่อการพึ่งตนเอง และผู้ใหญ่วิบูลย์ก็เปลี่ยนความคิดเพิ่มวัฒนธรรมชุมชน

ผู้ใหญ่วิบูลย์ ไม่ได้หันหน้าหนีความร่ำรวยเพียงแต่ว่า มันเป็นวิธีการที่ค่อยๆ สั่งสม เพิ่มขึ้นและผู้ใหญ่ก็ได้บอกสมุนไพรที่สามารถแก้โรคต่างๆ ได้ และยังมีการทำปุ๋ยหมักอีกด้วย ก่อนที่ผู้ใหญ่จะทำอะไรก็ต้องมีการวางแผนก่อนทำ

จุดเริ่มต้นของวนเกษตรเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2524 มาถึงวันนี้เป็นประสบการณ์กว่า 15 ปี และยังมีสวัสดิการยามแก่เฒ่า ผู้ใหญ่ยืนยันว่าวิถีชีวิตแบบวนเกษตรไม่ใช่การหยุดปลง แล้วปล่อยให้ชีวิตไหลไปอย่างไม่มีแบบแผนแต่อย่างใด แต่เป็นการมองการณ์ไกลของผู้ใหญ่ และการพึ่งตนเองเป็นการจัดชีวิตให้สัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ อย่างเหมาะสม สำหรับเกษตรกรก็ คือ การต้องพึ่งพาตลาด นายทุน ปัจจัยทั้งหมดนี้ตกอยู่มือคนอื่น เป็นสภาพที่ไม่ได้พึ่งตนเอง ผู้ใหญ่ใช้เวลาอยู่ในกรุงเทพฯ หลายปี แสวงหาอาชีพในระหว่างนั้นด้วย

แรงบันดาลใจที่อยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่

การเรียนรู้จากชีวิตจริง จากประสบการณ์ของคนรากหญ้าหรือที่เรียกว่า ระดับชาวบ้าน ผู้ใหญ่จึงเป็นตัวอย่าง ที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะในสังคมแบบใด การเรียนรู้การพึ่งตนเองเป็นเรื่องที่สำคัญกับทุกคน และจะได้ช่วยพัฒนาชุมชน ความยั่งยืนของชุมชน เมื่อพูดในวันนี้ยังดูราวเป็นชุมชนโดยยังมีระบบคุณค่าหรือคุณธรรมนำหน้า ชุมชนหนึ่งอาจสร้างความสัมพันธ์ความเข้าใจต่อกันได้ แต่ระหว่างชุมชนอาจมีปัญหากันบ้าง ถ้ามีระบบธุรกิจ ขณะเดียวกันไม่มีทางเลือกในการที่ทำให้จริยธรรมเกิดขึ้น สังคมที่ผู้ใหญ่พูดถึงอาจจะมีลักษณะของสังคมสมัยใหม่อยู่มาก ขณะเดียวกันก็มีองค์ประกอบของสังคมดั้งเดิมอยู่ด้วย ผู้ใหญ่ก็ให้ความหมายใหม่แก่ประเด็นสำคัญบางประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นฐานทางวัฒนธรรมเดิมในสังคมสมัยใหม่ ลักษณะที่ยืดหยุ่นเป็นคุณสมบัติทางความคิดของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เห็นพ้องกับทัศนะในการมองพัฒนาการสังคมโลกเป็นยุคเกษตรกรรม ยุคอุตสาหกรรม ยุคข่าวสาร ยุคหลังอุตสาหกรรม และอ้างอิงถึงหนังสือคลื่นลูกที่สามของทอฟเลอร์ ที่ได้บรรยายลักษณะของแต่ละยุค ผู้ใหญ่จึงไม่ค่อยผวากับการเข้ามาของโลกโลกานุวัตร มากไปกว่าการวิตกกับปัญหาเดิมๆ ที่มีอยู่ ผู้ใหญ่จึงวิเคราะห์หลักการพึ่งตนเองและการพัฒนาตนเองและของชุมชนให้ยั่งยืนและดีขึ้นให้มากกว่าเดิมและการเรียนรู้ได้แพร่ขยายในประเทศไทยอย่างกว้างขวาง

---------------------------------------------------------

ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านหนังสือ

1. กระตุ้นให้ตัวเองมีความเชื่อมั่นในแนวทางการพึ่งตนเอง

2. การเรียนรู้การแปรรูปผลผลิตทางด้านการเกษตร

3. เรียนรู้การวางแผนในการเพาะปลูกพืชในแต่ละฤดูกาล (เพาะชำ)

4. เรียนรู้การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เลือกสรรพืชผักพื้นบ้านในแต่ละท้องถิ่น

5. เรียนรู้การนำสมุนไพรมาใช้ในการบำบัดโรค

6. รู้จักแนวทางในการประหยัด ลด ละอบายมุข (ทำบัญชีครัวเรือน)

