วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

บทเรียงความ แง่งามในยามวิกฤต


สองคำถามพลิกสถานการณ์/โดย Kris Wan!

ฉันได้รับมอบหมายให้เข้ามาทำงานระบบการผลิตร่วมกับกลุ่มเกษตรกร มันเป็นงานที่ทำให้ฉันมีความสุขและรู้สึกท้าทายมาก มันทำให้ฉันมองทุกอย่างด้วยความรู้สึกที่ดีและพร้อมกับการทำงานนี้เป็นอย่างมาก งานดำเนินไปได้ด้วยดีในระยะแรก ฉันสนุกกับการคิดและเสนอรูปแบบต่าง ๆ ในการทำงานร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ของกลุ่มเป็นอย่างมาก เมื่อมีการตรวจสอบหลายละเอียดกันมากขึ้น และพบข้อบกพร่องในการทำงานของเขามากขึ้น บรรยากาศการทำงานเริ่มเปลี่ยนเป็นมีปัญหา เพราะฝ่ายหนึ่งตรวจสอบ อีกฝ่ายต้องแก้ไขและทำตาม ด้วยความเข้าใจที่ต่างกัน ส่งผลให้บรรยากาศการทำงานเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก ในตอนนั้นฉันคิดเพียงว่ามันต้องแก้ไขให้ถูกต้องและทำให้ดีขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อให้งานบรรลุตามวัตถุประสงค์ขององค์กร และทุกคนทุกฝ่ายจะได้เดินหน้าไปพร้อมกัน แต่ดูเหมือนว่าเรื่องไม่ง่ายอย่างที่คิด ฉันทำงาน 3 เดือน โดยไม่มีวันหยุด แต่นั้นไม่ได้ทำให้ฉันทุกข์เลย ฉันกับมีความสุขและสนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างจริงจัง และก็ได้รู้ว่าเมื่อเราจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งมันทำให้เราคิดต่อกับงานนั้นได้มากมายเหลือเกิน และที่มันสนุกเพราะฉันคิดและได้ลองทำ เมื่อไม่ดีก็ปรับแก้เป็นอยู่อย่างนั้นมันจึงทำให้เราสนุกกับมันได้

สถานการณ์เปลี่ยนเมื่ออีกฝ่ายที่ร่วมงานกัน เริ่มไม่มีอิสระในการจัดการผลิต การตัดสินใจ และการทำงานบางอย่างไม่ได้สะดวกดั่งเดิม ในตอนนั้นฉันพยายามอธิบายเหตุผลในการทำงาน และดำเนินการต่อภายในข้อกำหนดที่ทำขึ้น เพราะเชื่อว่า “มันคือสิ่งที่ดี และถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยน” ความพยายามเชื่อมั่นในตัวเองว่ามาถูกทางแล้วทำให้ฉันเริ่มหมดความสุขในการทำงาน กอปรกับเริ่มมีเสียงตำหนิงานของฉัน จากทุกฝ่าย รวมทั้งเจ้านายของฉันเองด้วย ฉันถูกเจ้านายตำหนิว่า “กำลังจะทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างองค์กร” ความเชื่อมั่นในงานที่ทำของฉันหมดลงอย่างรวดเร็ว ความกลัวต่อหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นกับฉัน ตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่แย่มาก เรี่ยวแรงที่เคยมีมากมายกลับหมดไปอย่างรวดเร็ว

เวลาที่อะไร ๆ เริ่มผิดพลาด ฉันรู้สึกแย่ ๆ เพราะฉันไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันยังไง และก็พยายามคิดที่จะไม่สนใจมันซะ และอะไร ๆ จะดีขึ้นเอง ในบางทีฉันก็กลัวที่จะยอมรับผิด หรือไม่ก็กลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากใคร ๆ ฉันเองก็ไม่เข้าใจ และพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองเสมอ เมื่อเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้น เพื่อนคนหนึ่งบอกกับฉันว่า เป็นเพราะฉันมีอัตตาในตัวเองมากเกินไปจึงทำให้ฉันเป็นเช่นนี้ มันทำให้ฉันลำพองใจและไม่ยอมรับสิ่งต่าง ๆ ที่คนอื่นเสนอแนะเพราะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดและทำนั้นดีกว่าคนอื่น และอัตตา นี้ก็ทำให้ฉันมองไม่เห็นความเป็นจริงของแต่ละสถานการณ์ เพราะในเวลาที่ฉันทำอะไรได้ดีมีความสุขอยู่นั้น มันจะทำให้ฉันมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ดีกว่าความเป็นจริงที่เป็นอยู่ แต่หากล้มเหลวมันก็จะทำให้ฉันเห็นสิ่งต่าง ๆ แย่ยิ่งกว่าความจริงที่เป็นอยู่เช่นกัน

