วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ชีวิตสอนอะไรเราบ้าง

ชีวิตสอนอะไรเราบ้าง

เขียน : อลิซาเบธ คืบเลอร์ รอสส์ และเดวิด เคสเลอร์

แปล : นุชจรีย์ ชลคุป

สรุปย่อ : ธนวรรณ บุญนอง (ติ๋ว)

คนเราจะได้เรียนรู้คำว่า ชีวิต ที่แท้จริง ก็ต่อเมื่อเราใกล้จะตายซึ่งมันก็สายไปเสียแล้ว เพราะเวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่เราใช้ไม่คุ้มค่า ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในหนังสือเล่มนี้ก็จะกล่าวถึงเรื่องตัวตนที่แท้ ความรัก ความสัมพันธ์ การสูญเสีย พลังอำนาจ ความรู้สึกผิด เวลา ความกลัว ความโกรธ การเล่นสนุก ความอดทน การสยบยอม การให้อภัย และความสุข ซึ่งจะสรุปดังนี้

1. ตัวตนที่แท้

บางครั้งเราก็ต้องแบกรับบทบาทต่างๆมากเกินไป เช่น บทบาทในการเป็นสามี ภรรยา และลูก แต่ทำไมเราไม่เป็นตัวของตัวเราเอง เมื่อถึงจุดหนึ่งคุณอาจตระหนักว่าบทบาท อันหนักหนาสาหัสนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของคุณ ดังนั้นคุณจึงโยนมันทิ้งไป เราจะเข้าใจว่าตัวเรา เป็นใคร มากขึ้นก็ต่อเมื่อเราใกล้ตาย การแสวงหาและการเป็นตัวเราอย่างแท้จริง ค้นหาว่าเราต้องการและไม่ต้องการ การทำอะไรที่ต้องการทำอย่างนี้เพราะเรารับผิดชอบต่อประสบการณ์ของตนเอง เราต้องกระทำทุกสิ่ง เพราะการค้นพบจะนำความสุขสงบมาให้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการงาน ถ้าเราทำบางสิ่งเพียงเพื่อให้ดูมีค่าในสายตาคนอื่น เท่ากับเรามองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่เรามักเลือกทำในสิ่งที่ ควร ทำมากกว่าสิ่งที่เรา ต้องการ ทำ ในบางครั้งลองทำตามแรงกระตุ้นที่เรามักจะเก็บกดไว้ หันมาทำอะไร แปลกๆใหม่ๆ ดูบ้าง เราอาจไดเรียนรู้ความเป็นตัวเรามากพอสมควร

2. ความรัก

ถ้าเราพูดถึงคำว่า ความรัก ก็ต้องนึกถึง ทุกอย่างดูสวยงาม มีแต่ความสุข ไม่มีอุปสรรค แต่ในชีวิตจริงเมื่อเรามีใครสักคน เราต้องเจอความผิดหวัง อาจจะไม่สมหวังกับความรัก เพราะเราได้ตั้งเงื่อนไขกับความรัก ซึ่งมันก็เป็นที่ตัวเรา เพราะเราคาดหวังกับแฟนไว้หลายๆเรื่อง เรื่องที่เราคาดหวังไว้แต่คนรักไม่ได้ทำตามอย่างที่เราคาดไว้ เราก็โกรธ ทำให้เราคิดว่าเขาไม่รักเราเขาถึงไม่ไม่ดำทำให้เรา ในความเป็นจริงสิ่งที่เขาไม่ได้ทำให้เรานั้น เขาอาจจะมีเหตุผลอื่นที่เขาไม่สามารถบอกเราก็ได้ ฉะนั้นเราก็ควรปล่อยวาง ต้องรู้จักโดยไม่มีเงื่อนไขถึงจะได้พบกับความรักอย่างแท้จริง ต้องรู้จักรักที่ตัวตนที่แท้จริงของเขา เข้าใจเขาและยอมรับในสิ่งที่เขาชอบและเป็น รักโดยไม่หวังผลตอบแทน

เงื่อนไขของความรักก็คือ สิ่งที่กำเนิดอยู่ในความสัมพันธ์ของเรา เมื่อยกเลิกเงื่อนไขเหล่านั้น เราจะพบความรักอันหลากหลายอย่างที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน

ความรัก ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบ พี่น้อง พ่อแม่ ญาติ คนรัก แต่เราสามารถมอบให้ได้กับทุกคน เราจะพบความรักอย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อเรามอบความรักให้โดยปราศจากเงื่อนไข

3. ความสัมพันธ์

การที่เราได้อยู่กับคนที่เรารัก เราไม่สามรถรู้ได้เลยว่าเขาจะอยู่กับเราได้นานเท่าไหร่ อาจเป็นเวลาชั่วข้ามคืนเท่านั้น ที่เราได้อยู่กับเขาเป็นครั้งสุดท้าย ฉะนั้นเราจงทำวันนี้ให้ดีที่สุด มีคู่สมรสคู่หนึ่งชื่อ แจ็กสันกับแอน แจ็กสันได้รับการรักษาตัว ปลูกถ่ายไขกระดูกแต่ก็ล้มเหลว ซึ่งน่าจะมีชีวิตอีกไม่นานแอนจึงตัดสินใจแต่งงานกับแจ็กสัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาราบรื่นมาโดยตลอด อยู่มาวันหนึ่งแจ็กสันหายเป็นปกติ แต่แล้วเขาก็สังเกตว่าแอนไม่เหมือนเดิมพวกเขาทะเลาะกันมากขึ้นในที่สุดก็เลิกรากัน และมีอีกคู่สมรส ชื่อชาร์ลส์กับเคธี ชาร์ลส์เข้าใจแนวคิดกระจกสะท้อนเป็นอย่างดี เขาบอกว่า ถ้าความสัมพันธ์น่าเบื่อ อาจเป็นเพราะผมกำลังเบื่อ หรือที่แย่กว่านั้น คือผมเป็นคนน่าเบื่อ ดังนั้นถ้าเรามีปัญหาเราก็ไม่ควรบอกว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิด และต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง แต่แท้ที่จริงตัวเรานั้นเองที่ควรมองย้อนกลับไปว่าเป็นที่ตัวเราหรือเปล่า คนที่ควรปรับเปลี่ยนก็คือตัวเรา ไม่ใช่คาดหวังให้คนอื่นมาปรับเปลี่ยน

ไม่มีความสัมพันธ์ใดที่ถือว่าผิดพลาด ทุกสิ่งล้วนคลี่คลายไปในทางที่มันควรจะเป็น นับตั้งแต่การพบปะครั้งแรกไปจนถึงคำเอ่ยลาครั้งสุดท้าย ล้วนเป็นความสัมพันธ์ทั้งสิ้น เราเรียนรู้จากความสัมพันธ์เหล่านั้นเพื่อจะมองเห็นจิตวิญญาณตนเอง และรายละเอียดของความสัมพันธ์ และเพื่อเยียวยารักษาตัวเรา เมื่อใดที่เรายอมละทิ้งแบบแผนความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความรัก ซึ่งเราเคยรับรู้มาก็เท่ากับเราได้บอกลาคำถามว่าเราควรจะรักใครและรักนานเพียงใด เราได้ก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านี้ไปสู่การค้นพบความรักสุดวิเศษซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นโดยพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่เหนือตัวเรา

4. การสูญเสีย

คนเราย่อมสูญเสียในสิ่งที่มี แต่มีหลายอย่างที่ไม่เคยสูญเสียไป เช่น บ้าน รถ การงาน และเงินทอง หรือแม้แต่คนที่เรารักเป็นของให้ยืมสำหรับเราเท่านั้น คนที่เรารักก็เช่นกัน เราไม่เก็บรักษาพวกเขาไว้ได้ตลอดไป ถ้าการรับรู้ความจริงนี้ไม่ได้ทำให้เราเศร้าหมองตรงกันข้าม เราควรรู้สึกซาบซึ้งในประสบการณ์แสนวิเศษและสิ่งต่างๆมากมาย ที่เรามีในช่วงเวลานี้ เราพบกับความสูญเสียหลายต่อหลายรูปแบบ และเราก็มีการตอบสนองต่อความสูญเสียเหล่านั้น เมื่อความสูญเสียกลายเป็นประสบการณ์ส่วนหนึ่ง ก็ทำให้เราปรับตัวเพื่อจัดการกับชีวิตดียิ่งขึ้น ในเวลาที่เรารู้สึกสูญเสียอย่างที่สุดเราก็รู้ว่าชีวิตยังคงดำเนินต่อไปถึงแม้ความสูญเสียและการจบสิ้นจะรุมเร้า การเริ่มต้นใหม่ๆก็ยังมีอยู่รายรอบท่ามกลางความเจ็บปวด ความสูญเสียดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุด แต่วงจรแห่งชีวิตยังดำรงอยู่รอบตัวเรา

