เล่าเรื่องโดย : อาจารย์อภิปัญโญ
ภาพฝีพู่กันโดย : เขมานันทะ
“ผู้ก้าวพ้นเปือกตม”
ในกรุงโตเกียว สมัยที่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงร้อยปีมานี้ ยังมีพระภิกษุทรงวิทยาคุณเป็นเจ้าของเรื่องราวที่พิสดาร ทำอะไรๆ ไว้อื้อฉาวหลายอย่างเหมือนหลวงพ่อโต ในเมืองไทยสมัยพระ จอมเกล้าฯของเรา ท่านมีชื่อว่า หลวงพ่อตันซัน
หลวงพ่อตันซัน มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นคนสมัยใหม่มากมายเพาระท่านทรงความรู้สูงและมีคุณธรรม ท่านบรรยายวิชาปรัชญาในมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลยุคนั้น วิชาความรู้ทุกอย่างที่ท่านถ่ายทอดเผยแพร่ ล้วนเกิดจากการเข้าถึงธรรม ท่านใช้ความแตดฉานในคัมภีร์ต้นตำรับมาประยุกต์เข้ากับวิทยาการสมัยใหม่จึงแพร่พระธรรมได้เป็นอย่างดีในเวลานั้น
มีคราวหนึ่ง ท่านชวนเพื่อนภิกษุอีกองค์หนึ่งออกเดินธุดงค์พระรูปนี้ชื่อเอกิโด ท่านเอกิโดมีความรู้ดี และเคร่งครัดหยุมหยิมในระเบียบแบบแผน ฉะนั้นจึงมากไปด้วยวิตกกังขาที่จะต้องมัวมาระแวดระวังเรื่องอะไรๆ ไปเสียทุกอย่างเกี่ยวกับความผิดถูก อาจารย์ตันซันก็มองเห็นเครื่องกางกั้นใจของเพื่อนสหธรรมมิกองค์นี้เหมือนกัน ท่านรู้ดีว่าความรู้อันมากมายที่ยังไมมีประโยชน์แก่ดวงจิตของเพื่อนผู้นี้ มันเนื่องจากอะไรท่านเคยช่องจะแก้ไขอยู่ แต่ยังไม่ถึงเวลาอันควร
ระหว่างเดินมากลางป่าในวันหนึ่ง สองคนได้เดินมาตามทางเดิน ซึ่งฝนเพิ่งตกหนักไปครู่ พอมาถึงตอนลาดต่ำแห่งหนึ่งตรงนั้นมีโคลนเฉอะแฉะที่ยังไม่แห้ง ภิกษุทั้งสองก็เห็นหลังผู้หญิงคนหนึ่งกำลังพยายามก้าวข้าม แต่ยังเก้ๆ กังๆข้ามตรงฉะนั้นไม่ได้ เพราะเธอแต่งตัวภูมิฐาน สวมกิโมโนทำด้วยไหมและเครื่องเคราเต็มยศ ก่อนที่ท่านเอกิโดจะทันได้แปลกใจเสียด้วยซ้ำว่ากลางป่าทำไมเกิดมีผู้หญิงเอวบางร่างน้อยเดินอยู่คนเดียวเช่นนี้ ซ้ำยังแต่งตัวก็ไม่ถูกกับกาลเทศะเสียด้วย ทันใดนั้นท่านเอกิโดก้ถึงกับปากอ้าตาค้างที่เห็นท่านตันซันเพื่อนที่มาด้วยกัน ก้าวสวบๆล่วงหน้าไปอาสาอุ้มหญิงสาวคนนั้นขามตรงที่แฉะ เหตุการณ์ดำเนินไปชั่วครู่เดียว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรมดา คือ สหายร่วมเดินธุดงค์ทั้งสองก็คงเดินทางต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายม่มีใครปริปากพูดจากันเหมือนก่อนหน้านี้
ภายในใจคนเรานั้น เมื่อเงียบกันไปก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าใจของใครจะคิดจะว้าวุ่นไปอย่างไร ด้วยเรื่องอะไร ภิกษุทั้งสองก็คงเงียบกันไปตลอดทาง จนถึงเวลาหยุดพักในเวลาตอนค่ำวันนั้น พอจัดเตรียมเรื่องที่พักผ่อนเสร็จแล้วเสียงบ่นพร่ำของท่านเอกิโดก็หลุดจากปากออกมา หลังจากได้กลั้นใจ ไม่ปริปากอะไรเกือบครึ่งวัน ท่านพูดด้วยความลำบากใจ ตะกุกตะกักไม่เต็มเสียง ในเชิงตัดพ้อท่านตันซัน “พวกเราเป็นพระเป็นสงฆ์แล้วไม่ต้องเข้าใกล้ผู้หญิงจะดีกว่า ยิ่งเป็นผู้หญิงสาวสวยเสียด้วยมันยิ่งจะเป็นอันตรายแก่พวกเรา ท่านทำไมไปทำอย่างนั้นก็ไม่รู้ ? ”
อาจารย์ตันซันจึงเอ่ยทักขึ้นว่า “ผมวางเด็กนั้นที่ตรงนั้นมาตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้ว ท่านยังจะมาเที่ยวแบกเอาไว้อีกหรือ”
ถ้อยคำย้อนให้โดยทันแก่เหตุ เพียงเท่านั้น ผลก็คือทำให้ท่านเอกิโด โพล่งแจ่มแจ้งขึ้นทันที ตัวท่านโดยทางร่างกายท่านได้ข้ามเปือกตมที่ชื้นแฉะตรงนั้น มาเมื่อตอนกลางวันวันนี้ แต่โดยทางจิตท่านเพิ่งข้ามเปือกตม เครื่องกางกั้นเรื่องจุกจิกหัวใจได้ ตรง ณ ที่พักเวลากลางคืนนั้นนั่นเอง
ดูเอาเถิดท่านทั้งหลาย จิตคนเรานั้นมันเป็นอะไรอย่างหนึ่ง กายสิทธ์ ความเกาะติดแน่นก็อาจมีที่ตรงนั้น ความปล่อยไม่ยึดพัวพันนุงนัง ก็อาจมีขึ้นได้ในเวลาถัดมาอย่างกระชั้นชิดชั่ววาระจิตเดียว ณ ที่ตรงนั้น หากใครก็ตามที่ศึกษามาอย่างถูกทาง ว่าจิตนี้มีธรรมชาติที่ยึดถือและมีธรรมชาติคลายความยึดถือได้อย่างไม่น่าเชื่อเช่นนี้ คนนั้นก็จะไม่มีอุปทานย้อนย้ำให้ตัวเองรูสึกอยู่เรื่อย ว่าจิตนั้นมันเศร้าหมองอยู่ทั้งตาปี ตาชาติเราจำต้องค่อยๆฟอกให้ใสสะอาดจนขั้นถึงขั้นไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อไม่นึกย้ำ โดยเข้าใจธรรมชาติของจิตถูกแล้ว เขาจะมีทางทำจิตให้ว่างเมื่อไหร่ก็ได้ ทุกครั้งสติรำลึกขึ้นว่า จิตวุ่นมาอย่างชุลมุนชุลเกแล้ว ทันทีที่เขาฉลาดก็จะเพิกเสียได้ เขาจะขจัดความมืดมัวของจิตที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ไปได้อย่างฉับพลัน โดยไม่ต้องกลับมาตามนึกย้อนอีก ว่าปล่อยจิตให้พิโยกพิเกนไปนานกี่มากน้อยแล้ว
คราวใดหากใครมีความรู้สึกว่า มีถูกมีผิดขึ้นจริงๆ ด้วยความยึดถือแน่ใจแล้ว คราวนั้นแหละพึงรู้เถิดว่าจิตของตนยังไม่ออกจากบ่วงบาศอันแน่นเหนียวของอุปทาน ความจริงที่มันมีอยู่อย่างไม่เปลี่ยนก็คือว่า “จิตนี้มันจะหลุดออกจากเครื่องพันธนาหรือมันกำลังอยู่ใน ขณะแห่งการพัวพันกับโลกียารมณ์เท่านั้นเอง! ”