วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เล่านิทานเซ็น 15 เรื่อง

สำหรับการดำเนินชีวิตใหม่ในโลกใบเก่า
เล่าเรื่องโดย
: อาจารย์อภิปัญโญ

ภาพฝีพู่กันโดย : เขมานันทะ

ผู้ก้าวพ้นเปือกตม

ในกรุงโตเกียว สมัยที่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงร้อยปีมานี้ ยังมีพระภิกษุทรงวิทยาคุณเป็นเจ้าของเรื่องราวที่พิสดาร ทำอะไรๆ ไว้อื้อฉาวหลายอย่างเหมือนหลวงพ่อโต ในเมืองไทยสมัยพระ จอมเกล้าฯของเรา ท่านมีชื่อว่า หลวงพ่อตันซัน

หลวงพ่อตันซัน มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นคนสมัยใหม่มากมายเพาระท่านทรงความรู้สูงและมีคุณธรรม ท่านบรรยายวิชาปรัชญาในมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลยุคนั้น วิชาความรู้ทุกอย่างที่ท่านถ่ายทอดเผยแพร่ ล้วนเกิดจากการเข้าถึงธรรม ท่านใช้ความแตดฉานในคัมภีร์ต้นตำรับมาประยุกต์เข้ากับวิทยาการสมัยใหม่จึงแพร่พระธรรมได้เป็นอย่างดีในเวลานั้น

มีคราวหนึ่ง ท่านชวนเพื่อนภิกษุอีกองค์หนึ่งออกเดินธุดงค์พระรูปนี้ชื่อเอกิโด ท่านเอกิโดมีความรู้ดี และเคร่งครัดหยุมหยิมในระเบียบแบบแผน ฉะนั้นจึงมากไปด้วยวิตกกังขาที่จะต้องมัวมาระแวดระวังเรื่องอะไรๆ ไปเสียทุกอย่างเกี่ยวกับความผิดถูก อาจารย์ตันซันก็มองเห็นเครื่องกางกั้นใจของเพื่อนสหธรรมมิกองค์นี้เหมือนกัน ท่านรู้ดีว่าความรู้อันมากมายที่ยังไมมีประโยชน์แก่ดวงจิตของเพื่อนผู้นี้ มันเนื่องจากอะไรท่านเคยช่องจะแก้ไขอยู่ แต่ยังไม่ถึงเวลาอันควร

ระหว่างเดินมากลางป่าในวันหนึ่ง สองคนได้เดินมาตามทางเดิน ซึ่งฝนเพิ่งตกหนักไปครู่ พอมาถึงตอนลาดต่ำแห่งหนึ่งตรงนั้นมีโคลนเฉอะแฉะที่ยังไม่แห้ง ภิกษุทั้งสองก็เห็นหลังผู้หญิงคนหนึ่งกำลังพยายามก้าวข้าม แต่ยังเก้ๆ กังๆข้ามตรงฉะนั้นไม่ได้ เพราะเธอแต่งตัวภูมิฐาน สวมกิโมโนทำด้วยไหมและเครื่องเคราเต็มยศ ก่อนที่ท่านเอกิโดจะทันได้แปลกใจเสียด้วยซ้ำว่ากลางป่าทำไมเกิดมีผู้หญิงเอวบางร่างน้อยเดินอยู่คนเดียวเช่นนี้ ซ้ำยังแต่งตัวก็ไม่ถูกกับกาลเทศะเสียด้วย ทันใดนั้นท่านเอกิโดก้ถึงกับปากอ้าตาค้างที่เห็นท่านตันซันเพื่อนที่มาด้วยกัน ก้าวสวบๆล่วงหน้าไปอาสาอุ้มหญิงสาวคนนั้นขามตรงที่แฉะ เหตุการณ์ดำเนินไปชั่วครู่เดียว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรมดา คือ สหายร่วมเดินธุดงค์ทั้งสองก็คงเดินทางต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายม่มีใครปริปากพูดจากันเหมือนก่อนหน้านี้

