ไล่ล่าแสงตะวัน
Chasing Daylight
Eugene O’ Kelly ผู้เขียน
โตมร ศุขปรีชา ผู้แปล
คนเราทุกวันนี้มักมีเหตุผลดีๆกับสิ่งที่เราทำ ส่วนใหญ่เราจึงวิ่งวนอยู่กับโลกที่สับสนวุ่นวายและเชื้อชวนความโกลาหลนั้นเข้ามาอยู่ในหัวใจ เหตุผลดีๆเหล่านั้นจึงมักกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้พระอาทิตย์ในหัวใจเราราแสงลงไป เวลามีชีวิตอยู่- เรามักหลงลืมการหยุดนิ่ง เพื่อพำนักอยู่กับปัจจุบันขณะ แต่มักวิ่งวนไปใช้ชีวิตกับอนาคต หรือไม่ก็หมกมุ่นกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว และย้อนเวลากลับไปใช้ชีวิตอยู่ในอดีต กว่าเราจะรู้ว่า อนาคตไม่มีวันมาถึง และอดีตไม่มีวันหวนกลับมา เราก็อาหลงเหลือวันเวลาอยู่เพียงน้อยนิดเสียแล้ว
ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็เหมือนกัน เขาเป็นถึงซีอีโอของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในอนาคตเกือบตลอดเวลา ดั้งนั้น เมื่อเหลือเวลาอีกเพียงสามเดือนสุดท้ายในชีวิต เขาจึงต้องครุ่นคิดว่าจะใช้เวลาอย่างไรให้คุ้มค่ามากที่สุด ให้ทุกขณะเป็นช่วงเวลาอันสมบูรณ์แบบ
เขาลงมือทำ.....ซึ่งก็คือ การลงมือปฏิบัติ เป็นการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความจริง มันเป็นภารกิจเล็กๆที่พกเราทุกคนล้วนต้องทำ-ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ เพื่อก้าวผ่านไปสู่โลกฟากโน้น ขอพียงให้เราเดินตามแสงตะวันนั้นไปที่ละวันๆ-เท่านั้นเอง
การที่คนเรารู้ว่า เราจะมีชีวิตอยู่อีกเพียงแค่สามเดือน มันย่อมเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากมาก สำหรับคนที่มีพร้อมทุกอย่างและไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่เมื่อมันได้เกิดขึ้นมาแล้ว ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องที่ยากมากเลยจากคนที่เคยทำงานเป็นผู้บริหารในบริษัทที่ใหญ่โต มีพนักงาน 20,000 กว่าคน เป็นบริษัทที่ใหญ่โตที่สุดในอเมริกา เคยเป็นนักวางแผนในด้านธุรกิจ เป็นผู้บริหาร นักบัญชี และซีอีโอ แต่เขาต้องมาวางแผนให้กับตัว ปรับเปลี่ยนตัวเอง เพราะเหลือเวลาอีกไม่มากแต่มีเรื่องที่ต้องทำอีกหลายอย่าง ทำให้เขาคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา
“หลายปีที่ผ่านมา เราเดินตามแสงสว่างแห่งตะวันร่วมกัน
บัดนี้ เรากำลังไล่ตามแสงนั้นด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย
เพียงแค่ครั้งนี้ แสงตะวันนั้นจะจางลง
ไม่ได้แค่เลือนรางลงเหมือนแสงในวันสวยวันหนึ่งเท่านั้น
แต่เป็นการจางหายไปของแสงแห่งชีวิต
ที่สวยงามร่วมกัน”
สิ่งที่เขาต้องทำในเวลาที่เหลืออยู่ คือ.....
1.ลาออกจากงาน และ
2.เลือกวิธีรักษาทางการแพทย์ที่อนุญาตให้เขาทำ....
3.มีเวลามีชีวิตที่ดีที่สุด ดีเท่าที่ชีวิตเจ็บป่วยของผมจะเป็นไปได้
การลาออกจากงาน เป็นสิ่งที่เจ็บปวดมากสำหรับคนที่ทำงานมาเกือบ 33 ปี ข่าวการลาออกของเขาแพร่ออกไป เนื่องจากการเจ็บป่วย เขาได้รับกำลังใจอย่างอบอุ่นจากคนรอบข้างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนทางธุรกิจ และเพื่อนร่วมงานไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ เขาได้ทำการรักษาทางการแพทย์ตามคำแนะนำของแพทย์ แต่อาการที่แสดงออกมา บ่งบอกถึงเวลาที่เขายังมีอยู่ เหลืออีกไม่มากนัก ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุด คือ “การบอกลาคนอื่น”เหตุผลในการบอกลาคนอื่น คือ “การบอกลาด้วยการความสบายใจมากกว่าความทุกข์ การคิดอย่างลึกซึ่งเกี่ยวกับสิ่งที่สมควรจะคิด การเชื่อในการเปลี่ยนแปลงและฝึกฝน และ การที่เชื่อว่ายังทำได้ในเวลาที่ยังเหลืออยู่” แต่การบอกลาที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขมากกว่าความทุกข์นั่นจะทำได้อย่างไร บางคนอาจจะเศร้าและลำบากใจอยู่บ้างในการที่จะพูดคุยกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย หรือกินอาหารกับเขาหรือไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย พวกเขาซาบซึ้งที่ได้รู้ว่า พวกเขามีความหมายมากมายแค่ไหน จากการลาครั้งนี้ เขาอยากให้ทุกคนคิดถึงเวลาที่ดีๆที่ทำร่วมกัน สิ่งรื่นรมย์และสร้างสรรค์ในวามสัมพันธ์จะเอาชนะเรื่องเศร้ากะทันหันนี้ได้ เหตุผลที่เขาเลือกการบอกลาวิธีนี้เพื่อที่เขาจะได้เห็นสิ่งเหล่านั้นในดวงตาของคนเหล่านั้น มันสามารถที่จะสื่อความหมายได้หลายอย่าง แทนที่เขาจะเลือกวิธีบอกลาด้วยการโทรศัพท์หรือการเขียนจดหมาย ตราบใดที่การจากลาเป็นไปในแง่บวก ก็จะนำความสุขสบายใจที่ยิ่งใหญ่มาให้ทั้งทั้งสองฝ่ายเสมอ
การปิดฉากความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานเป็นที่น่าพอใจเป็นพิเศษ ภาระหน้าที่ของเขาเสร็จสิ้นลง อนาคตอันสดใสที่เขาทำงานหนักเพื่อมันมาตลอดกำลังจะมาถึง เขารู้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นมัน สิ่งสำคัญที่สุดที่เขาสามารถที่เปลี่ยนผ่านตัวเองได้ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้ตัวเองสามารถที่จะพ้นทุกข์ในวาระสุดท้ายในชีวิต ในที่สุดการไล่ล่าแสงตะวันของเขาก็ปิดฉากลง เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ยังไม่ได้หมดเพียงแค่นี้ ยังมีอีกหลายๆเรื่องที่พูดถึงในสิ่งที่ดีๆรอบตัวที่เราสมควรทำ และเราก็ได้เรียนรู้ว่า.....
“การยอมรับตัวเอง ปรับเปลี่ยนเป้าหมาย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายภายในเวลาที่จำกัด”
“การเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันได้อย่างไร”
“ความรับผิดชอบแรกสุดของทุกๆคน ก็ คือการมีสติตลอดเวลาเท่าที่จะทำได้”
แม้ชีวิตของเรากับผู้คนรายรอบจะเป็นเพียงความรื่นรมย์เพียงชั่วคราว แต่ห้วงเวลาที่ราได้ใช้จ่ายและสนุกสนานไปกับพวกเขานั้นไม่เคยจางหายไป และหากเราเอาชนะความกลัวของตัวเองได้ แม้กระทั่งความกลัวในการเผชิญหน้ากับวาระสุดท้ายของชีวิตและต้องจากคนที่เรารักไป เราก็สามารถเอาชนะได้ทุกสิ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น