วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

บทเรียงความ แง่งามในยามวิกฤต


สองคำถามพลิกสถานการณ์/โดย Kris Wan!

ฉันได้รับมอบหมายให้เข้ามาทำงานระบบการผลิตร่วมกับกลุ่มเกษตรกร มันเป็นงานที่ทำให้ฉันมีความสุขและรู้สึกท้าทายมาก มันทำให้ฉันมองทุกอย่างด้วยความรู้สึกที่ดีและพร้อมกับการทำงานนี้เป็นอย่างมาก งานดำเนินไปได้ด้วยดีในระยะแรก ฉันสนุกกับการคิดและเสนอรูปแบบต่าง ๆ ในการทำงานร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ของกลุ่มเป็นอย่างมาก เมื่อมีการตรวจสอบหลายละเอียดกันมากขึ้น และพบข้อบกพร่องในการทำงานของเขามากขึ้น บรรยากาศการทำงานเริ่มเปลี่ยนเป็นมีปัญหา เพราะฝ่ายหนึ่งตรวจสอบ อีกฝ่ายต้องแก้ไขและทำตาม ด้วยความเข้าใจที่ต่างกัน ส่งผลให้บรรยากาศการทำงานเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก ในตอนนั้นฉันคิดเพียงว่ามันต้องแก้ไขให้ถูกต้องและทำให้ดีขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อให้งานบรรลุตามวัตถุประสงค์ขององค์กร และทุกคนทุกฝ่ายจะได้เดินหน้าไปพร้อมกัน แต่ดูเหมือนว่าเรื่องไม่ง่ายอย่างที่คิด ฉันทำงาน 3 เดือน โดยไม่มีวันหยุด แต่นั้นไม่ได้ทำให้ฉันทุกข์เลย ฉันกับมีความสุขและสนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างจริงจัง และก็ได้รู้ว่าเมื่อเราจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งมันทำให้เราคิดต่อกับงานนั้นได้มากมายเหลือเกิน และที่มันสนุกเพราะฉันคิดและได้ลองทำ เมื่อไม่ดีก็ปรับแก้เป็นอยู่อย่างนั้นมันจึงทำให้เราสนุกกับมันได้

สถานการณ์เปลี่ยนเมื่ออีกฝ่ายที่ร่วมงานกัน เริ่มไม่มีอิสระในการจัดการผลิต การตัดสินใจ และการทำงานบางอย่างไม่ได้สะดวกดั่งเดิม ในตอนนั้นฉันพยายามอธิบายเหตุผลในการทำงาน และดำเนินการต่อภายในข้อกำหนดที่ทำขึ้น เพราะเชื่อว่า “มันคือสิ่งที่ดี และถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยน” ความพยายามเชื่อมั่นในตัวเองว่ามาถูกทางแล้วทำให้ฉันเริ่มหมดความสุขในการทำงาน กอปรกับเริ่มมีเสียงตำหนิงานของฉัน จากทุกฝ่าย รวมทั้งเจ้านายของฉันเองด้วย ฉันถูกเจ้านายตำหนิว่า “กำลังจะทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างองค์กร” ความเชื่อมั่นในงานที่ทำของฉันหมดลงอย่างรวดเร็ว ความกลัวต่อหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นกับฉัน ตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่แย่มาก เรี่ยวแรงที่เคยมีมากมายกลับหมดไปอย่างรวดเร็ว

เวลาที่อะไร ๆ เริ่มผิดพลาด ฉันรู้สึกแย่ ๆ เพราะฉันไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันยังไง และก็พยายามคิดที่จะไม่สนใจมันซะ และอะไร ๆ จะดีขึ้นเอง ในบางทีฉันก็กลัวที่จะยอมรับผิด หรือไม่ก็กลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากใคร ๆ ฉันเองก็ไม่เข้าใจ และพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองเสมอ เมื่อเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้น เพื่อนคนหนึ่งบอกกับฉันว่า เป็นเพราะฉันมีอัตตาในตัวเองมากเกินไปจึงทำให้ฉันเป็นเช่นนี้ มันทำให้ฉันลำพองใจและไม่ยอมรับสิ่งต่าง ๆ ที่คนอื่นเสนอแนะเพราะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดและทำนั้นดีกว่าคนอื่น และอัตตา นี้ก็ทำให้ฉันมองไม่เห็นความเป็นจริงของแต่ละสถานการณ์ เพราะในเวลาที่ฉันทำอะไรได้ดีมีความสุขอยู่นั้น มันจะทำให้ฉันมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ดีกว่าความเป็นจริงที่เป็นอยู่ แต่หากล้มเหลวมันก็จะทำให้ฉันเห็นสิ่งต่าง ๆ แย่ยิ่งกว่าความจริงที่เป็นอยู่เช่นกัน

เพื่อนคนหนึ่งโทรมาปลอบใจฉันและพยายามทำให้ฉันมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำอยู่ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเขาจึงบอกให้ฉันกลับไปพักซะ ฉันตัดสินกลับไปพักที่บ้านด้วยความรู้สึกที่แย่กับตัวเอง กับงาน กับเพื่อนร่วมงาน เมื่อถึงบ้านฉันปิดการสื่อสารทุกอย่าง และนอนพักอยู่บ้าน 2 วันเต็ม หลังจากพักเต็มทีแล้ว ฉันก็เฝ้าถามตัวเองว่า “ปัญหาของสถานการณ์นี้คืออะไร???? คำตอบก็คือ “ฉันทำให้คนทำงานระดับหัวหน้าของเขาไม่มีความสุข เพราะฉันเข้าไปสั่งการทุกอย่างเอง ทำให้คนงานหมดความเชื่อถือในตัวเขา” และฉันมีวิธีการอื่นที่จะทำงานต่อได้มั้ย โดยที่เขาก็ยินดีให้ความร่วมมือ????