เพื่อนคนหนึ่งโทรมาปลอบใจฉันและพยายามทำให้ฉันมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำอยู่ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเขาจึงบอกให้ฉันกลับไปพักซะ ฉันตัดสินกลับไปพักที่บ้านด้วยความรู้สึกที่แย่กับตัวเอง กับงาน กับเพื่อนร่วมงาน เมื่อถึงบ้านฉันปิดการสื่อสารทุกอย่าง และนอนพักอยู่บ้าน 2 วันเต็ม หลังจากพักเต็มทีแล้ว ฉันก็เฝ้าถามตัวเองว่า “ปัญหาของสถานการณ์นี้คืออะไร???? คำตอบก็คือ “ฉันทำให้คนทำงานระดับหัวหน้าของเขาไม่มีความสุข เพราะฉันเข้าไปสั่งการทุกอย่างเอง ทำให้คนงานหมดความเชื่อถือในตัวเขา” และฉันมีวิธีการอื่นที่จะทำงานต่อได้มั้ย โดยที่เขาก็ยินดีให้ความร่วมมือ????

ในตอนนั้นการหยุดพักเป็นช่วงเวลาที่ดีมากสำหรับฉัน เพราะฉันได้ใช้มัน เพื่อประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นและเพื่อหยุดใคร่ครวญถึงสิ่งที่จะทำต่อไป มันทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า การที่พยายามหลีกเลี่ยงจากสถานการณ์ โดยไม่ยอมรับความจริงนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย แต่จะดีมากถ้าได้ผ่อนคลาย และพักเหนื่อย พร้อมกับพยายามยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้ได้ และเชื่อมั่นว่าอะไร ๆ จะต้องดีขึ้น สิ่งนี้คือสิ่งที่ฉันพยายามทำ เพราะหลังจากได้หลับเต็มอิ่ม สักคืน สองคืน อะไรๆ ก็มักจะดีขึ้นตามนั้นทุกครั้งไป

ตลอดช่วงเวลาที่หยุดพัก ฉันพยายามที่จะถามตัวเองว่า “ฉันมีความรู้สึก และเข้าใจ กับสถานการณ์ต่าง ๆที่เกิดขึ้นกับตัวฉันเองอย่างไรบ้าง และฉันจะจัดการอะไรได้บ้าง เพื่อให้เกิดความแตกต่างจากเดิมและเป็นผลดีทั้งสองฝ่ายได้ และนั้นก็คือ เหตุผลให้ฉันต้องพยายามคิดหารูปแบบการทำงานและหลักการที่จะช่วยให้เกิดทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ฉันเริ่มเปลี่ยนท่าทีใหม่ เรียนรู้คนที่ทำงานด้วยว่าเป็นคนแบบไหน พร้อมกับเว้นระยะห่างไว้ให้เขารู้สึกอิสระ หยุดที่จะฟังเขาบ้าง หาต้องแย้งก็ต้องแย้งอย่างมีเหตุผล พร้อมกับสรุปความเข้าใจให้ตรงกัน และที่สำคัญฉันมักจะมองหาคุณค่าในงานที่ฉันทำและสิ่งรอบตัวเสมอ เมื่อเปลี่ยนท่าทีดูเหมือนสถานการณ์ต่าง ๆ ดีขึ้น แม้จะไม่ 100% แต่มันก็เป็นไปในทางที่ดีอย่างน้อยที่สุดงานก็ได้ดำเนินไปจนสำเร็จลงได้ด้วยดี