7. เรียนรู้การดำเนินชีวิตของคนรุ่นเก่า และแนวคิดของพ่อผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม ในแนวทางของวนเกษตร มีกิน มีใช้ มีหลักประกัน


บทกลอนที่ขอฝากไว้


ความเป็นเสือเหลืออะไรในวันนี้ เห็นแต่หนี้ทั่วเมืองกับเรื่องเศร้า

มาพลิกฟื้นผืนดินท้องถิ่นเรา ที่อับเฉาให้เรืองรองดั่งทองมา

ให้รวงข้าวพราวไสวในท้องทุ่ง ให้วันพรุ่งมีรอยยิ้มอิ่มทั่วหน้าเศรษฐกิจพอเพียงเลี้ยงชีวา สุขประสา เสรีชน คนติดดิน...........

10 มหัศจรรย์ พลังงานทดแทน กู้วิกฤตโลกร้อน


นายวิชัย พิมพ์ทอง

ศูนย์เกษตรอินทรีย์ ยโสธร



ศตวรรษที่ 21 เป็นโลกสังคมข้อมูลข่าวสาร ทุกคนสามารถที่จะรับรู้ได้อย่างทั่วถึงและเลือกสรรสาระในข้ามูลข่าวสารนั้นๆ นำมาใช้หรือวางแผนในการดำรงชีวิตของตนเองและคนรุ่นหลังในอนาคตได้อย่างชัดเจนและมีเป้าหมาย

ปัจจุบันสมัยของสังคมมนุษย์มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น เพื่อการพัฒนาสังคมการทำงานและความสะดวกสบายของตนเอง และเป็นส่วนมากที่เทคโนโลยีสมัยใหม่ ต้องใช้พลังงานในการขับเคลื่อนตังเอง เช่น ก๊าซ น้ำมัน

มีการคาดคะเนว่า น้ำมันจะหมดโลกอีก 50 ปีข้างหน้า เมื่อมนุษย์รีดเค้นเอาวัตถุพลังงานจากโลกมาใช้มากจนเกินไป ซึ่งทำให้โลกต้องเจอกับภาวะวิกฤติ เกิดมลพิษสภาวะเรือนกระจก ทำลายสิ่งแวดล้อมและโลกก็ร้อนขึ้น

พลังงานทดแทนเป็นทางเลือกที่มนุษย์จะต้องรักษาและนำมาใช้ในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาสังคม และเศรษฐกิจให้ยั่งยืนและเพื่อเติมเต็มอนุรักษ์ สภาวะความสมดุลของโลกต่อไป และกระทรวงพลังงานได้ทดลองและค้นหาพลังงานทดแทนที่จะนำมาใช้ในประเทศไทย เพื่อลดการนำเข้าน้ำมันและเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อกู้วิกฤตโลกร้อน ซึ่งเป็นแนวทางที่นำไปปรับใช้กับวิถีชีวิตของคนไทยดังนี้


1. ไบโอดีเซล

พลังงานแห่งยุคสมัย สำหรับการผลิตไบโอดีเซล จะมีวัตถุดิบหลายอย่าง เช่น น้ำมันพืชที่ใช้แล้ว ไขมันวัว เมล็ดสบู่ดำ น้ำมันปาล์มดิบ ซึ่งน้ำมันพืชที่ใช้แล้วนั้น เราสามารถหาได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นในตลาดสด สถานประกอบการ โรงงาน และครัวเรือน ซึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ ต. หนองแก๋ว อ.หางดง อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่ถึง 20 กิโลเมตร ทุกครัวเรือนในหมู่บ้านใช้ใบโอดีเซลในกิจการของหมู่บ้านแทบทั้งนั้น เช่น ใช้กับเครื่องปั่นไฟฟ้า รถยนต์ทุกคันในหมู่บ้านไปจนถึงรถไถ ฯลฯ ซึ่งไม่ใช่แค่หมู่บ้านเดียว แต่มีรวมกันถึง 9 หมู่บ้าน ซึ่งหมู่บ้านทั้งหมดนี้มีอาชีพอย่างเดียวกันคือ ทอดแคบหมูขาย ดังนั้น จึงมีน้ำมันที่ใช้แล้ว ลดน้อยลงไปทุกที ทางสถาบันวิจัยจึงได้นำไขวัวมาใช้เป็นวัตถุดิบ ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้เหมือนน้ำมันพืช ที่ใช้แล้ว เช่นกัน และนอกจากนี้ เมล็ดทานตะวัน ก็สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบได้เช่นกัน


2. เปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน

จากคณะทำงานซึ่งเกิดจากความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ทำการศึกษา การหลอมเหลวของพลาสติกในระบบไร้อากาศที่เรียกกระบวนการว่า ไพโรไลซีส ซึ่งมีวัตถุดิบ คือ ขยะพลาสติก จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งได้ไปดูงานที่ประเทศโปแลนด์ พบว่า คุณสมบัติของน้ำมันที่ได้อยู่ในขั้นดี คือ เป็นน้ำมันดิบ ส่วนในเทศบาลนครระยองได้มีโรงผลิตปุ๋ยอินทรีย์ และพลังงาน ซึ่งเราสามารถช่วยสิ่งแวดล้อมได้ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการลดปัญหาเรื่องก๊าซเรือนกระจกและปัญหาโลกร้อน นอกจากนี้ ขยะยังสามารถนำมาผลิตกระแสไฟฟ้า ได้จากการคัดขยะ เป็นขยะรีไซเคิลและขยะอินทรีย์ที่หมักเป็นไบโอก๊าซ


3. ชีวมวล

พลังงานจากเศษวัสดุเกษตร ชีวมวล หมายถึง สารอินทรีย์ที่เป็นแหล่งกักเก็บพลังงานจากธรรมชาติ และสามารถนำมาใช้ผลิตพลังงานได้ เช่น เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร หรือกากจากกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมการเกษตร เช่น แกลบ กากอ้อย เศษไม้ กากปาล์ม กากมันสำปะหลัง ซังข้าวโพด และมะพร้าว ซึ่งนอกจากจะปลูกไว้กินแล้วยังสามารถนำไปผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วย


4. น้ำเสีย

น้ำเสียของดีที่เปลี่ยนเป็นพลังงาน เนื่องจากที่บริษัทสงวนวงษ์ อุตสาหกรรมจำกัด โรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังที่จังหวัดนครราชสีมา ได้มีการผลิตแป้งมันสำปะหลัง จึงจำเป็นต้องใช้น้ำมากในการล้าง วัตถุดิบพวกหัวมัน กากมันสำปะหลัง ร่วมถึงล้างแป้งด้วย ซึ่งแต่ก่อนน้ำที่ใช้แล้ว ทั้งหมดในโรงงานจะทิ้งออกไปหรือระบายออกไปไว้ในบ่อน้ำเสียแบบเปิดหลายสิบบ่อที่เรียกว่า บ่อผึ่ง ซึ่งเป็นบ่อดิน ที่มีการออกแบบให้จุลินทรีย์ย่อยสลายสารอินทรีย์ต่างๆ ในน้ำเสีย โดยวิธีการย่อยสลายแบบใช้ออกซิเจนเป็นหลัก ดังนั้นหาความสกปรกของน้ำเสียสูงเกินไป เกิดภาวะออกซิเจนละลายน้ำไม่เพียงพอแล้วก็จะเกิดปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นจึงได้มีการปรับเปลี่ยนระบบบำบัดน้ำเสีย เป็นระบบบ่อ ABR (Anaerobic Baffle Reactor) หรือถังไร้อากาศแบบแผ่นกั้น ซึ่งการบำบัดน้ำเสียในรูปแบบนี้เป็นระบบน้ำเสียแบบมีลักษณะเป็นถัง หรือเป็นบ่อดินที่มีผื่นผ้าใบติดตั้งครอบไว้ ส่วนการไหลของน้ำเสียที่มีอยู่มากมายนั้น กลายเป็นพลังงานทดแทนที่เรียกว่า ก๊าซชีวภาพ เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานในกระบวนการผลิตแป้งมัน แทนน้ำมันเตาที่ใช้อยู่เดิมเป็นการประหยัดงบประมาณได้อย่างมาหาศาล ที่สำคัญเป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนขึ้นสู่บรรยากาศ และทำให้ไม่เกิดกลิ่นเหม็นอีกด้วย


5. มูลสัตว์

มูลสัตว์อีกหนึ่งสุดยอดพลังงาน เนื่องจากสภาวะโลกร้อนกำลังเป็นปัญหาอันตรายอันน่ากลัวของโลกมนุษย์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น หลายหน่วยงานจึงพยายามคิดค้นหาวิธีช่วยโลก โดยการหันเข้าหาสิ่งที่ผู้คนทั่วไปมองว่าไร้ประโยชน์ พลิกกลับให้เป็นสิ่งสร้างประโยชน์ อย่างเรื่องขี้หมู แต่จริงไม่ใช่แค่ขี้หมูที่สร้างประโยชน์ได้ มูลสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นช้าง ม้า วัว ควายไปจนถึงอุจจาระของคน ก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้น เนื่องจากมูลที่นำมาทำก๊าซชีวภาพได้ง่ายที่สุดคือ ขี้หมู ส่วนอย่างอื่น เข่น ของเสียจากคนหรือช้าง มีความแตกต่างของสารอาหารแบคทีเรียไม่สามารถย่อยบางอย่างที่อยู่ในมูลได้เพราะกากเยอะ เยื่อเยอะ อาจต้องกำจัดกากหรือเยื่อออกก่อนเข้ากระบวนการผลิตก๊าซ

ซึ่งไทยเรามีของเสียจากภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมในปริมาณมาก จึงควรนำของเสียต่างๆ มาผ่านกระบวนการทำให้เกิดเป็นก๊าซชีวภาพ เพื่อจะได้นำมาใช้เป็นพลังงานทดแทนต่อไป ซึ่งมีกระบวนการทำให้เกิดเป็นก๊าซชีวภาพ เพื่อจะได้นำมาใช้เป็นพลังงานทดแทนต่อไป ซึ่งมีกระบวนการคือ นำขี้หมูเข้าไปอยู่ในบ่อ ปล่อยให้แบคทีเรียกินสารอินทรีย์ในสภาวะไร้อากาศ หรือไม่ก็ให้มีอากาศน้อยที่สุด ไม่ต้องใส่สารเร่งใดๆ ทั้งสิ้น ใช้เวลาไม่กี่วันก็จะได้ก๊าซชีวภาพ นอกจากก๊าซชีวภาพจากขี้หมู จะนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทน ที่ช่วยลดปัญหาสภาวะโลกร้อน กากขี้หมูยังสามารถแปรสภาพเป็นปุ๋ยให้ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมกับดิน ส่วนน้ำเสียที่ผ่านการหมักแล้ว สามารถนำไปใช้รดน้ำต้นไม้ที่เราปลูกหรือปล่อยเข้าที่นาได้เป็นการประหยัดทรัพยากรได้ได้อีกทางหนึ่ง


6. แสงแดด

เนื่องจากแสงแดดสามารถพัฒนาเพื่อเป็นพลังงาน จึงทำให้เกิดพลังงานแสงอาทิตย์ขึ้น ซึ่งได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งเซลล์แสงอาทิตย์ที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ

1. เซลล์แสงอาทิตย์ที่ทำจากสารกึ่งตัวนำประเภทซิลิกอน ซึ่งแบบที่เป็นรูปผลึกสามารถแบ่งได้อีก 2 ชนิด คือ ชนิดผลึกเดี่ยวซิลิกอน และชนิดผลึกรวมซิลิกอน ส่วนแบบที่ไม่เป็นรูปผลึก เป็นชนิดฟิล์มบางอะมอร์ฟัสซิลิกอน

2. กลุ่มเซลล์แสงอาทิตย์ที่ทำจากสารประกอบที่ไม่ใช่ซิลิกอน จะเป็นเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่มีราคาสูงมาก เซลล์กลุ่มนี้ไม่นิยมนำมาใช้เพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า แต่เน้นใช้งานกับดาวเทียมและระบบรวมแสงเป็นส่วนใหญ่

ซึ่งพลังงานแสงอาทิตย์นั้น นอกจากจะได้ประโยชน์ในภาพรวมต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศแล้วในอนาคตธุรกิจไฟฟ้ายังสามารถได้เงินจากการขายคาร์บอนเครดิต ให้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ไม่สามารถลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนในประเทศของตนเองลดลงได้ ซึ่งในระหว่างเดือนเมษายนและพฤษภาคม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยครอบคลุมบางส่วนบางจังหวัดของนครราชสีมา สุรินทร์ ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี และยโสธร และบางส่วนของภาคกลางที่จังหวัดสุพรรณบุรี ชัยนาท อยุธยาและลพบุรี จากการคำนวณรังสีรวมของดวงอาทิตย์รายวันเฉลี่ยต่อปีของพื้นที่ทั่วประเทศพบว่า มีค่าเท่ากับ 18.2 เมกะจูล / ตารางเมตร / วัน จากผลที่ได้นี้ แสดงว่าประเทศไทยมีศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์ค่อนข้างสูง ดังนั้น หากในอนาคตมีการขยายการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ตามพื้นที่ที่มีศักยภาพเหล่านี้ เชื่อว่า ประเทศไทยจะเป็นส่วนที่ช่วยลดโลกร้อนได้มากทีเดียว


7. พลังงานน้ำ

มหัศจรรย์ พลังงานน้ำ ผลิตไฟฟ้าในชุมชน น้ำมีพลังงานสามารถแปรเปลี่ยนเป็นไฟฟ้าได้ ซึ่งในชุมชน พื้นที่ใกล้ตัวสามารถนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าได้เหมือนกับเขื่อนขนาดใหญ่ และเขื่อนขนาดเล็ก ก็คือ การสร้างฝายน้ำล้น เพื่อกักน้ำจากลำน้ำ โดยอาศัยความต่างระดับของน้ำในลำน้ำ กำหนดให้น้ำไหลลงมาตามทางน้ำมี่มีความชันจากสิ่งประดิษฐ์ที่เราสร้างขึ้น บังคับน้ำให้ไหลไปรวมกันที่อ่างหรือถังเก็บน้ำ น้ำเหล่านี้จะไหลผ่านท่อน้ำแรงดันไปหมุนกังหันน้ำ ไปขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในอาคารโรงไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในอาคารโรงไฟฟ้า

ซึ่งหมู่บ้านแม่กำปอง จังหวัดเชียงใหม่ ได้ขยายโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กที่ใช้ประโยชน์จากลำห้วยเล็กๆ และมีการจัดตั้งเป็น สหกรณ์ๆ ฟ้าพลังน้ำบ้านแม่กำปอง เก็บค่าไฟฟ้าโดยวัดจากมิเตอร์ น้ำที่กักเก็บไว้ในฤดูฝนจะเกิดประโยชน์ทางด้านบรรเทาอุทกภัยได้ส่วนหนึ่ง พอถึงฤดูแล้งสามารถปล่อยน้ำที่กักเก็บไว้ให้เกิดประโยชน์ทางด้านชลประทานได้ด้วย


8. อุปกรณ์มหัศจรรย์

ปัจจุบัน ส่วนมากจะใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 เพราะช่วยประหยัดพลังงาน ซึ่งอุปกรณ์ประหยัดพลังงานไม่ใช่มีเพียงเท่านี้ มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่มีคุณสมบัติประหยัดพลังงาน ออกมาให้เห็นและสัมผัสอยู่เรื่อยๆ อย่างหม้อก๋วยเตี๋ยวประหยัดพลังงาน ซึ่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ประดิษฐ์ขึ้นด้วยงบประมาณสนับสนุน 2 ล้านบาท ได้ปรับปรุงจากหม้อก๋วยเตี๋ยว ขนาด 14 นิ้ว แบบเดิม ด้วยการครอบฉนวนกันความร้อน ด้านข้างสวมเข้ากับหม้อเดิมและเพิ่มพื้นที่ผิวรับความร้อนที่ก้นหม้อ ซึ่งเดิมผิวเรียบโดยทำเป็นลอน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรับความร้อนได้มากขึ้น และลดค่าใช้จ่ายพลังงานอย่างได้ผล


9. คิดก่อนทำ แผนพลังงานชุมชุม

ว่ากันว่าแผนการใช้พลังงานที่ดี และมีประสิทธิภาพจะช่วยลดค่าใช้จ่ายอย่างคาดไม่ถึง เช่น กำหนดรูปแบบประหยัดพลังงานในแต่ละด้าน เช่น การเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าแบประหยังไฟ ลดการใช้พลังงานอื่นๆที่ไม่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการใช้ถ่าน ฟืน แกลบ ในการหุงต้มจำนวนมาก การใช้เตาเผาถ่านเตาหลุมหรือเตาแกลบที่ควรปรับปรุงรูปแบบการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า โดยใช้ภูมิปัญญาในท้องถิ่นผสมผสานเทคโนโลยีที่เหมาะสม นั่นคือเตาเผาถ่านประสิทธิภาพสูง 200 ลิตร และเตาหุงต้มประสิทธิภาพสูงหรือเตาซุปเปอร์อั้งโล่ ส่วนน้ำส้มควันไม้ ก็เป็นผลพลอยได้จากการเผาถ่านไม้สดภายใต้สภาพอับอากาศ โดยเมื่อควันที่เกิดจากการเผาไหม้ไม้ ผ่านสภาพอากาศเย็นจะทำให้ควันเกิดการควบแน่น และเปลี่ยนเป็นของเหลว และเมื่อทิ้งไว้ประมาณ 3 6 เดือน ของเหลวดังกล่าว จะแยกชั้นโดยส่วนบนจะเป็นส่วนของเหลวสีน้ำตาล ซึ่งเรียกว่า น้ำส้มควันไม้ที่สามารถกำจัดเชื้อโรคในดิน เป็นสารไล่แมลงเนื่องจากมีกลิ่นควัน หรือใช้ในทางการเกษตรในลักษณะของปุ๋ยก็ได้


10. พลังงานต้นทุนถูกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

การผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนิวเคลียร์ เป็นเชื้อเพลิงถือเป็นเรื่องใหม่ สำหรับประเทศไทย เหตุที่ได้รับความสนใจ เพราะหากพิจารณาในเรื่องของต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าจากราคาฐานปัจจุบัน จะพบว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีต้นทุนต่ำที่สุด ซึ่งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในความเห็นของกฟฝ. จะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ ลดลงถึง 87.84 ล้านตัน ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าพลังงานที่น่ากลัวอย่างนิวเคลียร์จะสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้มาก

---------------------------------------------------------------

ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านหนังสือ

1. ได้รู้จักพืชที่เป็นพืชพลังงานทดแทนและสามารถนำมาปลูกในพื้นที่ได้ เช่น สบู่ดำฯ

2. รู้ค่าของน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว เก็บสะสมไว้เพื่อทำไบโอดีเซล