5. พลังอำนาจ

พลังอำนาจ เป็นการแสดงออกซึ่งความจริงภายในตัวเรา ความเข้มแข็ง ความเป็นเอกภาพ และความงดงามจากภายนอก พลังอำนาจของเราแฝงอยู่ในตัวเราเป้นพลังอำนาจซึ่งเราถือกำเนิดขึ้น ซึ่งหากมันได้ถูกหลงลืมไป ก็เพียงแค่รอวัน เรามีพลังอำนาจภายในล้นเหลือแต่แทบไม่รู้วิธีนำมาใช้ พลังอำนาจที่แท้จริงมาจากการรู้ว่าตนเองคือใคร เมื่อเรารู้สึกว่าต้องสะสม เราได้หลงลืมทุกสิ่งที่เป็นตัวเรา พลังอำนาจของเรามาจากการรู้ว่าทุกอย่างเหมาะสมแล้ว และชีวิตของคนทุกคนได้คลี่คลายไปอย่างที่ควรจะเป็น

6. ความรู้สึกผิด

ความรู้สึกผิดจำเป็นต้องได้รับการจัดการ การอบรมต่างๆอาจช่วยให้สามารถปลดปล่อยความโกรธ จากนั้นเราต้องแลกเปลี่ยนความรู้ผิดซึ่งกันและกัน หากทำด้วยความตั้งใจดีเราก็จะปลดปล่อยความรู้สึกผิดออกมาได้ บางสิ่งที่เราคิดว่าเป็นความรู้สึกผิดอาจได้รับการชำระสะสางด้วยการให้อภัย การที่เราเข้มงวดกับคนอื่นมาตลอดชีวิต และยิ่งเคร่งครัดกับตนเองมากขึ้น ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องปลดปล่อย เมื่อใดที่เรารู้จักยกโทษให้ตนเองและผู้อื่น เมื่อนั้นความรู้สึกผิดก็จะไม่เกาะเราไว้ เราไม่สมควรต้องรู้สึกผิด แต่ควรได้รับการอภัย

7. เวลา

ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เราเปลี่ยนไปทั้งภายในและภายนอกรูปลักษณ์เราเปลี่ยน ตัวตนภายในก็ไม่เหมือนเดิม ชีวิตเราแปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องเรามักจะไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แม้จะเตรียมพร้อมแล้ว แต่เราก็มักจะต่อต้านความเปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกันโลกรอบตัวเราก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปโลกไม่เคยหยุดยั้ง ชะลอไปพร้อมๆกับเรา ความเปลี่ยนแปลงมักจะเกิดขึ้นป้นการแสดงออกซึ่งความจริงมีอยู่รายรอบท่ามกลางความเจ็บปวด ความสูยเสียดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุด แต่วงจรแห่งชีวิตยังดำรเร็วเกินไปหรือไม่ก็ช้าเกินไป

8. ความกลัว

หากเราพบหนทางในการก้าวพ้นความกลัว ถ้าเราสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสต่างๆมากมายก็สามารถมีชีวิตอย่างที่เราใฝ่ฝัน เราจะใช้ชีวิตโดยปราศจากการตัดสินโดยไม่หวาดหวั่นว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ไม่ลังเลท้อถอย ความกลัวเป็นเรื่องซับซ้อนกันอยู่หลายชั้น เราต้องลอกความกลัวออกทีละชั้นๆจนกว่าจะถึงความกลัวชั้นล่างสุดก็คือ ความกลัวตาย ความรักสามารถเอาชนะความกลัวได้