ในตอนนั้นการหยุดพักเป็นช่วงเวลาที่ดีมากสำหรับฉัน เพราะฉันได้ใช้มัน เพื่อประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นและเพื่อหยุดใคร่ครวญถึงสิ่งที่จะทำต่อไป มันทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า การที่พยายามหลีกเลี่ยงจากสถานการณ์ โดยไม่ยอมรับความจริงนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย แต่จะดีมากถ้าได้ผ่อนคลาย และพักเหนื่อย พร้อมกับพยายามยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้ได้ และเชื่อมั่นว่าอะไร ๆ จะต้องดีขึ้น สิ่งนี้คือสิ่งที่ฉันพยายามทำ เพราะหลังจากได้หลับเต็มอิ่ม สักคืน สองคืน อะไรๆ ก็มักจะดีขึ้นตามนั้นทุกครั้งไป

ตลอดช่วงเวลาที่หยุดพัก ฉันพยายามที่จะถามตัวเองว่า “ฉันมีความรู้สึก และเข้าใจ กับสถานการณ์ต่าง ๆที่เกิดขึ้นกับตัวฉันเองอย่างไรบ้าง และฉันจะจัดการอะไรได้บ้าง เพื่อให้เกิดความแตกต่างจากเดิมและเป็นผลดีทั้งสองฝ่ายได้ และนั้นก็คือ เหตุผลให้ฉันต้องพยายามคิดหารูปแบบการทำงานและหลักการที่จะช่วยให้เกิดทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ฉันเริ่มเปลี่ยนท่าทีใหม่ เรียนรู้คนที่ทำงานด้วยว่าเป็นคนแบบไหน พร้อมกับเว้นระยะห่างไว้ให้เขารู้สึกอิสระ หยุดที่จะฟังเขาบ้าง หาต้องแย้งก็ต้องแย้งอย่างมีเหตุผล พร้อมกับสรุปความเข้าใจให้ตรงกัน และที่สำคัญฉันมักจะมองหาคุณค่าในงานที่ฉันทำและสิ่งรอบตัวเสมอ เมื่อเปลี่ยนท่าทีดูเหมือนสถานการณ์ต่าง ๆ ดีขึ้น แม้จะไม่ 100% แต่มันก็เป็นไปในทางที่ดีอย่างน้อยที่สุดงานก็ได้ดำเนินไปจนสำเร็จลงได้ด้วยดี

ณ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ปัญหาและอุปสรรคที่ฉันพบเจอนั้น มันมาจากความกลัวในตัวฉันเองทั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับใครเลย แต่กว่าฉันจะพบสิ่งนี้ได้ฉันก็ทำร้ายเพื่อนร่วมงานฉันไปแล้ว หลายต่อหลายคน สำหรับวิธีการที่ฉันใช้ในการจัดการกับทุกสถานการณ์ทุกข์ ก็คือฉันพยายามเลิกสนใจตัวเอง แต่มองคนอื่นให้มากขึ้น และพยายามเข้าใจ แม้ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจก็ต้องทำ ปลีกตัวออกจากสถานการณ์นั้น ๆ เพื่อให้ตัวเองได้พักและตอบคำถามตัวเองให้ได้ ....

ทุกวันนี้หลายครั้งที่ฉันพบกับปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตไม่ว่าจะการทำงานหรือเรื่องส่วนตัว ฉันก็ยังมองว่ามันเป็นช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง ความเจ็บปวด ความโกธร และความล้มเหลว และนี่แหล่ะคือสิ่งที่ทำให้ฉันทุกข์กับทุกสถานการณ์ที่เข้ามาในชีวิต ฉันยังเป็นอยู่ แต่ฉันก็มีความหวังว่าจะปรับเปลี่ยนตัวเองให้ยอมรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ให้ได้ และพยายามที่จะเลิกคิดถึงตัวเอง มองที่ประโยชน์ส่วนรวมให้มาก ๆ ขึ้น

มันไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ฉันใช้เวลาในการเปลี่ยนมันนานมาก และทุกวันนี้ฉันก็ต้องเฝ้าบอกกับตัวเองเสมอ เมื่อเจอเรื่องแย่ ๆ ว่า “เราเปลี่ยนสถานการณ์ไม่ได้ แต่ปรับเปลี่ยนความรู้สึกให้เป็นการยอมรับได้หรือไม่” นี่คือสิ่งที่ฉันพยายามทำ เพื่อให้ฉันสามารถดำรงอยู่ด้วยความรู้สึกสุขกับสิ่งที่ทำให้ได้นานขึ้น และหากฉันจะทุกข์กับสิ่งที่ต่าง ๆ ก็เป็นเพราะความรู้สึกและสิ่งที่ฉันทำไปในตอนนั้นต่างหากไม่ใช่เพราะคนอื่นเลย นี้คือสิ่งท้าทายฉัน ในการพัฒนาตัวเองต่อไป

........................................................................................................

รับฉันไหมคนดี/โดย บอระเพ็ดเคลือบช็อคโกแลต

“ยอมรับ” และ “อภัย” คำง่ายๆ ได้เห็น ได้ยิน บ่อยครั้ง ทั้งผ่านประสบการณ์ของตัวเองในบทบาทของผู้กระทำการให้ในสองสิ่งนี้ และผู้ได้รับสองสิ่งนี้ อาจจะบ่อยครั้งจนนับไม่ได้ แต่มีกี่ครั้งที่เราได้ให้การยอมรับ และ อภัยให้กับตัวของเราเอง

ชีวิตฉันเปรียบเหมือนนักเดินทางที่แบกเป้สัมภาระไว้ด้านหลัง ภายในเป้บรรจุสิ่งของมากมายที่จัดเตรียมมาด้วยตัวเอง และของที่คนในครอบครัวจัดเตรียมและบรรจุหีบห่อไว้ให้ ระหว่างทางอาจนำออกมาใช้ทิ้งไป หมดไปบ้างแต่ก็ยังน้อยกว่าสิ่งที่พบเห็นและเก็บเอามาตามรายทางที่ได้ผ่าน พบ พักพิง การเดินทางที่มุ่งแต่จุดหมายทำให้ฉันหลงลืมความหนักของสิ่งของทั้งหมดในเป้ จนเมื่อร่างกายอ่อนล้าเต็มที่ทั้งเท้าที่ก้าวไม่ออก และบ่า ไหล่ หลังที่ไม่สามารถแบกต่อไปได้ ช่วงเวลาที่ได้นั่งพักเพื่อฟื้นพลังขึ้นมาใหม่ เป็นโอกาสเดียวกันที่ฉันได้เปิดสำรวจดูสิ่งของที่ฉันแบกมา และพบว่า ของบางสิ่งที่เตรียมมาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย บางอย่างหมดอายุแล้ว ของในหีบห่อที่คนอื่นหยิบยื่นให้ ที่ฉันคาดว่าจะเป็นสิ่งที่ฉันจะใช้เมื่อนั่น เมื่อนี่แท้ที่จริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย บางอย่างใช้บำรุงร่างกายได้แต่เวลานี้หมดอายุแล้ว ฉันจึงได้คัดแยกและปลดทิ้งสิ่งของบางอย่าง ออกไป การเดินทางเริ่มขึ้นอีกกับเป้สัมภาระที่เบาลง

เหตุการณ์หนึ่งในปีที่ผ่านมา ฉันได้ขุดค้นพบสิ่งคล้ายจุดเริ่มต้นพฤติกรรมของตัวเอง ในช่วงที่ร่วมอยู่ในขบวนการอบรมหนึ่ง ฉันเป็นลูกคนสุดท้ายที่เกิดด้วย พ่ออยากได้ลูกชายอีกหนึ่งคน เป็นคำบอกเล่าของแม่ที่ฉันรับรู้ตั้งแต่จำความได้ และในวัยเด็กนั้นฉันรู้สึกว่าพ่อไม่ค่อยชอบฉัน พ่อไม่เคยชม ชอบเปรียบเทียบฉันกับลูกของคนอื่น และเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันและพ่ออยู่เหมือนไม่มีกัน ก็ตอนที่ฉันโดนพี่ชายแกล้งขังไว้ในบ้านหลอกว่าผีมา ฉันกลัว และร้องไห้เสียงดัง พ่อนับมะม่วงที่เก็บมาจากสวนอยู่ใต้ถุนบ้าน เมื่อฉันและพี่ชายลงมาเราแย่งกันนั่งเปล ฉันก็ร้องไห้ พ่อคงรำคาญเลยตีฉันด้วยฟืนหักไปหลายอัน จากวันนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่ในเนื้อในตัวฉันคือฉัน เรียกร้องหาเหตุและผลเสมอ และฉันก็ไม่ต่างจากเด็กผู้ชายเลย โดยเฉพาะความคิดที่ว่าฉันด้อยกว่าผู้ชายตรงไหนไม่ว่าความสารถหรือสติปัญญา ฉันสอบได้ที่หนึ่งทุกปี และไม่พึ่งพาใครเรื่องการบ้าน การเรียน ยกเว้นงานฝีมือทั้งหลาย และฉันอ่อนด้อยในกีฬาแทบทุกประเภท ผ่านไปแสนนานจนฉันโตสู่โลกที่กว้างขึ้น ฉันไม่เป็นที่หนึ่งแล้ว แต่บางสิ่งที่ยังคงอยู่ ฉันมีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น และไว้วางใจในตัวผู้ชายที่ก้าวเข้ามาคบหาในเชิงรักใคร่ชอบพอ ทุกคนที่เดินเข้ามาและจากไปบอกกับฉัน มีนัยว่า ฉันเป็นตัวของตัวเองมาก แมนมาก สำหรับฉันมันก็ยากยิ่งที่จะแสดงความรู้สึกอะไร เพราะฉันเองก็ไม่รู้ จนทุกวันนี้ก็เถอะ แต่สิ่งที่ฉันพบและตกใจไม่ใช่เรื่องความเจ็บช้ำจากการกระทำของพ่อ หรือการที่พ่อไม่ยอมรับฉัน และถึงวันนี้ฉันกับพ่อได้คลี่คลายความหมางเมินไปแล้วเมื่อปีที่ฉันอายุได้ 32 ปี สิ่งที่ฉันพบมันทำให้ฉันกล่าวโทษตำหนิตัวเองอย่างอัตโนมัติมาก ฉันหดหู่ที่ฉันเห็นว่า พ่อตีฉันครั้งเดียว และการรับรู้ว่าพ่ออยากได้ลูกชาย แต่ฉันเกิดมาเป็นผู้หญิง แค่นั้น อคติของฉันสร้างความเข้มข้นในความบาดหมางระหว่างฉันกับพ่อ และหลายต่อหลายอย่างเป็นความคิดปรุงแต่งของฉันเอง รวมทั้งที่ฉันต่อต้านไม่ยอมรับในผู้ชายแต่ฉันเองกลับแสดงออกในสิ่งที่ผู้ชายเขาเป็นกัน ......... ในความเงียบนิ่งเสียงเบาๆจากภายในถามฉันว่า แล้วยอมรับได้ไหม ฉันจะอภัยให้ตัวเองได้ไหมในสิ่งที่ทำ นำพามาถึงสามสิบกว่าปีปลายๆ ผ่านไปหลายวันกับความเศร้าลึกๆฉันสวดมนต์และเจริญสติ ไปตามโอกาสที่มี ฉันก็รู้สึกเบิกบานขึ้น คำว่าเมตตาตัวเองเกิดขึ้นกับฉันในวันหนึ่ง และฉันตรงลงกับตัวเองว่าฉันขอยอมรับในสิ่งเกิดขึ้น ที่ตัวฉันเองเป็นเหตุนำพาความเหินห่าง และพลัดพรากจากเป็น กับหลายๆคน ฉันอภัยให้กับตัวเองในสิ่งที่ฉันเองก็ได้เพิ่งค้นพบ การเริ่มต้นใหม่นั้นเกิดขึ้นได้เสมอ

ในวันนี้ถึงผู้คนที่ฉันเคยแอบมอบความรู้สึกรักได้เดินจากพ้นไปหมดแล้วก็ตาม แต่ความรักก็ยังงดงามอยู่ในหัวใจของฉัน ฉันกับพ่อ สมัครสมานสามัคคีรักห่วงใยกัน อย่าน่าประหลาด จัดว่าน่าอิจฉาทีเดียว ฉันรู้สึกว่าได้ประจักษ์ในการยอมรับและการให้อภัย ครั้งสำคัญในรอบปี 2553 นั้นคือ การยอมรับ และ ให้อภัย ตัวเอง

................................................................................................................

แง่งาม ....ในยามมืดมน/โดย ณ ภัทร

หลายคนคงเคยเห็นหิ่งห้อย ที่ทอแสงระยิบ ระยับ ในยามค่ำคืน ....ฟ้าสว่าง เราไม่เห็น แต่เมื่อฟ้ายิ่งมืดสนิท แสงของหิ่งห้อยยิ่งงามระยับชวนมอง หลายครั้ง ที่ฉันตื่นเต้นเมื่อได้เห็นหิ่งห้อยเหล่านั้น .....

ในความเป็นจริง ของชีวิต ความสุข ความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา เกิดและดับ เป็นเรื่องปกติ
แต่ความไม่ปกติ มันอยู่ตรงที่ มันเกิดกับตัวเรา ความทุกข์ที่สุดในชีวิตของฉัน คือ การจากไปของบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง เพราะท่านเป็นทุกๆ อย่างในชีวิต ท่านเป็นเสมือนฮีโร่ ในดวงใจ และเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นในโลกนี้ที่ฉันมีอยู่ คือ คุณพ่อ ..วันที่ทราบข่าวว่าพ่อไม่สบาย คือ เช้าวันพฤหัสบดี ที่ท่านไปตรวจสุขภาพ เพราะเดินไม่ค่อยคล่องแล้ว ยกช้อน ส้อม ในขณะทานข้าว ก็แทบไม่ไหว สำหรับพ่อแล้วกล้าหาญทุกอย่าง ในชีวิตนี้ แต่สิ่งที่พ่อกลัว กลับกลายเป็นหมอและ โรงพยาบาล เช้าตรู่ของวันนั้น พี่สาว พาพ่อและแม่ออกจากบ้านไป โรงพยาบาล ฉันนั่งรอฟังข่าวที่บ้าน บ่ายสองโมงตรง พี่สาวโทรมาบอกว่า คุณหมอสั่งแอดมิด ด่วน หลังจากทำทีซีสแกน ที่ฉันรู้ในขณะนั้น ว่าสิ่งที่ฉันต้องทำ คือ เตรียมเสื้อผ้า ทั้งของพ่อ แม่ และของตัวเอง เพื่อไปเฝ้าไข้ที่ รพ พี่สาวมาถึง เราก็ได้รับรู้ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ว่า พ่อเป็นอะไร และอยู่ในขั้นไหน หมอบอกพ่อมีเวลาไม่เกิน 2 - 3 เดือน

ความอึดอัดตั้งแต่เมื่อคืน มามลายหายไปตอนบ่ายสามโมงเย็นของวันที่พ่อถูกแอดมิด มันโล่งที่ได้รู้ว่าพ่อเป็นอะไร แต่ไม่ได้ดีใจที่ได้ยินว่าไม่สบายอย่างไร ความโล่งที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น มันเกิดจากการยอมรับความเป็นจริงหรือสิ่งที่เป็นไป ตามวิถีของมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกใบนี้ หากเราต้องมานั่งร้องห่มร้องไห้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ คงไม่ดีแน่นอน โดยเฉพาะต่อสภาพจิตใจของพ่อและแม่ ฉันและพี่สาว จึงตกลงกันว่า จะขอแบกรับความรู้สึกตรงนี้ไว้เองทั้งหมดเพื่อไม่ให้พ่อและแม่ไม่สบายใจ

ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องของโรงพยาบาล ยิ้มทักทายกับพ่อและแม่ และยังล้อพ่อเล่นๆ ว่า

"ไงจ๊ะ อยู่บ้านดีดีไม่ชอบ อยากนอน โรงพยาบาล ซะงั้น แต่ก็ดีเหมือนกันนะ ห้องก็สวยใช้ได้" ฮากันไปทั้งห้อง พ่อ ไม่สามารถที่จะเดินได้เองแล้ว ต้องมีคนคอยพยุงเพื่อไม่ให้ล้ม ขนาดปวดท้องปัสสาวะ จะรีบเดินไปเข้าห้องน้ำที่ห่างไปไม่กี่ก้าว ก็ยังไม่ทัน ได้แต่ยืนที่ข้างเตียงพยาบาลแล้วปล่อยให้มันเป็นไป อยู่ตรงนั้น ภาพที่เห็นเจ็บปวด แต่ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม กำลังใจทั้งหมดที่มีในชีวิต ต้องปล่อยให้มันงอกเงยออกมา โดยไม่ต้องรอใครส่งมาให้ เพราะกำลังใจจากตัวเองและความรักที่พ่อ แม่และครอบครัว มีให้มาตลอดชีวิต เป็นที่ยึดเหนี่ยวอยู่เสมอในยามที่เผชิญกับปัญหา

ผ่านไป หนึ่งเดือน ร่างกายที่ถูกใช้มาทั้งชีวิตของพ่อก็กลับคืนสู่ธุลีดิน แต่ในบั้นปลายชีวิต พ่อมีความสุขกับชีวิตช่วงสุดท้ายกับครอบครัว ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง กล้าหาญและ ยิ้มรับกับสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้า ทุกๆ วัน เราดูแลซึ่งกันและกันด้วยกำลังใจที่ดีและพร้อมเผชิญในทุกๆ ปัญหาและสถานการณ์บนความเป็นและความตายในทุกขณะจิต ดังนั้น การสูญเสียคุณพ่อครั้งนี้ เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของครอบครัวเรา แต่ ไม่ใช่การสูญสิ้น เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า การมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่เรารักนั้นยิ่งใหญ่ พอๆ กับ การจากไปเพียงร่างกายแต่ความรักยังสถิตย์อยู่ในทุกลุมหายใจ... เพราะเรา คือ ครอบครัว....

"Family" means nobody gets left behind ความหมาย ของครอบครัว คือการไม่มีใครถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง...


วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เล่านิทานเซ็น 15 เรื่อง

สำหรับการดำเนินชีวิตใหม่ในโลกใบเก่า
เล่าเรื่องโดย
: อาจารย์อภิปัญโญ

ภาพฝีพู่กันโดย : เขมานันทะ

ผู้ก้าวพ้นเปือกตม

ในกรุงโตเกียว สมัยที่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงร้อยปีมานี้ ยังมีพระภิกษุทรงวิทยาคุณเป็นเจ้าของเรื่องราวที่พิสดาร ทำอะไรๆ ไว้อื้อฉาวหลายอย่างเหมือนหลวงพ่อโต ในเมืองไทยสมัยพระ จอมเกล้าฯของเรา ท่านมีชื่อว่า หลวงพ่อตันซัน

หลวงพ่อตันซัน มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นคนสมัยใหม่มากมายเพาระท่านทรงความรู้สูงและมีคุณธรรม ท่านบรรยายวิชาปรัชญาในมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลยุคนั้น วิชาความรู้ทุกอย่างที่ท่านถ่ายทอดเผยแพร่ ล้วนเกิดจากการเข้าถึงธรรม ท่านใช้ความแตดฉานในคัมภีร์ต้นตำรับมาประยุกต์เข้ากับวิทยาการสมัยใหม่จึงแพร่พระธรรมได้เป็นอย่างดีในเวลานั้น

มีคราวหนึ่ง ท่านชวนเพื่อนภิกษุอีกองค์หนึ่งออกเดินธุดงค์พระรูปนี้ชื่อเอกิโด ท่านเอกิโดมีความรู้ดี และเคร่งครัดหยุมหยิมในระเบียบแบบแผน ฉะนั้นจึงมากไปด้วยวิตกกังขาที่จะต้องมัวมาระแวดระวังเรื่องอะไรๆ ไปเสียทุกอย่างเกี่ยวกับความผิดถูก อาจารย์ตันซันก็มองเห็นเครื่องกางกั้นใจของเพื่อนสหธรรมมิกองค์นี้เหมือนกัน ท่านรู้ดีว่าความรู้อันมากมายที่ยังไมมีประโยชน์แก่ดวงจิตของเพื่อนผู้นี้ มันเนื่องจากอะไรท่านเคยช่องจะแก้ไขอยู่ แต่ยังไม่ถึงเวลาอันควร

ระหว่างเดินมากลางป่าในวันหนึ่ง สองคนได้เดินมาตามทางเดิน ซึ่งฝนเพิ่งตกหนักไปครู่ พอมาถึงตอนลาดต่ำแห่งหนึ่งตรงนั้นมีโคลนเฉอะแฉะที่ยังไม่แห้ง ภิกษุทั้งสองก็เห็นหลังผู้หญิงคนหนึ่งกำลังพยายามก้าวข้าม แต่ยังเก้ๆ กังๆข้ามตรงฉะนั้นไม่ได้ เพราะเธอแต่งตัวภูมิฐาน สวมกิโมโนทำด้วยไหมและเครื่องเคราเต็มยศ ก่อนที่ท่านเอกิโดจะทันได้แปลกใจเสียด้วยซ้ำว่ากลางป่าทำไมเกิดมีผู้หญิงเอวบางร่างน้อยเดินอยู่คนเดียวเช่นนี้ ซ้ำยังแต่งตัวก็ไม่ถูกกับกาลเทศะเสียด้วย ทันใดนั้นท่านเอกิโดก้ถึงกับปากอ้าตาค้างที่เห็นท่านตันซันเพื่อนที่มาด้วยกัน ก้าวสวบๆล่วงหน้าไปอาสาอุ้มหญิงสาวคนนั้นขามตรงที่แฉะ เหตุการณ์ดำเนินไปชั่วครู่เดียว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรมดา คือ สหายร่วมเดินธุดงค์ทั้งสองก็คงเดินทางต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายม่มีใครปริปากพูดจากันเหมือนก่อนหน้านี้

ภายในใจคนเรานั้น เมื่อเงียบกันไปก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าใจของใครจะคิดจะว้าวุ่นไปอย่างไร ด้วยเรื่องอะไร ภิกษุทั้งสองก็คงเงียบกันไปตลอดทาง จนถึงเวลาหยุดพักในเวลาตอนค่ำวันนั้น พอจัดเตรียมเรื่องที่พักผ่อนเสร็จแล้วเสียงบ่นพร่ำของท่านเอกิโดก็หลุดจากปากออกมา หลังจากได้กลั้นใจ ไม่ปริปากอะไรเกือบครึ่งวัน ท่านพูดด้วยความลำบากใจ ตะกุกตะกักไม่เต็มเสียง ในเชิงตัดพ้อท่านตันซัน พวกเราเป็นพระเป็นสงฆ์แล้วไม่ต้องเข้าใกล้ผู้หญิงจะดีกว่า ยิ่งเป็นผู้หญิงสาวสวยเสียด้วยมันยิ่งจะเป็นอันตรายแก่พวกเรา ท่านทำไมไปทำอย่างนั้นก็ไม่รู้ ?

อาจารย์ตันซันจึงเอ่ยทักขึ้นว่า ผมวางเด็กนั้นที่ตรงนั้นมาตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้ว ท่านยังจะมาเที่ยวแบกเอาไว้อีกหรือ

ถ้อยคำย้อนให้โดยทันแก่เหตุ เพียงเท่านั้น ผลก็คือทำให้ท่านเอกิโด โพล่งแจ่มแจ้งขึ้นทันที ตัวท่านโดยทางร่างกายท่านได้ข้ามเปือกตมที่ชื้นแฉะตรงนั้น มาเมื่อตอนกลางวันวันนี้ แต่โดยทางจิตท่านเพิ่งข้ามเปือกตม เครื่องกางกั้นเรื่องจุกจิกหัวใจได้ ตรง ณ ที่พักเวลากลางคืนนั้นนั่นเอง

ดูเอาเถิดท่านทั้งหลาย จิตคนเรานั้นมันเป็นอะไรอย่างหนึ่ง กายสิทธ์ ความเกาะติดแน่นก็อาจมีที่ตรงนั้น ความปล่อยไม่ยึดพัวพันนุงนัง ก็อาจมีขึ้นได้ในเวลาถัดมาอย่างกระชั้นชิดชั่ววาระจิตเดียว ณ ที่ตรงนั้น หากใครก็ตามที่ศึกษามาอย่างถูกทาง ว่าจิตนี้มีธรรมชาติที่ยึดถือและมีธรรมชาติคลายความยึดถือได้อย่างไม่น่าเชื่อเช่นนี้ คนนั้นก็จะไม่มีอุปทานย้อนย้ำให้ตัวเองรูสึกอยู่เรื่อย ว่าจิตนั้นมันเศร้าหมองอยู่ทั้งตาปี ตาชาติเราจำต้องค่อยๆฟอกให้ใสสะอาดจนขั้นถึงขั้นไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อไม่นึกย้ำ โดยเข้าใจธรรมชาติของจิตถูกแล้ว เขาจะมีทางทำจิตให้ว่างเมื่อไหร่ก็ได้ ทุกครั้งสติรำลึกขึ้นว่า จิตวุ่นมาอย่างชุลมุนชุลเกแล้ว ทันทีที่เขาฉลาดก็จะเพิกเสียได้ เขาจะขจัดความมืดมัวของจิตที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ไปได้อย่างฉับพลัน โดยไม่ต้องกลับมาตามนึกย้อนอีก ว่าปล่อยจิตให้พิโยกพิเกนไปนานกี่มากน้อยแล้ว

คราวใดหากใครมีความรู้สึกว่า มีถูกมีผิดขึ้นจริงๆ ด้วยความยึดถือแน่ใจแล้ว คราวนั้นแหละพึงรู้เถิดว่าจิตของตนยังไม่ออกจากบ่วงบาศอันแน่นเหนียวของอุปทาน ความจริงที่มันมีอยู่อย่างไม่เปลี่ยนก็คือว่า จิตนี้มันจะหลุดออกจากเครื่องพันธนาหรือมันกำลังอยู่ใน ขณะแห่งการพัวพันกับโลกียารมณ์เท่านั้นเอง! ”

ปาฎิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ The Miracle of Being Awake

ติช นัท ฮันห์ เขียน

พระประชา ปสนนธมโม แปล

การดำรงอยู่ของชีวิต เป็นความจริงที่ลึกลับปาฏิหาริย์ หลายคนอาจคิดว่าการเดินบนน้ำหรือบนอากาศ หรือการรอดชีวิตจากอุบัติเหตุเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ แต่ท่านติช นัท ฮันห์ กล่าวว่า ปาฏิหาริย์ที่แท้จริง มิใช่การเดินบนน้ำหรือบนอากาศ หากแต่เป็นการเดินบนพื้นโลกอยู่กับความอัศจรรย์ทุกๆวัน เพราะการมีสติ เป็นสิ่งอัศจรรย์ตรงที่ช่วยให้เราเป็นนายของตนเอง และรักษาใจตนเองอยู่ได้ในทุกๆสถานการณ์
การมีสติไม่ได้มีแค่ตอนนั่งสมาธิ เท่านั้น แต่มีในทุกอาการ เช่น ในการล้างจาน ถ้าเรามีสติ ก็ควรล้างจานอย่างเดียว ซึ่งหมายความว่า ขณะล้างจานเราก็ต้องรู้ตัวทั่วพร้อมว่าเรากำลังล้างจาน ดังตอนหนึ่งของหนังสือว่า ครูกำลังยืนตรงนั้น และล้างถ้วยชามเหล่านั้นอยู่ เป็นความจริงที่ถือว่าเป็นความความอัศจรรย์ ครูเป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์ ตามลมหายใจตลอดเวลา รู้ตัวพร้อมถึงปัจจุบันกาลของตนเอง รู้พร้อมทั้งมโนกรรม และวจีกรรมต่างๆ ไม่มีทางที่จะทำให้ใจของครูแกว่งไปแกว่งมาเหมือนขวดแกว่งบนยอดคลื่น ความสำนึกของครูไม่มีอะไรจะมาทำให้ไหวหวั่นได้ ดังฟองน้ำบนผิวคลื่นที่ซัดกระแทกกับหน้าผา
ในกิจวัตรชีวิตประจำวัน เช่น การกิน การดื่ม การทำงาน ล้วนเป็นโอกาสแห่งการเจริญสติได้ ดังความตอนหนึ่งของหนังสือว่า เมื่อเดินอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเราเดินอยู่ เมื่อยืนอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเรายืนอยู่ เมื่อนั่งอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเรานั่งอยู่ เมื่อนอนอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเรานอนอยู่ เราตั้งกายไว้ด้วยอาการใดๆ ย่อมรู้ถึงกายนั้น ด้วยอาการอย่างนั้นๆ ด้วยอาการนี้ที่เราเป็นผู้อยู่ด้วย สติมั่นคงเห็นกายในกาย
แต่การมีสติรู้เท่าทันอาการต่างๆของกายนั้นยัง ไม่พอ เราต้องมีสติรู้พร้อมถึงลมหายใจแต่ละครั้ง การเคลื่อนไหวแต่ละหน ความคิดทุกความคิด และความรู้สึกทุกความรู้สึก นั่นคือ มีสติรู้ทั่วพร้อมถึงทุกสิ่งที่เนื่องกับตัวเรา การนั่งสมาธิเพื่อให้ เกิดสมาธิเพื่อให้เกิดสติ เป็นสิ่งยากที่คนทำงานทุกคนจะปฏิบัติได้ แต่สติสามารถทำให้เกิดในขณะทำงานได้ โดยท่านติช นัท ฮันห์ ได้แนะนำคือ การพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่งาน การตื่นตัวและพร้อมเสมอที่จะเผชิญกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างสามารถและ มีไหวพริบ นี่คือความมีสติโดยแท้ ไม่มีเหตุผลใดที่การมีสติจะต่างไปจากพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่งานของตน ตื่นตัวอยู่เสมอ และพร้อมจะตัดสินใจอย่างดีที่สุด ในขณะของการปรึกษาหารือ การแก้ปัญหาและการจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เราจะต้องมีหัวใจที่สงบและควบคุมตัวเองได้อย่างดี การงานนั้นๆ จึงจะได้รับผลเป็นที่พอใจ ถ้าเราอยู่ในภาวะที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ปล่อยให้ความไม่อดกลั้นและโทสะเข้าครอบงำงานขอบเราก็จะหมดความหมายไร้คุณค่า ทันที
ดังนั้น การมีสติคือการมีชีวิต ช่วยให้เราปลอดจากความขี้หลง ขี้ลืม และความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ สติช่วยให้การมีชีวิตทุกขณะจิตเป็นไปได้ ไม่ควรปล่อยตนเองให้หลงไปในความคิดฟุ้งซ่านและสิ่งแวดล้อมรอบตัว จงเรียนรู้วิธีฝึกลมหายใจ เพื่อจะได้คอยควบคุมจิตใจและร่างกายของเรา ฝึกสติ พัฒนาสมาธิและปัญญา ในพระสูตรต่างๆ พระพุทธองค์มักจะทรงสอนให้ใช้ลมหายใจบำเพ็ญสติเสมอ มีพระสูตรที่ตรัสถึงการใช้ลมหายใจเพื่อฝึกสติเจริญสมาธิ โดยเฉพาะพระสูตรหนึ่ง คือ อานาปานสติสูตร ซึ่งท่านเคือง ต่ง ห่อย ได้แปลพระสูตรนี้ไว้ว่า อานาปานะ คือ ลมหายใจ สติ คือ ความรู้สึกตัวทั่ว จึงแปลว่า การคุ้มกันจิต ดังนั้น อานาปานสติสูตร คือ พระสูตรว่าด้วยการใช้ลมหายใจในการเจริญสติ หรือคุ้มกันรักษาจิต
การหายใจ เป็นเครื่องมือตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ในการป้องกันความคิดฟุ้งซ่าน ลมหายใจเป็นสะพานเชื่อมระหว่างชีวิตและจิตสำนึก ทำให้ร่างกายและความคิดเป็นเอกภาพกัน หากเกิดความฟุ้งกระจายไป ควรใช้ลมหายใจ ในการรวมจิตเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง เราไม่ควรปล่อยตนเองให้ลุ่มหลงไปในความคิดที่ฟุ้งซ่านและสิ่งแวดล้อมรอบตัว การมีสติเพื่อให้ชีวิตเป็นหนึ่ง ของจักรวาล มีปรากฏการณ์ต่างๆมากมายดำรงอยู่ในชีวิตของเรา และตัวเราเองก็อยู่ในปรากฏการณ์ต่างๆ เรา คือ ชีวิต และชีวิตนั้นปราศจากขอบเขต บางทีเราอาจจะพูดได้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่จริง ไม่ใช่อยู่อย่างตายซาก ก็ต่อเมื่ออยู่อย่างเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโลก ดังนั้นร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ความทุกข์ของคนอื่นก็คือความทุกข์ของเรา ความสุขของคนอื่นคือความสุขของเรา สามัญลักษณะของจักรวาลประกอบด้วย อนิจจังทุกขัง อนัตตา ความสำเร็จล้มเหลวของชีวิตไม่สามารถที่จะทำร้ายเราอีกต่อไป
การบำเพ็ญ สมาธิเพื่อเข้าใจในเรื่องความเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน ต้องปฏิบัติอยู่เสมอ และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตการงานของเราประจำวันด้วย ทำให้เรามองเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเราเป็นตัวเราเอง และเห็นว่าเราเองคือคนคนนั้นด้วย เราจะต้องสามารถมองเห็นขบวนการก่อกำเนิดซึ่งกันและกัน และเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกันของสรรพสิ่งเหตุการณ์ ทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและจะเกิดขึ้นในอนาคตและให้มองสรรพสิ่งชีวิตด้วยสาย ตาแห่งความรักและความเมตตา ซึ่งฝึกมองสรรพสิ่งมีชีวิต ด้วยสายตาของความรักและความเมตตา คือ การฝึกสมาธิที่เรียกว่า เมตตานุสติ การเจริญเมตตานุสตินั้น จะต้องทำทั้งในขณะชั่วโมงของการนั่งสมาธิ และในทุกขณะที่ทำงาน ไม่ว่าจะไปที่ไหน นั่งที่ไหน เราจะต้องดำรงชีวิตที่เป็นของเราเอง การงานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น และงานคือชีวิตก็ต่อเมื่อเราทำงานนั้นด้วยสติเท่านั้น และชีวิตของเราเกี่ยวพันกับชีวิตบุคคลรอบๆเราด้วย หากเรารู้วิธีปกปักรักษา และระวังจิตใจและหฤทัยของเราเอง จะช่วยให้เพื่อมนุษย์รอบข้างเรา รู้จักการมีชีวิตอยู่อย่างมีสติ ภายในครอบครัวหนึ่ง หากมีคนใดคนหนึ่งในครอบครัวฝึกการเจริญสติ คนอื่นๆในครอบครัวจะสามารถเจริญสติได้ด้วนการกระทำที่มีสติของคนคนนั้น จะเตือนคนทุกคนในครอบครัวให้ระลึกถึงความมีสติได้ และคนที่ทำงานเพื่อ สังคม ซึ่งก็คือครอบครัวๆหนึ่ง เราไม่ต้องหวังว่าคนรอบตัวเราจะไม่ทำดีที่สุด ให้ห่วงตัวเองเพื่อทำตนเองให้มีคุณประโยชน์ก็เพียงพอ เพราะถ้าตัวเราทำดีที่สุด ก็จะช่วยเตือนเพื่อนๆรอบข้างให้ทำดีที่สุดด้วย
เวลา ที่เราอยู่ในสมาธินั้น ทั้งร่างกายและจิตใจของเราสามารถที่จะอยู่ในสภาวะสงบและผ่อนคลายเต็มที่ ซึ่งสภาวะแบบนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิงจากสภาวะจิตที่อยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่ง ตื่นขณะที่เราเคลิ้มๆ เพราะนั่นเป็นเหมือนเรานั่งอยู่ในถ้ำมืดมากกว่าการนั่งสมาธิ ซึ่งทำให้เรามีสติสมบูรณ์นั้น เราไม่เพียงแต่ได้พักผ่อนและมีความสุขเท่านั้น หากยังทำให้จิตของเราว่องไวและเบิกบาน ตื่นอยู่เสมอ การภาวนาไม่ใช่การ หนีโลก หากแต่เป็นการเผชิญกับความเป็นจริงของโลกด้วยจิตที่แจ่มใสเยือกเย็นต่างหาก ผู้บำเพ็ญสมาธิ เจริญสติทั้งหลายควรจะตื่นอยู่เสมอ เพราะถ้าหากไม่ตื่นอยู่เสมอ จิตก็จะตกอยู่ในภาวะฟุ้งซ่านและขี้หลงขี้ลืมไป เหมือนคนขับรถ ซึ่งถ้าไม่ตื่นอยู่เสมอก็ประสบอุบัติเหตุถึงชีวิตได้ง่ายๆ
ดังนั้น ควรจะตื่นเหมือนคนที่กำลังเดินอยู่บนไม้คานในที่สูง หากก้าวพลาดเพียงก้าวเดียวก็หมายถึงความตาย จึงควรจะเป็นเหมือนอัศวินในยุคศักดินาผู้เดินมือเปล่าฝ่าเข้าไปในดงดาบ เป็นเหมือนราชสีห์ที่ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ทีละก้าวๆ อย่างสุภาพ แต่มั่นคงองอาจ อยู่กับความไม่ประมาทชนิดนี้เท่านั้น จึงจะมีโอกาสเข้าถึงภาวะของการเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อันสมบูรณ์

จงจำไว้ว่ามีเวลาที่สำคัญ ที่สุดเวลาเดียว คือ ปัจจุบัน ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้น ที่เป็นเวลาที่เรา
เป็นเจ้าของอย่างแท้จริง บุคคล ที่สำคัญที่สุดก็คือ คนที่เรากำลังติดต่ออยู่ คนที่อยู่ต่อหน้าเรา เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การทำให้คนที่เราอยู่กับเราขณะนั้นๆ มีความสุข เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิตเรา จะทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับคนรอบข้างเรา ช่วยลดความทุกข์และเพิ่มความสุขแห่งชีวิตเหล่านั้น คำตอบก็คือ เราจะต้องมีสติ

เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เมื่อยามที่มีปัญหาทั้งเรื่องของตัวเอง ครอบครัว ที่ทำงาน เพื่อน หรือคนที่เราไม่รู้จักที่หนึ่งของโลก สิ่งที่ทำได้คือ ยิ้มน้อยๆ หลังจากเศร้าใจและผิดหวังจากคนรอบข้างหรือตัวเอง และกำลังอยู่ในระหว่างการฝึกที่จะมองทุกสิ่งทุกอย่างให้มีความเชื่อมโยงกับ ตัวเรา ได้รู้คำตอบของพระจักรพรรดิที่ถามว่า เวลาไหนเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง ( ปัจจุบัน ) ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย ( คนรอบข้างเรา ) และอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา ( ลดความทุกข์ เพิ่มความสุข ) ได้รู้ ต้องบอกว่าได้รู้วิธี แนวทาง การเจริญสติเท่านั้น ซึ่ง ณ ตอนนี้ ยังทำไม่ได้แต่พยายามอยู่ เพื่อตัวเอง ครอบครัว งาน และสังคม