ณ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ปัญหาและอุปสรรคที่ฉันพบเจอนั้น มันมาจากความกลัวในตัวฉันเองทั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับใครเลย แต่กว่าฉันจะพบสิ่งนี้ได้ฉันก็ทำร้ายเพื่อนร่วมงานฉันไปแล้ว หลายต่อหลายคน สำหรับวิธีการที่ฉันใช้ในการจัดการกับทุกสถานการณ์ทุกข์ ก็คือฉันพยายามเลิกสนใจตัวเอง แต่มองคนอื่นให้มากขึ้น และพยายามเข้าใจ แม้ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจก็ต้องทำ ปลีกตัวออกจากสถานการณ์นั้น ๆ เพื่อให้ตัวเองได้พักและตอบคำถามตัวเองให้ได้ ....

ทุกวันนี้หลายครั้งที่ฉันพบกับปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตไม่ว่าจะการทำงานหรือเรื่องส่วนตัว ฉันก็ยังมองว่ามันเป็นช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง ความเจ็บปวด ความโกธร และความล้มเหลว และนี่แหล่ะคือสิ่งที่ทำให้ฉันทุกข์กับทุกสถานการณ์ที่เข้ามาในชีวิต ฉันยังเป็นอยู่ แต่ฉันก็มีความหวังว่าจะปรับเปลี่ยนตัวเองให้ยอมรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ให้ได้ และพยายามที่จะเลิกคิดถึงตัวเอง มองที่ประโยชน์ส่วนรวมให้มาก ๆ ขึ้น

มันไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ฉันใช้เวลาในการเปลี่ยนมันนานมาก และทุกวันนี้ฉันก็ต้องเฝ้าบอกกับตัวเองเสมอ เมื่อเจอเรื่องแย่ ๆ ว่า “เราเปลี่ยนสถานการณ์ไม่ได้ แต่ปรับเปลี่ยนความรู้สึกให้เป็นการยอมรับได้หรือไม่” นี่คือสิ่งที่ฉันพยายามทำ เพื่อให้ฉันสามารถดำรงอยู่ด้วยความรู้สึกสุขกับสิ่งที่ทำให้ได้นานขึ้น และหากฉันจะทุกข์กับสิ่งที่ต่าง ๆ ก็เป็นเพราะความรู้สึกและสิ่งที่ฉันทำไปในตอนนั้นต่างหากไม่ใช่เพราะคนอื่นเลย นี้คือสิ่งท้าทายฉัน ในการพัฒนาตัวเองต่อไป

........................................................................................................

รับฉันไหมคนดี/โดย บอระเพ็ดเคลือบช็อคโกแลต

“ยอมรับ” และ “อภัย” คำง่ายๆ ได้เห็น ได้ยิน บ่อยครั้ง ทั้งผ่านประสบการณ์ของตัวเองในบทบาทของผู้กระทำการให้ในสองสิ่งนี้ และผู้ได้รับสองสิ่งนี้ อาจจะบ่อยครั้งจนนับไม่ได้ แต่มีกี่ครั้งที่เราได้ให้การยอมรับ และ อภัยให้กับตัวของเราเอง

ชีวิตฉันเปรียบเหมือนนักเดินทางที่แบกเป้สัมภาระไว้ด้านหลัง ภายในเป้บรรจุสิ่งของมากมายที่จัดเตรียมมาด้วยตัวเอง และของที่คนในครอบครัวจัดเตรียมและบรรจุหีบห่อไว้ให้ ระหว่างทางอาจนำออกมาใช้ทิ้งไป หมดไปบ้างแต่ก็ยังน้อยกว่าสิ่งที่พบเห็นและเก็บเอามาตามรายทางที่ได้ผ่าน พบ พักพิง การเดินทางที่มุ่งแต่จุดหมายทำให้ฉันหลงลืมความหนักของสิ่งของทั้งหมดในเป้ จนเมื่อร่างกายอ่อนล้าเต็มที่ทั้งเท้าที่ก้าวไม่ออก และบ่า ไหล่ หลังที่ไม่สามารถแบกต่อไปได้ ช่วงเวลาที่ได้นั่งพักเพื่อฟื้นพลังขึ้นมาใหม่ เป็นโอกาสเดียวกันที่ฉันได้เปิดสำรวจดูสิ่งของที่ฉันแบกมา และพบว่า ของบางสิ่งที่เตรียมมาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย บางอย่างหมดอายุแล้ว ของในหีบห่อที่คนอื่นหยิบยื่นให้ ที่ฉันคาดว่าจะเป็นสิ่งที่ฉันจะใช้เมื่อนั่น เมื่อนี่แท้ที่จริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย บางอย่างใช้บำรุงร่างกายได้แต่เวลานี้หมดอายุแล้ว ฉันจึงได้คัดแยกและปลดทิ้งสิ่งของบางอย่าง ออกไป การเดินทางเริ่มขึ้นอีกกับเป้สัมภาระที่เบาลง

เหตุการณ์หนึ่งในปีที่ผ่านมา ฉันได้ขุดค้นพบสิ่งคล้ายจุดเริ่มต้นพฤติกรรมของตัวเอง ในช่วงที่ร่วมอยู่ในขบวนการอบรมหนึ่ง ฉันเป็นลูกคนสุดท้ายที่เกิดด้วย พ่ออยากได้ลูกชายอีกหนึ่งคน เป็นคำบอกเล่าของแม่ที่ฉันรับรู้ตั้งแต่จำความได้ และในวัยเด็กนั้นฉันรู้สึกว่าพ่อไม่ค่อยชอบฉัน พ่อไม่เคยชม ชอบเปรียบเทียบฉันกับลูกของคนอื่น และเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันและพ่ออยู่เหมือนไม่มีกัน ก็ตอนที่ฉันโดนพี่ชายแกล้งขังไว้ในบ้านหลอกว่าผีมา ฉันกลัว และร้องไห้เสียงดัง พ่อนับมะม่วงที่เก็บมาจากสวนอยู่ใต้ถุนบ้าน เมื่อฉันและพี่ชายลงมาเราแย่งกันนั่งเปล ฉันก็ร้องไห้ พ่อคงรำคาญเลยตีฉันด้วยฟืนหักไปหลายอัน จากวันนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่ในเนื้อในตัวฉันคือฉัน เรียกร้องหาเหตุและผลเสมอ และฉันก็ไม่ต่างจากเด็กผู้ชายเลย โดยเฉพาะความคิดที่ว่าฉันด้อยกว่าผู้ชายตรงไหนไม่ว่าความสารถหรือสติปัญญา ฉันสอบได้ที่หนึ่งทุกปี และไม่พึ่งพาใครเรื่องการบ้าน การเรียน ยกเว้นงานฝีมือทั้งหลาย และฉันอ่อนด้อยในกีฬาแทบทุกประเภท ผ่านไปแสนนานจนฉันโตสู่โลกที่กว้างขึ้น ฉันไม่เป็นที่หนึ่งแล้ว แต่บางสิ่งที่ยังคงอยู่ ฉันมีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น และไว้วางใจในตัวผู้ชายที่ก้าวเข้ามาคบหาในเชิงรักใคร่ชอบพอ ทุกคนที่เดินเข้ามาและจากไปบอกกับฉัน มีนัยว่า ฉันเป็นตัวของตัวเองมาก แมนมาก สำหรับฉันมันก็ยากยิ่งที่จะแสดงความรู้สึกอะไร เพราะฉันเองก็ไม่รู้ จนทุกวันนี้ก็เถอะ แต่สิ่งที่ฉันพบและตกใจไม่ใช่เรื่องความเจ็บช้ำจากการกระทำของพ่อ หรือการที่พ่อไม่ยอมรับฉัน และถึงวันนี้ฉันกับพ่อได้คลี่คลายความหมางเมินไปแล้วเมื่อปีที่ฉันอายุได้ 32 ปี สิ่งที่ฉันพบมันทำให้ฉันกล่าวโทษตำหนิตัวเองอย่างอัตโนมัติมาก ฉันหดหู่ที่ฉันเห็นว่า พ่อตีฉันครั้งเดียว และการรับรู้ว่าพ่ออยากได้ลูกชาย แต่ฉันเกิดมาเป็นผู้หญิง แค่นั้น อคติของฉันสร้างความเข้มข้นในความบาดหมางระหว่างฉันกับพ่อ และหลายต่อหลายอย่างเป็นความคิดปรุงแต่งของฉันเอง รวมทั้งที่ฉันต่อต้านไม่ยอมรับในผู้ชายแต่ฉันเองกลับแสดงออกในสิ่งที่ผู้ชายเขาเป็นกัน ......... ในความเงียบนิ่งเสียงเบาๆจากภายในถามฉันว่า แล้วยอมรับได้ไหม ฉันจะอภัยให้ตัวเองได้ไหมในสิ่งที่ทำ นำพามาถึงสามสิบกว่าปีปลายๆ ผ่านไปหลายวันกับความเศร้าลึกๆฉันสวดมนต์และเจริญสติ ไปตามโอกาสที่มี ฉันก็รู้สึกเบิกบานขึ้น คำว่าเมตตาตัวเองเกิดขึ้นกับฉันในวันหนึ่ง และฉันตรงลงกับตัวเองว่าฉันขอยอมรับในสิ่งเกิดขึ้น ที่ตัวฉันเองเป็นเหตุนำพาความเหินห่าง และพลัดพรากจากเป็น กับหลายๆคน ฉันอภัยให้กับตัวเองในสิ่งที่ฉันเองก็ได้เพิ่งค้นพบ การเริ่มต้นใหม่นั้นเกิดขึ้นได้เสมอ

ในวันนี้ถึงผู้คนที่ฉันเคยแอบมอบความรู้สึกรักได้เดินจากพ้นไปหมดแล้วก็ตาม แต่ความรักก็ยังงดงามอยู่ในหัวใจของฉัน ฉันกับพ่อ สมัครสมานสามัคคีรักห่วงใยกัน อย่าน่าประหลาด จัดว่าน่าอิจฉาทีเดียว ฉันรู้สึกว่าได้ประจักษ์ในการยอมรับและการให้อภัย ครั้งสำคัญในรอบปี 2553 นั้นคือ การยอมรับ และ ให้อภัย ตัวเอง

................................................................................................................

แง่งาม ....ในยามมืดมน/โดย ณ ภัทร

หลายคนคงเคยเห็นหิ่งห้อย ที่ทอแสงระยิบ ระยับ ในยามค่ำคืน ....ฟ้าสว่าง เราไม่เห็น แต่เมื่อฟ้ายิ่งมืดสนิท แสงของหิ่งห้อยยิ่งงามระยับชวนมอง หลายครั้ง ที่ฉันตื่นเต้นเมื่อได้เห็นหิ่งห้อยเหล่านั้น .....

ในความเป็นจริง ของชีวิต ความสุข ความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา เกิดและดับ เป็นเรื่องปกติ
แต่ความไม่ปกติ มันอยู่ตรงที่ มันเกิดกับตัวเรา ความทุกข์ที่สุดในชีวิตของฉัน คือ การจากไปของบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง เพราะท่านเป็นทุกๆ อย่างในชีวิต ท่านเป็นเสมือนฮีโร่ ในดวงใจ และเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นในโลกนี้ที่ฉันมีอยู่ คือ คุณพ่อ ..วันที่ทราบข่าวว่าพ่อไม่สบาย คือ เช้าวันพฤหัสบดี ที่ท่านไปตรวจสุขภาพ เพราะเดินไม่ค่อยคล่องแล้ว ยกช้อน ส้อม ในขณะทานข้าว ก็แทบไม่ไหว สำหรับพ่อแล้วกล้าหาญทุกอย่าง ในชีวิตนี้ แต่สิ่งที่พ่อกลัว กลับกลายเป็นหมอและ โรงพยาบาล เช้าตรู่ของวันนั้น พี่สาว พาพ่อและแม่ออกจากบ้านไป โรงพยาบาล ฉันนั่งรอฟังข่าวที่บ้าน บ่ายสองโมงตรง พี่สาวโทรมาบอกว่า คุณหมอสั่งแอดมิด ด่วน หลังจากทำทีซีสแกน ที่ฉันรู้ในขณะนั้น ว่าสิ่งที่ฉันต้องทำ คือ เตรียมเสื้อผ้า ทั้งของพ่อ แม่ และของตัวเอง เพื่อไปเฝ้าไข้ที่ รพ พี่สาวมาถึง เราก็ได้รับรู้ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ว่า พ่อเป็นอะไร และอยู่ในขั้นไหน หมอบอกพ่อมีเวลาไม่เกิน 2 - 3 เดือน