3. รู้จักเลือกใช้อุปกรณ์หรือเครื่องใช้ที่ประหยัดพลังงาน

4. รู้จักการนำขยะเศษวัสดุทางการเกษตรและน้ำเสียมาทำเป็นพลังงานทดแทนได้

5. รู้จักคิดวางแผนในการใช้พลังงานอย่างประหยัด

6. รู้จักค่าของแสงอาทิตย์ที่สามารถนำมาเป็นพลังงานได้

รู้จักพลังงานจากนิวเคลียร์ พลังงานต้นทุนต่ำและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และเปิดวิสัยทัศน์ของตัวเอง ว่า ในโลกนี้ยังมีพลังงานทดแทนที่สะอาดอีกมากมายรออยู่ เพื่อการนำมาใช้อย่างรู้ค่าและไม่ทำลายโลกด้วย

สวนสวยกินได้

ผู้แต่ง พรพิมล เรืองศิริ



นายกมล สมเพ็ง

บากเรือ จ.ยโสธร



หนังสือสวนสวยกินได้ รวบรวมรายละเอียดตั้งแต่ชนิดของพืชผักสวนครัวที่ควรมีประจำบ้าน วิธีการขั้นตอนการเพาะปลูก การนำพืชผักมาใช้และแหล่งในการหาเมล็ดพันธุ์มาปลูก

ได้มีประโยชน์มากทั้งต่อสุขภาพ และชีวิตความเป็นอยู่ของคนเราเป็นการนำสิ่งที่เคยใกล้ตัว ซึ่งปัจจุบันเป็นสิ่งที่ไกลตัว ต้องได้มาจากการซื้อหาและพืชผักที่เราซื้อมาจากตลาดนั้น บางครั้งเราก็เชื่อไม่ได้ว่าปลอดภัยจากสารแปลกปลอมหรือไม่ แต่ถ้าเราออกแรงเพียงเล็กน้อยอย่างสม่ำเสมอ เราก็สามารถมีพืชผักสวนครัวที่จำเป็นไว้ใช้ประจำในครัวเรือนของตนเอง โดยไม่ต้องซื้อหาและเสียเวลา นอกจากนี้ยังกล่าวถึงพืชผักสวนครัวที่จำเป็นและยังมีพืชผักที่ขึ้นง่ายตามฤดูกาล และพืชผักพื้นเมืองอีกหลายชนิด ซึ่งบางอย่างได้เลือนหายไปจากครัวไทย หรือเด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่เคยได้พบเห็นและทราบเรื่องราวมาก่อนเลย พืชผักเหล่านี้ได้รับความสนใจและอาจจะสูญหายไปในที่สุดและยังเป็นการทบทวนความจำของผู้ใหญ่ ให้ระลึกถึงพืชผักพื้นบ้านที่ใช้ในการปรุงอาหารเฉพาะจากภาคต่างๆ ทั้งยังเป็นการทำให้เยาวชนได้เรียนรู้เพิ่มเติม อันตรายจากสารแปลกปลอมนั้นได้ทำให้เราเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ทั้งที่เราคุ้นเคยและทราบกันดีอยู่แล้ว เช่น มะเร็งในส่วนต่างๆของร่างกาย และเพิ่งจะทราบภายหลังว่านี่ก็คือโรคที่เกิดจากการบริโภคสิ่งแปลกปลอมที่ติดมากับอาหาร เช่น โรคภูมิต้านทานและโรคเสื่อมต่างๆ เป็นต้น ดังนั้นการใส่ใจที่จะแสวงหาความรู้เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดขั้นต้นในการป้องกันและดูแลรักษาตัวเอง การแนะนำเรื่องการเพาะปลูกได้นำวิธีเพาะปลูกแนวที่พึ่งพิงธรรมชาติ และเข้าใจธรรมชาติให้มากที่สุด ซึ่งเป็นการทำให้คนเราได้เข้าใจชีวิตในการเกิด การดำรงชีวิตอยู่ ต้องมีอุปสรรคผ่านเข้ามามากมาย เหมือนพืชที่ต้องการปัจจัยที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตต้องการบำรุงรักษาและมีแมลงที่เป็นศัตรูพืชเข้ามารบกวน ก็ต้องมีวิธีการป้องกันและกำจัดแมลง ใช้วัสดุจากธรรมชาติ วงจรชีวิตมนุษย์ต้องมีการต่อสู้เช่นเดียวกับต้นไม้ ธรรมชาติจึงเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ ทุกคนสามารถเข้าห้องเรียนธรรมชาติได้โดยง่ายๆ ด้วยการลงมือปลูกพืชผักสวนครัวแล้วหมั่นสังเกตเรียนรู้การดำรงชีวิต