9. ความโกรธ

ความโกรธที่เก็บกดไว้จะไม่หายไปง่ายๆ แต่กลายเป็นปัญหาไม่รู้จบ ถ้าเราไม่จัดการกับความโกรธเล็กๆน้อยๆเสียก่อน ความโกรธนั้นจะขยายใหญ่ขึ้นๆ จนกระทั่งมันพุ่งไปยังที่ใดที่หนึ่ง เราต้องรู้จักสัมผัสความรู้สึกในช่องท้อง การเคลื่อนไหวสามารถสัมผัสกับสิ่งที่ตนกำลังรู้สึกอาจเป็นเพราะเราต้องการใช้ร่างกายมิใช่เพียงสมองอย่างเดียว

10. การเล่นสนุก

จงให้เวลาแก่ตัวเองใช้เวลาอย่างมีคุณค่ากับคนรัก เวลาสำหรับตัวเราไม่ใช่เวลาที่คนอื่นๆไม่อยู่หรือเราบังเอิญได้อยู่คนเดียว แต่เป็นเวลาที่เรามีไว้เพื่อตนเองโดยเฉพาะ เวลาที่ให้แก่ตัวเองเพื่อความสุข ไม่จำเป็นต้องทนดูหนังที่ไม่ชอบ กินอาหารที่ไม่อยากกิน เราต้องเพื่อตัวเองได้อย่างเต็มที่ ตามที่เราต้องการ

11. ความอดทน

ความอดทนเป็นบทเรียนที่ยากที่สุดสำหรับเรา หรือเป็นบทเรียนที่น่าอึดอัดใจที่สุด บทเรียนในการอดทนคือ เราไม่อาจได้ทุกสิ่งที่เราต้องการ ต้องการอะไรเดี๋ยวนี้ แต่ต้องรอสักพักหรือตลอดไปก็ตาม เราจะได้สิ่งที่ต้องการเสมอ แม้มันไม่เป็นไปตามภาพในความคิดของเราก็ตาม ขั้นตอนแรกของการเป็นคนอดทน คือ การเลิกพยายามจัดการหรือเปลี่ยนแปลงต่างๆ แต่มันก็มีเหตุผลบางประการแม้จะได้เห็นด้วยหรือมองไม่เห็นเหตุผลเบื้องหลังก็ตามเวลาที่คนอื่นๆไม่อยู่หรือเราบังเอิญได้อยู่คนเดียวผัสกับ

12. การสยบยอม

เราทุกคนค้นพบความสุขได้เสมอเมื่อเรายอมอ่อนน้อม แย่ตรงที่พวกเราส่วนใหญ่กลัวการสยบยอมเพราะเราต้องเสียสละ การสยบยอมไม่ใช่ความอ่อนแอหรืความเจ็บปวด ตรงกันข้ามกลับเติมไปด้วยความสุขและมีพลัง เมื่อเรายอมรับอย่างแท้จริงว่าทุกอย่างได้รับการดูแลและจะเป็นไปด้วยดี

13. การให้อภัย

เราจำเป็นต้องให้อภัยเพื่อจะสามารถมีชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม การให้อภัยเป็นหนทางเยียวยารักษาความเจ็บปวดและบาดแผลของเรา อุปสรรคการให้อภัยนั้นมีมากมายมี่สำคัญก็คือ ความรู้สึกว่าการให้อภัยหมายถึง การที่เรายอมรับพฤติกรรมซึ่งทำร้ายเรา การที่เราปล่อยวางความเจ็บปวดเพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง เมื่อเราตระหนักว่าการฝังใจอยู่กับความแค้นเคืองเป็นการบีบคั้นให้ตัวเราอยู่อย่างไม่เป็นสุข ผู้ที่ไม่ให้อภัยเราต้องคิดว่าพวกเขาไม่ได้กำลังลงโทษใคร นอกจากตัวเขาเอง

14. ความสุข

ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อยู่ที่ว่าเราจะจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอย่างไร ความสุขของเราถูกกำหนดด้วยวิธีการตีความ วิธีรับรู้และผนวกรวมสิ่งที่เกิดขึ้นในภาวะจิตใจของเรา เราแค่ พยายาม มีความสุข ความพยายามนั้นจะมีผลต่อความรู้สึกของเราค่อยๆ มีความสุขทีละเล็กละน้อย สร้างความสุข ถ้าเรามีความสุขห้านาที หลังจากนั้นกว่าจะรู้ตัวเราก็มีความสุขเป็นชั่วโมงและตลอดวัน

ไม่มีความคิดเห็น: