วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

รากแรกแห่งกระบวนกร

สืบเนื่องจากที่ศิษย์รุ่นที่แล้ว ได้สำเร็จวิทยายุทธกระบวนกรจากเสมสิกขาลัย จนบัดนี้ได้ท่องยุทธจักรกับงานสุขแท้ด้วยปัญญา เดินสายไปทั่วราชอาณาจักรไทยมากกว่าเดิม คราวนี้ข้าพเจ้าจึงขอโอกาสนั้นบ้างเพื่อให้ได้เรียนรู้และขัดเกลาตัวเองมากขึ้น แต่ก็มีเสียงเตือนจากศิษย์พี่หลายท่านบอกถึงกระบวนการอบรมที่ค่อนข้างกดดัน และหนักเอาการกับการที่ต้องเตรียมกระบวนการต่างๆ ตลอดจนเมื่อผ่านวิชาสำนักนี้แล้วก็มีงานให้เอาไปใช้มากขึ้นด้วย อิ อิ

ครานี้มีว่าที่กระบวนกรมาจากหลากหลายภาคส่วนกว่า ๒๒ คน เช่น จากเชียงราย เชียงใหม่ ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ ขอนแก่น สงขลา กรุงเทพฯและเวียงจันทร์ ประเทศลาว อีกทั้งยังมิได้มีแต่เราผู้ดำรงเป็นฆราวาสเท่านั้น แต่เพื่อนร่วมรุ่นคราวนี้มีสมณะสงฆ์อีก ๓ รูปด้วยกันทั้งภิกษุไทยและจีน ทำให้เริ่มตระหนักได้ว่า "กระบวนกร ๑" คงมีความน่าค้นหาอะไรมากขึ้นกว่าที่เราคิด ทำไมการเป็น
กระบวนกรจึงได้รับความสนใจจากบุคคลหลากหลายบทบาท
หลากหลายภาคส่วน ทั้งNGO และเอกชน

ตอนเริ่มอบรมวันแรกหลายคนอดบ่นไม่ได้ว่าเนื้อหามันหนัก ทำไมทีมวิทยากรจะต้องให้เรารู้อะไรเยอะอย่างนั้น แต่ก็มาถึงบางอ้อตอนที่ให้เราฝึกทำเป็นกระบวนกรจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกการจับประเด็น การใช้ประโยคคำถาม การวางแผนวิธีคิด และการถอดบทเรียนเพื่อการเรียนรู้อย่างมีส่วนรวมเลยได้รู้ตัวกันหมดเลย พร้อมฟันธงว่าห้ามตัดเนื้อหาที่ต้องเรียนในวันแรกเด็ดขาดในรุ่นต่อไป เพราะเป็นเรื่องปัจจัยพื้นฐานที่จะนำมาเพิ่มทักษะการเป็นกระบวนกรที่ดีมากขึ้น แต่ในใจก็คิดเหมือนกันนะว่า ที่กรีนเนท ก็มีพี่ๆ หลายคนไม่ว่าจะเป็นพี่วิฑูรย์ พี่ธวัชชัยก็จะคอยให้พวกเรานักส่งเสริมทั้งหลายฝึกทักษะพวกนี้บ่อยๆ ทั้งบังคับและขอร้องให้ทำไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ รายงานการทำงาน การเขียนบทความ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันเอง หรือ กระทั่งการเขียน block นี้เองก็ตาม ก็อย่างว่าบางครั้งคนเรามักจะไม่ค่อยได้ส่องกระจกมองดูตัวเองเท่าไร แต่มักจะเพ็งเล็งคนอื่นที่เห็นซะคุ้นชินมากกว่า พอมีคนอื่นมาบอกว่าเห็นเงาเราในกระจกบ้างก็พึ่งจะรู้ตัวเอง
หลายคนเมื่อได้ส่องกระจกตัวเองแล้ว แต่ละคนก็ตระหนักได้ว่าความยากในการเป็นกระบวนกรของแต่ละคนมีข้อที่ต้องแก้ไขไม่ได้ต่างกันมากนัก โดยเฉพาะคนที่ทำงานในภาคพัฒนาสังคมมักมีปัญหาในเรื่อง "อัตตา" หรือตัวตนของตนเอง เพราะเป็นสาเหตุใหญ่สำคัญที่ทำให้ก่อเกิดการใช้อำนาจเหนือได้ง่ายมาก แถมยังจะพาพรรคพวกอีกหลายตัวมาใช้ในเวทีการเรียนรู้อีก เช่น การชักนำประเด็น การพูดจูงใจให้เห็นคล้อยตาม การด่วนตัดสินคนอื่น จนกระทั่งการยึดพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนไปทั้งหมด ซึ่งก็ทำให้เวทีในการแลกเปลี่ยนอย่างกัลยาณมิตรหายไปทันที เรียกได้ว่า คิดแทน ผู้แทน และทำแทนอีกด้วยในบางครั้ง
ดังนั้นพวกเราที่เป็นนักส่งเสริมคงต้องมี "การฝึกตน"อย่างหนักทีเดียวไม่ว่าจะเป็นการวางฐานรากแห่ง สติ สมาธิและปัญญา ให้พร้อม บวกกับทักษะต่างๆ เช่น การจับประเด็น การตั้งประโยคคำถาม ระบบวิธีคิดที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นผู้ถ่ายทอด หรือ ผู้รับสาร จนถึงการถอดบทเรียนร่วมกัน ส่วนใครที่ต้องการจะฝึกและต้องการได้รับคำติชมก็บอกกันได้นะ มีศิษย์พี่หลายคนที่คอยช่วยกันขัดเกลาอยู่

3 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

กระบวนกร ....

คงเป็นเรื่องยาก น่าดู

ก็ยินดีด้วย ที่ได้ไปฝึกมานะจ๊ะ

องค์กรเรา จะได้มีกระบวนกร เยอะๆ ช่วยกันจัดกระบวนการ .....

กุหลาบหิน กล่าวว่า...

ยินดีกับวิทยายุทธที่ได้ฝึกปรือค่ะ เหลืออีกเยอะนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อัตตา เป็นเรื่องยากที่จะลดมันได้ แต่หากเราทำอะไรด้วยสติ มากกว่าความคิด เราก็จะลดอัตตาของตัวเราลงได้เช่นกัน เพราะสติจะช่วยให้เรารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่นะปัจจุบัน ซึ่งการไม่คิดถึงอดีตและอนาคตก็ช่วยให้เราลดอัตตาในตัวเราลงได้ แต่เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา สติ เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการเป็นนักจัดกระบวนการ เพราะจะทำให้คุณไม่คิดตัดสิน และเกิดการฟังอย่างตั้งใจ ยินดีด้วยสำหรับนักจัดกระบวนการคนใหม่