พืชผักในครัวไทย

คนไทยนิยมปลูกต้นไม้เพื่อบริโภคผล ดอก ใบ ต้น ราก ตามชนิดของพืชพันธุ์ไว้ในสวนครัวขนาดเล็กประจำบ้านที่ให้ผลผลิตพอรับประทานในครัวเรือน นิยมปลูกพืชที่เป็นเครื่องปรุงในการต้ม ยำ ทำแกง โดยเฉพาะน้ำพริกแกงต่างๆที่ใช้เป็นประจำทุกวัน ถ้าผลผลิตพืชสวนครัวเหลือจากการจากการรับประทานในครอบครัว ก็นำไปแบ่งปัน แจกจ่ายให้กับญาติสนิทมิตรสหาย การทำสวนครัวที่นิยมปฏิบัติสืบทอดกันมา คือ ยกแปลงสี่เหลี่ยมพื้นผ้า แล้วปลูกพืชผักต่างๆปะปนกันไม่คำนึงถึงความสวยงาม มักซ่อนแปลงสวนครัวไว้หลังบ้าน หรือซอกใดซอกหนึ่งให้ลับตาคนจากคนภายนอก

การแบ่งพืชสวนครัวตามลำดับประโยชน์ในการบริโภค

1.พืชผักสวนครัวประจำบ้านที่ใช้ในการต้ม ยำ ทำแกง สามารถปลูกได้ง่าย เช่น ตะไคร้ กระชาย พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า กะเพรา โหระพา แมงลัก สะระเหน่ ผักชีฝรั่ง มะกรูด มะนาว ขิง ข่า ขมิ้น มะเขือพวง เป็นต้น

2.พืชที่ขึ้นง่ายตามธรรมชาติ เหมาะกับการปลูกในบ้านชานเมืองหรือชนบทและบางชนิดจะต้องใช้พื้นที่กว้าง เช่นตำลึง มะระขี้นก บวบ ชะอม มะละกอ แค สะเดา กล้วย ไผ่ที่ให้หน่อไม้ ยอ ขี้เหล็ก เป็นต้น

3.พืชผักที่ใช้ประกอบการปรุงอาหารพื้นบ้านในภูมิภาคต่างๆ ภาคเหนือ อีสาน ใต้ เช่น ผักแว่น ผักเบี้ย ผักแพว ผักหวาน ผักกูด ถั่วแปบ เล็บครุฑ ดอกขจร ผักชีล้อม ผักชีลาว ย่านาง ผักติ้ว กระโดนบก เป็นต้น


ปัจจัยสำคัญในการเพาะปลูก

ดิน ประกอบด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ที่พืชต้องการแล้ว จะต้องมีลักษณะร่วนซุย เพื่อถ่ายเทอากาศได้ดี ยกเว้นแต่พืชบางชนิดที่ชอบความชื้นแฉะ สัดส่วนที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืชประกอบด้วย แร่ธาตุ 45 % อินทรีย์วัตถุ 5% น้ำ 25% อากาศ 25%

น้ำ น้ำที่เกี่ยวกับพืชนั้น เราต้องรักษาความชุ่มชื้นในดินและอากาศ เพราะมีประโยชน์ต่อพืชโดยตรง ความชื้นในดินต้องมีเพรียงพอที่จะละลายแร่ธาตุที่เป็นอาหารของพืช

อากาศ อากาศที่พืชนำไปใช้ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดูดเข้าทางใบ ก๊าซออกซิเจนที่พืชหายใจเข้าไปเพื่อให้กลูโคสสลายตัว

อุณหภูมิ อุณหภูมิสามารถปรับตัวให้เจริญเติบโตได้ดีจะอยูในระหว่าง 15 – 40 องศาเซนเซียส

แสงสว่าง แสงสว่างมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช พืชต้องการแสงเพื่อสร้างอาหารและแสงสว่างต้องมีความเพรียงพอต่อความต้องการของพืชในแต่ละชนิด

ปุ๋ย ปุ๋ยเป็นอาหารของพืช ที่ใช้ในการบำรุงส่วนต่างๆ ของพืช เช่น ใบ ลำต้น ดอกและผล ซึ่งหาได้ 2 วิธี คือหนึ่งจากส่วนผสมจากธรรมชาติหรือปุ๋ยอินทรีย์ วิธีที่สองคือได้จากการสังเคราะห์ทางเคมีหรือปุ๋ยอนินทรีย์


การคัดเลือกและขยายพันธุ์

การขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด

การขยายพันธุ์โดยแยกหน่อและกอ

การขยายพันธุ์โดยการปักชำ

การขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง


การกำจัดศัตรูและโรคพืชโดยวิธีธรรมชาติ

เมล็ดหรือใบน้อยหน่า มีประสิทธิภาพในการฆ่าแมลง เช่น ตั๊กแตนหลายชนิด เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยกระโดด ด้วงเต่าทอง และมอดแป้ง

ตะไคร้หอม มีประสิทธิภาพสารฆ่าแมลงและไล่แมลงจำพวกหนอนกระทู้ผัก และหนอนใยผัก

สะเดา มีประสิทธิภาพในสารฆ่าแมลง ขับไล่แมลง ต่อต้านการดูดกิน ยับยั้งการเจริญเติบโตของจำพวกด้วงหมัดผัก เพลี้ยอ่อน เพลี้ยกระโดด แมลงหวี่สีขาว

ดาวเรือง มีประสิทธิภาพในสารฆ่าแมลง ขับไล่แมลง เพลี้ยอ่อน เพลี้ยกระโดด แมลงหวี่สีขาว ด้วงเต่าทอง และแมลงวันผลไม้

ยาสูบ มีประสิทธิภาพในสารฆ่าแมลง และฆ่าเชื้อรา ฆ่าไร หนอนกอ หนอนชอนใบ แมงปากดูด ไรแดง โรคใบม้วน

ขมิ้นชัน มีประสิทธิภาพในสารฆ่าแมลง กำจัดจำพวกด้วงต่างๆ มอดข้าวเปลือก แมลงมัน ไรแดง หนอนกระทู้ผัก


การปลูกผักแนวเกษตรธรรมชาติ

หัวใจของการปลูก หัวใจการปลูกพืชที่สำคัญที่สุด คือ ดิน ปัจจัยการปลูกพืชให้มีประสิทธิภาพเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ ความสมบูรณ์ของดินมีความสำคัญ 50 เปอร์เซ็นต์ เทคนิค ให้ 25 เปอร์เซ็นต์ เทคนิคเช่น การใช้ปุ๋ยควรใช้ปุ๋ยชีวภาพหรือจุลินทรีย์ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ สุดท้ายคือการจัดการ ให้ 25 เปอร์เซ็นต์ การจัดการ คือการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่แข็งแรง มีเปอร์เซ็นต์การงอกสูง หรือการปลูกพืชที่เหมาะสมกับฤดูกาล

พลังของดิน ลักษณะดินที่ดี คือ ดินที่มีชีวิต มีพลัง สังเกตได้จากลักษณะทางกายภาพ คือดินที่มีความร่วนซุย

ความเชื่อกับการปลูกพืช ความเชื่อเหล่านี้คงไม่ได้ผลหากไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต และต้องดูแลเอาใจใส่ ทะนุถนอม พืชผักที่เราปลูกก็ไม่ต่างกัน ที่สามารถรับรู้ความรู้สึกจากการสัมผัสและการถูกกระทำ ดังนั้นการลงกล้าอ่อนควรที่จะทำอย่างนุ่มนวน ที่เข้าเล่าว่าการปลูกมือร้อน มือเย็นในการปลูกถึงจะเจริญงอกงาม ไม่เป็นความจริงทั้งหมดส่วนมากจะขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและการทำความเข้าใจธรรมชาติ

สัจจะธรรมธรรมชาติ สิ่งสำคัญของการที่เราได้ทุ่มเทใจให้การเพาะปลูกพืชผักในสวนหลังบ้าน เวลาที่เรจะเรียนรู้ธรรมะจากธรรมชาติ ขณะที่เราต้องหมั่นรดน้ำคอยดูแลผักของเรานั้น พืชผักจะถูกรบกวนจากแมลงบ้าง นั้นคืออุปสรรค์ของชีวิตการตั้งคอยหมั่นสังเกตการเจริญเติบโตของแต่ละชนิดในแต่ละฤดูกาล สิ่งเหล่านี้มีค่ายิ่งกว่าอื่นใด


การเตรียมตัวก่อนลงมือทำสวนครัว

ขั้นตอนแรกให้นึกถึงความจำเป็นและความต้องการ ใช้พืชผักประเภทต่างๆมาเป็น ตัวกำหนดประเภทที่ของพืชที่นำมาปลูก ในชีวิตประจำวันพืชผักอะไรที่เราใช้มากและบ่อยครั้ง

ขั้นตอนที่สองการออกแบบและการวางผัง ให้ดูพื้นที่ภายในบ้านว่าตรงไหนบ้างที่พอจะปลูกพืชผักสวนครัวได้

ขั้นตอนที่สามการเก็บเกี่ยวมารับประทาน ต้องคำนึงถึงรูปลักษณ์ของต้นไม้ทั้งด้านความสูงและลักษณะทรงพุ่ม ที่ความรู้สึกแตกต่างกัน ถ้าเป็นทรงพุ่มแผ่ก็จะเป็นร่มเงาให้ได้ ความสูงของต้นไม้สามารถกั้นสายตาของคนนอกได้ ส่วนไม้คุมดินจะทำให้เกิดความสวยงามอ่อนช้อย