ความอึดอัดตั้งแต่เมื่อคืน มามลายหายไปตอนบ่ายสามโมงเย็นของวันที่พ่อถูกแอดมิด มันโล่งที่ได้รู้ว่าพ่อเป็นอะไร แต่ไม่ได้ดีใจที่ได้ยินว่าไม่สบายอย่างไร ความโล่งที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น มันเกิดจากการยอมรับความเป็นจริงหรือสิ่งที่เป็นไป ตามวิถีของมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกใบนี้ หากเราต้องมานั่งร้องห่มร้องไห้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ คงไม่ดีแน่นอน โดยเฉพาะต่อสภาพจิตใจของพ่อและแม่ ฉันและพี่สาว จึงตกลงกันว่า จะขอแบกรับความรู้สึกตรงนี้ไว้เองทั้งหมดเพื่อไม่ให้พ่อและแม่ไม่สบายใจ

ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องของโรงพยาบาล ยิ้มทักทายกับพ่อและแม่ และยังล้อพ่อเล่นๆ ว่า

"ไงจ๊ะ อยู่บ้านดีดีไม่ชอบ อยากนอน โรงพยาบาล ซะงั้น แต่ก็ดีเหมือนกันนะ ห้องก็สวยใช้ได้" ฮากันไปทั้งห้อง พ่อ ไม่สามารถที่จะเดินได้เองแล้ว ต้องมีคนคอยพยุงเพื่อไม่ให้ล้ม ขนาดปวดท้องปัสสาวะ จะรีบเดินไปเข้าห้องน้ำที่ห่างไปไม่กี่ก้าว ก็ยังไม่ทัน ได้แต่ยืนที่ข้างเตียงพยาบาลแล้วปล่อยให้มันเป็นไป อยู่ตรงนั้น ภาพที่เห็นเจ็บปวด แต่ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม กำลังใจทั้งหมดที่มีในชีวิต ต้องปล่อยให้มันงอกเงยออกมา โดยไม่ต้องรอใครส่งมาให้ เพราะกำลังใจจากตัวเองและความรักที่พ่อ แม่และครอบครัว มีให้มาตลอดชีวิต เป็นที่ยึดเหนี่ยวอยู่เสมอในยามที่เผชิญกับปัญหา

ผ่านไป หนึ่งเดือน ร่างกายที่ถูกใช้มาทั้งชีวิตของพ่อก็กลับคืนสู่ธุลีดิน แต่ในบั้นปลายชีวิต พ่อมีความสุขกับชีวิตช่วงสุดท้ายกับครอบครัว ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง กล้าหาญและ ยิ้มรับกับสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้า ทุกๆ วัน เราดูแลซึ่งกันและกันด้วยกำลังใจที่ดีและพร้อมเผชิญในทุกๆ ปัญหาและสถานการณ์บนความเป็นและความตายในทุกขณะจิต ดังนั้น การสูญเสียคุณพ่อครั้งนี้ เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของครอบครัวเรา แต่ ไม่ใช่การสูญสิ้น เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า การมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่เรารักนั้นยิ่งใหญ่ พอๆ กับ การจากไปเพียงร่างกายแต่ความรักยังสถิตย์อยู่ในทุกลุมหายใจ... เพราะเรา คือ ครอบครัว....

"Family" means nobody gets left behind ความหมาย ของครอบครัว คือการไม่มีใครถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง...


ไม่มีความคิดเห็น: