วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ว่าด้วยเรื่อง "ความมั่นคงทางอาหาร" 2

อ่ะ อ่ะ แม่ทาก็ไม่น้อยหน้าเช่นกันนะ พืชที่จะปลูกในโครงการมีตั้ง 12 ชนิดแนะ มีอะไรบ้างนั้นดูเอา
1. มะเขือเปาะ
2. ถั่วพู
3. พริกขี้หนู
4. กระเพรา
5. โหรพา
6. แมงลัก
7. ผักเชียงดา
8. มะเขือเทศ
9. ตะใคร้
10. ใคร้หอม
11. ผักไผ่
12. สะระแหน่

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ว่าด้วยเรื่อง "ความมั่นคงทางอาหาร" 1

พื้นที่บากเรือ ได้ส่งรายการพืชเข้าประกวด ... อุ๊ย! ไม่ใช่

บากเรือ ส่งรายการชนิดพืชที่จะปลูกตามโครงการสร้างความมั่นคงทางอาหารมาให้ แล้ว เป็นดังนี้เจ้าค่ะ

1. กล้วย
2. ตะไคร้
3. พริก
4. มะเขือ
5. ต้นหอม
6. กระเทียม
7. บวบ
8. แตงกวา
9.ผักชีฝรั่ง
10. แตงไทย (ทำขนมหวานอินทรีย์ อร่อยยยยย หอมมมม หวานนน...)

และ มากไปกว่านั้น พื้นที่บากเรือ ยังจะผลิต

1. ปลา อินทรีย์ (ไม่ใช่ปลาทะเลนะ หมายถึง ปลาน้ำจืด ในระบบอินทรีย์)
2. เป็ดเทศ อินทรีย์
3. เป็ดไข่ อินทรีย์


ว๊าวววว!!!! สุดยอด เลย สัมนาปีหน้า พวกเราจะมีอาหารอินทรีย์ อุดมสมบูรณ์ ให้ทานกันเปรม เลยมั๊งเนี่ย

ปีหน้าแก้ตัวใหม่นะคะ กล้วย ปีนี้ มันงอมไปนิสสนึง!!.....555+

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ตลาดการซื้อขายคาร์บอนโดยความสมัครใจ (voluntary market)

ไปสัมนามา เลยสรุป ลงมา .....แชร์ให้อ่านกัน





  • 16 January, 2009

    Voluntary market ไม่ใช่ CERs และไม่ใช่แบบ VER ที่ผู้ซื้อเป็นผู้กำหนดราคาเอง แบบที่ซื้อขายกันอยู่ในปัจจุบัน และ voluntary market ก็เหมา ะสำหรับโครงการเล็กๆ ที่ มีอัตราการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ

    ข้อดีของ voluntary market คือ

1.ไม่ต้องมีใครมาบังคับ หรือวางกรอบข้อกำหนดการ development project เหมือนกับ ระบบ CERs

2.เกิดการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการ กับ ชุมชนท้องถิ่นโดยรอบโครงการ

3.สามารถก่อให้เกิดประโยชน์กับทั้ง โครงการขนาดเล็ก และ โครงการขนาดใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากระบบ CERs ที่ต้องผ่านกระบวน

4.การขอรับรองและกำกับโดยรัฐบาล ที่จะเน้นเฉพาะโครงการใหญ่ๆ ทั้งนี้ เพื่อความคุ้มทุนในการลงทุนขอรับรอง

ข้อด้อยของ ระบบ voluntary market คือ

1.มีบางส่วนของโครงการหรือบาง section ที่รัฐเข้าไปควบคุมไม่ได้ และจะทำให้ตรวจสอบยาก กระจัดกระจาย เช่น โครงการด้านป่าไม้

2.ถ้าหากมีการซื้อขาย กันในเวลาต่อมา ระหว่าง ชาวบ้าน และ ผู้ซื้อ ที่เป็นต่างชาติ เช่น แบบ ไม่ต้องผ่านการขอรับรองเพื่อให้ได้ CERs แต่เอกสารทั้งหมด ก็ยังคงเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้น จึงเป็นข้อกังวลว่า ชาวบ้าน จะถูกเอาเปรียบ ชาวบ้านจะรู้ได้อย่างไรว่าเอกสาร

3.สัญญาข้อตกลง จะยุติธรรม แล้วจะมีองค์กรหน่วยงานใด เข้ามาดูแล

4.ความยุติธรรม ระหว่าง ผู้ก่อมลพิษ ผู้ลดคาร์บอน ผู้ขาย และ ผู้ซื้อคาร์บอนเครดิต ในระดับนโยบายระหว่างประเทศ จะเป็นไปในทิศทางใด (เพราะถ้าขายในประเทศเอง ไม่น่าเป็นห่วง เพราะเราปล่อยเอง ลดเอง อยู่แล้ว)

5.ตามหลักเศรษฐศาสตร์ นั้น ต่อไปการพัฒนาโครงการจะมีต้นทุนสูงมาก เพราะจะมีผู้ซื้อน้อย

โดยรวม ถ้าหากประเทศไทยจะทำหรือเปิด ตลาดคาร์บอนแบบสมัครใจ จะต้องเลือกว่า ข้อดี ข้อไหน ที่ควรนำมาทำ และ หากเป็นกรณี ป่าไม้ ต้องคิดให้รอบคอบมากที่สุด อย่างไรก็ตาม การเริ่มทำแบบสมัครใจ หรือ carbon offset นั้น ก็ถือเป็นการได้เรียนรู้ เรียนผิด เรียนถูก ก่อนที่ในอนาคตนั้น ทั่วโลกจะต้องถูกบังคับให้ทำอย่างแน่นอนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายโลกร้อน ที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ให้ commitment เรื่องนี้ไว้ และเป็นกฏหมายออกมาแล้ว โดยตั้งเป้า การลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ลง มากกว่า ร้อยละ 80 ในปี 2050

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Web log



สวัสดีชาวกรีนเนททุกคน

ต่อเนื่องจากงานสัมมนาองค์กร กลับมาก็มี "งานเข้า" ทันที คิดว่าเพื่อนๆ ทุกคนก็คง "งานเข้า" กันถ้วนหน้า

ปีนี้กรีนเนทเราเน้นการปรับตัวเป็นสำคัญ นี่ก็เป็นกิจกรรมหนึ่งที่จะให้เจ้าหน้าที่แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร/ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ ระหว่างส่วนกลางและต่างจังหวัดผ่าน Blog กรีนเนท อาจจะยากซักหน่อยสำหรับคนที่พึ่งเริ่มแต่เราก็ต้อง "ปรับตัว"

นันท์ได้ทำคู่มือแบบ step by step สำหรับการเขียน blog รับรองว่าใครที่ไม่เคยเล่นคอมฯ ก็ยังทำได้ว่างั้นเถอะ หุหุหุ

ประมาณต้นเดือนมีนาคม 52 คงได้รับคู่มือการเขียน blog กรีนเนทกันจ๊ะ

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

การจัดการน้ำ

เห็นวีดีโอนี้ ดูแล้ว ก็อยากให้เพื่อนๆ ได้ดูด้วย เผื่อจะเกิดไอเดีย นวัตกรรม แปลกๆ ใหม่ ในการจัดการน้ำ

ข้อแนะนำ : บ้านใครเน็ตเต่า (ช้า) ให้คลิก เล่น แล้ว ก็กด pause II ไว้ก่อนเพื่อให้โหลดวิดีโอจนเสร็จแล้วค่อย กดปุ่ม เล่น นะคะ จะได้ไม่สะดุด กึก กึก เวลาดู




วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ว่าด้วยเรื่อง "ความมั่นคงทางอาหาร"

พื้นที่เลิงนกทา เป็นกลุ่มแรก ที่ส่ง รายชื่อ ชนิดพืชที่จะทำการปลูกในโครงการความมั่นคงทางอาหาร

(ติดตามโดยพี่สิงห์โต ค่ะ รวดเร็วดี นะคะ ....555+)


1. น้ำเต้า
2. มะกอกเลบานอน
3. ถั่วปี (คล้ายถั่วฝักยาว)
4. บวบหอม
5. ถั่วพูสีม่วง
6. ผักปัง
7. แคขาว

จะเห็นว่า...เดิมทีเลิงนกทา จะมีแค่ 5 ชนิด ตอนนี้ มีทั้งหมด 7 ชนิด ค่ะ.....

ขอปรบมือให้ ....ที่ขยันเพิ่มความหลากหลาย นะคะ

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

งานเข้า งานเข้า!!!

งานเข้า! งานเข้า! ประโยคยอดฮิต จากการสัมนาประจำปี ขององค์กรเรา






ฟังแล้ว...อาจ ดูน่าเบื่อนะคะ เหมือนกับว่า ทำไม ตรูต้องทำอะไรเยอะแยะไปหมด ด้วยนะ (อันนี้นู๋ก็เป็นค๊า ..สติแตกมาแล้ว ชัดเจน!!..ฮ่า ฮ่า ฮ่า!! ต้องขออภัยถ้าทำให้ตกใจ..หุ หุ!)

ที่จะบอกวันนี้ ก็คือว่า มีงานเข้า ดีกว่าไม่มีค่ะ จากสัมนาเราก็คงจะรู้แล้วว่า สภาวการณ์ภายนอกเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้องค์กรเราต้องปรับตัวกันขนานใหญ่ เพื่อแสวงหาการทำงานใหม่ๆ หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เสริมการทำงานของเรา พอดีไปอ่านเจอว่า มีนักโมติเวทชื่อดังของเมืองไทย แนะนำเกี่ยวกับการสร้างพลังใจในการทำงาน เอาไว้อย่างน่าสนใจ เลยอยากเล่าสู่กันฟังบ้าง เผื่อจะให้แต่ละคนพอทำใจได้กับสถานการณ์ข้างหน้าที่กำลังจะเข้ามา หรือที่เรียกง่ายๆ ก็คือ “งานเข้า” นั่นเองจ้า....อิอิ
เขาบอกว่า.....ไม่ว่าเราไปเจอกับผู้คน สถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อมแบบใดก็ตาม มันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองและวิธีคิดของเราทั้งสิ้นว่า เราจะมองสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไร... ถ้าเรามองมันในแง่บวก ชีวิตของเราก็ยังคงมีพลัง แต่เรามองมันในแง่ลบ ชีวิตของเราก็จะหมดพลัง! .. โค้ชสิริลักษณ์จึงได้แนะนำหลักคิดที่ทรงพลังแบบง่ายๆ เอาไว้ ดังนี้ค่ะ



หลักคิดแบบทรงพลัง!!!






1.เวลาที่เราเป็นทุกข์ ให้ดูคนที่แย่กว่าเรา
ให้รู้ไว้เลยว่าเราไม่ใช่คนที่เจอเรื่องเลวร้ายที่สุด อาจจะมีใครบางคนได้รับบางสิ่งบางอย่างที่แย่กว่าเราอยู่







2.ทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่อให้ประโยชน์กับเราไม่วันนี้ก็วันหน้า
หลักคิดแบบนี้ทรงพลังมาก!!... การที่เราเจอความยากลำบากในชีวิต มันอาจจะทำให้เราเป็นคนขยันมากขึ้น มุ่งมั่นอดทนมากขึ้น ประหยัดอดออมมากขึ้น ใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ความยากลำบากเหล่านี้อาจสร้างนิสัยใหม่ที่ดีให้กับเราก็ได้!







3.ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส
สิริลักษณ์เปรียบเปรยว่า เวลาที่ “ฝนตกหนัก” คนส่วนใหญ่ก็จะ “หลบฝน” อยู่ในบ้านหรือในอาคาร ไม่อยากออกไปไหน แต่คนที่มองเห็นโอกาสเขาจะ “ขายร่ม”
ซึ่งการสัมนาขององค์กรเราที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 12 – 15 กุมภาพันธ์ 2552 ก็น่าจะเป็นโอกาสดี ที่เราจะได้เห็นมุมมองการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและการเตรียมความพร้อมเพื่อการทำงานและยิ่งถ้าเราฝึกสร้างพลังใจอย่างแข็งแกร่งเข้าไปอีก ไม่แน่ว่าองค์กรเรา อาจได้เพชรเม็ดงามฉายแสงออกมาหลายเม็ดก็ได้!



4.ความหวังทำให้เรามีพลังและกำลังใจในการทำสิ่งต่างๆ
แต่อย่าคาดหวังในผลลัพธ์ว่ามันจะต้องออกมาอย่างที่ใจเราอยากให้เป็น เราควบคุมการ “สร้างเหตุ” ได้ แต่เราอาจจะควบคุม “ผลลัพธ์” ของมันไม่ได้ เช่น ถ้าเราปลูกต้นไม้ แน่นอนว่าเราต้องหวังจะให้มันเติบโต ออกดอกออกผล ดกๆ มาให้เราเก็บเกี่ยว
แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือ เอาใจใส่ดูแลรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยให้ดีที่สุด ส่วนผลไม้จะออกมาเมื่อไรนั้น เราอาจจะควบคุมไม่ได้ ถ้าเราจ้องทุกวันว่า “ผลไม้!...เอ็งควรจะออกลูกมาให้ข้าได้แล้ว” เราจะเป็นทุกข์หรือไม่



5.ใช้เวลาดูปัญหา 5% อีก 95% คิดหาวิธีแก้ไข
อย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับปัญหา ให้ใช้เวลา 95% คิดหาทางออกจากปัญหาจะดีกว่า!! ให้ถามตัวเองว่า “ฉันจะแก้ไขเรื่องนี้ให้ดีขึ้นอย่างไรได้บ้าง ?”



6.ช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่นเยอะๆ แล้วเราจะรวย!!
นี่คือสุดยอดเคล็ดวิชานะคะ! โค้ชสิริลักษณ์กล่าวย้ำ โลกนี้เต็มไปด้วยปัญหา ถ้าเราสามารถช่วยแก้ปัญหาให้ผู้อื่นได้ เขาก็จะเอาเงินมาให้เรา!... ส่วน “ความรวย” ขึ้นอยู่กับ “คุณภาพ” ของสิ่งที่เรามอบให้ และ “ปริมาณ” ของคนที่เราได้ช่วยเหลือ!!... ดังนั้นช่วย “แก้ปัญหา” ให้ผู้อื่นด้วย “คุณภาพ” ระดับมืออาชีพและช่วยให้ได้ “ปริมาณ” เยอะๆ!! .. รวยแน่นอนค่ะ!!



ซึ่งหลักการตามข้อ 6 นั้น โค้ชสิริลักษณ์ได้นำไปใช้กับองค์กรธุรกิจเอกชน แต่ถ้าจะเกี่ยวข้องกับองค์กรเราอยู่บ้าง ก็ตรงที่ การช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่น ด้วยคุณภาพ หรือ ความรู้ความสามารถเฉพาะทางขององค์กรเรา ก็คงจะพอนำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้กับการทำงานขององค์กรเราได้ และทันสมัยซะด้วยสิ เพราะนอกจากงานส่งเสริม งานการตลาดแล้ว เราก็ยังมีงานบริการด้านการเป็นที่ปรึกษาด้วย ..... น่าสนใจนะคะ แม้ว่าเราไม่ได้มีปณิธานที่หวังจะร่ำรวย อะไร แต่ เป้าหมายของเรา ก็คือ การพึ่งตนเองให้ได้ เราพึ่งตนเองได้ เราก็จะมีเสถียรภาพในการทำงานมากขึ้น ขณะเดียวกัน เราก็ช่วยเหลือเกษตรกรในเครือข่ายได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน เห็นด้วยหรือไม่คะ??



สุดท้าย โค้ชสิริลักษณ์ เน้นย้ำว่า
“จำไว้นะคะว่า ...พลังใจสำคัญที่สุด!!...” ไม่ว่าเราเจอวิกฤตอะไรในชีวิต ขอให้เรามี “พลังใจ” ที่ดีอยู่เสมอ ความรู้และความสามารถของเราจะไม่มีความหมาย ถ้าเราไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร หรือถ้าถึงขนาดท้อแท้สิ้นหวัง ยิ่งทำอะไรไม่ได้ใหญ่เลย




ขอให้ทุกคนมีความสุขในการใช้ชีวิต และ ยิ้มรับกับงานที่กำลังจะเข้ามากันทุกคนนะคะ ..อิอิ..โชคดีค่ะ