ภายในใจคนเรานั้น เมื่อเงียบกันไปก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าใจของใครจะคิดจะว้าวุ่นไปอย่างไร ด้วยเรื่องอะไร ภิกษุทั้งสองก็คงเงียบกันไปตลอดทาง จนถึงเวลาหยุดพักในเวลาตอนค่ำวันนั้น พอจัดเตรียมเรื่องที่พักผ่อนเสร็จแล้วเสียงบ่นพร่ำของท่านเอกิโดก็หลุดจากปากออกมา หลังจากได้กลั้นใจ ไม่ปริปากอะไรเกือบครึ่งวัน ท่านพูดด้วยความลำบากใจ ตะกุกตะกักไม่เต็มเสียง ในเชิงตัดพ้อท่านตันซัน พวกเราเป็นพระเป็นสงฆ์แล้วไม่ต้องเข้าใกล้ผู้หญิงจะดีกว่า ยิ่งเป็นผู้หญิงสาวสวยเสียด้วยมันยิ่งจะเป็นอันตรายแก่พวกเรา ท่านทำไมไปทำอย่างนั้นก็ไม่รู้ ?

อาจารย์ตันซันจึงเอ่ยทักขึ้นว่า ผมวางเด็กนั้นที่ตรงนั้นมาตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้ว ท่านยังจะมาเที่ยวแบกเอาไว้อีกหรือ

ถ้อยคำย้อนให้โดยทันแก่เหตุ เพียงเท่านั้น ผลก็คือทำให้ท่านเอกิโด โพล่งแจ่มแจ้งขึ้นทันที ตัวท่านโดยทางร่างกายท่านได้ข้ามเปือกตมที่ชื้นแฉะตรงนั้น มาเมื่อตอนกลางวันวันนี้ แต่โดยทางจิตท่านเพิ่งข้ามเปือกตม เครื่องกางกั้นเรื่องจุกจิกหัวใจได้ ตรง ณ ที่พักเวลากลางคืนนั้นนั่นเอง

ดูเอาเถิดท่านทั้งหลาย จิตคนเรานั้นมันเป็นอะไรอย่างหนึ่ง กายสิทธ์ ความเกาะติดแน่นก็อาจมีที่ตรงนั้น ความปล่อยไม่ยึดพัวพันนุงนัง ก็อาจมีขึ้นได้ในเวลาถัดมาอย่างกระชั้นชิดชั่ววาระจิตเดียว ณ ที่ตรงนั้น หากใครก็ตามที่ศึกษามาอย่างถูกทาง ว่าจิตนี้มีธรรมชาติที่ยึดถือและมีธรรมชาติคลายความยึดถือได้อย่างไม่น่าเชื่อเช่นนี้ คนนั้นก็จะไม่มีอุปทานย้อนย้ำให้ตัวเองรูสึกอยู่เรื่อย ว่าจิตนั้นมันเศร้าหมองอยู่ทั้งตาปี ตาชาติเราจำต้องค่อยๆฟอกให้ใสสะอาดจนขั้นถึงขั้นไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อไม่นึกย้ำ โดยเข้าใจธรรมชาติของจิตถูกแล้ว เขาจะมีทางทำจิตให้ว่างเมื่อไหร่ก็ได้ ทุกครั้งสติรำลึกขึ้นว่า จิตวุ่นมาอย่างชุลมุนชุลเกแล้ว ทันทีที่เขาฉลาดก็จะเพิกเสียได้ เขาจะขจัดความมืดมัวของจิตที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ไปได้อย่างฉับพลัน โดยไม่ต้องกลับมาตามนึกย้อนอีก ว่าปล่อยจิตให้พิโยกพิเกนไปนานกี่มากน้อยแล้ว

คราวใดหากใครมีความรู้สึกว่า มีถูกมีผิดขึ้นจริงๆ ด้วยความยึดถือแน่ใจแล้ว คราวนั้นแหละพึงรู้เถิดว่าจิตของตนยังไม่ออกจากบ่วงบาศอันแน่นเหนียวของอุปทาน ความจริงที่มันมีอยู่อย่างไม่เปลี่ยนก็คือว่า จิตนี้มันจะหลุดออกจากเครื่องพันธนาหรือมันกำลังอยู่ใน ขณะแห่งการพัวพันกับโลกียารมณ์เท่านั้นเอง! ”

ปาฎิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ The Miracle of Being Awake

ติช นัท ฮันห์ เขียน

พระประชา ปสนนธมโม แปล

การดำรงอยู่ของชีวิต เป็นความจริงที่ลึกลับปาฏิหาริย์ หลายคนอาจคิดว่าการเดินบนน้ำหรือบนอากาศ หรือการรอดชีวิตจากอุบัติเหตุเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ แต่ท่านติช นัท ฮันห์ กล่าวว่า ปาฏิหาริย์ที่แท้จริง มิใช่การเดินบนน้ำหรือบนอากาศ หากแต่เป็นการเดินบนพื้นโลกอยู่กับความอัศจรรย์ทุกๆวัน เพราะการมีสติ เป็นสิ่งอัศจรรย์ตรงที่ช่วยให้เราเป็นนายของตนเอง และรักษาใจตนเองอยู่ได้ในทุกๆสถานการณ์
การมีสติไม่ได้มีแค่ตอนนั่งสมาธิ เท่านั้น แต่มีในทุกอาการ เช่น ในการล้างจาน ถ้าเรามีสติ ก็ควรล้างจานอย่างเดียว ซึ่งหมายความว่า ขณะล้างจานเราก็ต้องรู้ตัวทั่วพร้อมว่าเรากำลังล้างจาน ดังตอนหนึ่งของหนังสือว่า ครูกำลังยืนตรงนั้น และล้างถ้วยชามเหล่านั้นอยู่ เป็นความจริงที่ถือว่าเป็นความความอัศจรรย์ ครูเป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์ ตามลมหายใจตลอดเวลา รู้ตัวพร้อมถึงปัจจุบันกาลของตนเอง รู้พร้อมทั้งมโนกรรม และวจีกรรมต่างๆ ไม่มีทางที่จะทำให้ใจของครูแกว่งไปแกว่งมาเหมือนขวดแกว่งบนยอดคลื่น ความสำนึกของครูไม่มีอะไรจะมาทำให้ไหวหวั่นได้ ดังฟองน้ำบนผิวคลื่นที่ซัดกระแทกกับหน้าผา
ในกิจวัตรชีวิตประจำวัน เช่น การกิน การดื่ม การทำงาน ล้วนเป็นโอกาสแห่งการเจริญสติได้ ดังความตอนหนึ่งของหนังสือว่า เมื่อเดินอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเราเดินอยู่ เมื่อยืนอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเรายืนอยู่ เมื่อนั่งอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเรานั่งอยู่ เมื่อนอนอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเรานอนอยู่ เราตั้งกายไว้ด้วยอาการใดๆ ย่อมรู้ถึงกายนั้น ด้วยอาการอย่างนั้นๆ ด้วยอาการนี้ที่เราเป็นผู้อยู่ด้วย สติมั่นคงเห็นกายในกาย
แต่การมีสติรู้เท่าทันอาการต่างๆของกายนั้นยัง ไม่พอ เราต้องมีสติรู้พร้อมถึงลมหายใจแต่ละครั้ง การเคลื่อนไหวแต่ละหน ความคิดทุกความคิด และความรู้สึกทุกความรู้สึก นั่นคือ มีสติรู้ทั่วพร้อมถึงทุกสิ่งที่เนื่องกับตัวเรา การนั่งสมาธิเพื่อให้ เกิดสมาธิเพื่อให้เกิดสติ เป็นสิ่งยากที่คนทำงานทุกคนจะปฏิบัติได้ แต่สติสามารถทำให้เกิดในขณะทำงานได้ โดยท่านติช นัท ฮันห์ ได้แนะนำคือ การพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่งาน การตื่นตัวและพร้อมเสมอที่จะเผชิญกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างสามารถและ มีไหวพริบ นี่คือความมีสติโดยแท้ ไม่มีเหตุผลใดที่การมีสติจะต่างไปจากพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่งานของตน ตื่นตัวอยู่เสมอ และพร้อมจะตัดสินใจอย่างดีที่สุด ในขณะของการปรึกษาหารือ การแก้ปัญหาและการจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เราจะต้องมีหัวใจที่สงบและควบคุมตัวเองได้อย่างดี การงานนั้นๆ จึงจะได้รับผลเป็นที่พอใจ ถ้าเราอยู่ในภาวะที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ปล่อยให้ความไม่อดกลั้นและโทสะเข้าครอบงำงานขอบเราก็จะหมดความหมายไร้คุณค่า ทันที
ดังนั้น การมีสติคือการมีชีวิต ช่วยให้เราปลอดจากความขี้หลง ขี้ลืม และความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ สติช่วยให้การมีชีวิตทุกขณะจิตเป็นไปได้ ไม่ควรปล่อยตนเองให้หลงไปในความคิดฟุ้งซ่านและสิ่งแวดล้อมรอบตัว จงเรียนรู้วิธีฝึกลมหายใจ เพื่อจะได้คอยควบคุมจิตใจและร่างกายของเรา ฝึกสติ พัฒนาสมาธิและปัญญา ในพระสูตรต่างๆ พระพุทธองค์มักจะทรงสอนให้ใช้ลมหายใจบำเพ็ญสติเสมอ มีพระสูตรที่ตรัสถึงการใช้ลมหายใจเพื่อฝึกสติเจริญสมาธิ โดยเฉพาะพระสูตรหนึ่ง คือ อานาปานสติสูตร ซึ่งท่านเคือง ต่ง ห่อย ได้แปลพระสูตรนี้ไว้ว่า อานาปานะ คือ ลมหายใจ สติ คือ ความรู้สึกตัวทั่ว จึงแปลว่า การคุ้มกันจิต ดังนั้น อานาปานสติสูตร คือ พระสูตรว่าด้วยการใช้ลมหายใจในการเจริญสติ หรือคุ้มกันรักษาจิต
การหายใจ เป็นเครื่องมือตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ในการป้องกันความคิดฟุ้งซ่าน ลมหายใจเป็นสะพานเชื่อมระหว่างชีวิตและจิตสำนึก ทำให้ร่างกายและความคิดเป็นเอกภาพกัน หากเกิดความฟุ้งกระจายไป ควรใช้ลมหายใจ ในการรวมจิตเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง เราไม่ควรปล่อยตนเองให้ลุ่มหลงไปในความคิดที่ฟุ้งซ่านและสิ่งแวดล้อมรอบตัว การมีสติเพื่อให้ชีวิตเป็นหนึ่ง ของจักรวาล มีปรากฏการณ์ต่างๆมากมายดำรงอยู่ในชีวิตของเรา และตัวเราเองก็อยู่ในปรากฏการณ์ต่างๆ เรา คือ ชีวิต และชีวิตนั้นปราศจากขอบเขต บางทีเราอาจจะพูดได้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่จริง ไม่ใช่อยู่อย่างตายซาก ก็ต่อเมื่ออยู่อย่างเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโลก ดังนั้นร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ความทุกข์ของคนอื่นก็คือความทุกข์ของเรา ความสุขของคนอื่นคือความสุขของเรา สามัญลักษณะของจักรวาลประกอบด้วย อนิจจังทุกขัง อนัตตา ความสำเร็จล้มเหลวของชีวิตไม่สามารถที่จะทำร้ายเราอีกต่อไป
การบำเพ็ญ สมาธิเพื่อเข้าใจในเรื่องความเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน ต้องปฏิบัติอยู่เสมอ และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตการงานของเราประจำวันด้วย ทำให้เรามองเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเราเป็นตัวเราเอง และเห็นว่าเราเองคือคนคนนั้นด้วย เราจะต้องสามารถมองเห็นขบวนการก่อกำเนิดซึ่งกันและกัน และเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกันของสรรพสิ่งเหตุการณ์ ทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและจะเกิดขึ้นในอนาคตและให้มองสรรพสิ่งชีวิตด้วยสาย ตาแห่งความรักและความเมตตา ซึ่งฝึกมองสรรพสิ่งมีชีวิต ด้วยสายตาของความรักและความเมตตา คือ การฝึกสมาธิที่เรียกว่า เมตตานุสติ การเจริญเมตตานุสตินั้น จะต้องทำทั้งในขณะชั่วโมงของการนั่งสมาธิ และในทุกขณะที่ทำงาน ไม่ว่าจะไปที่ไหน นั่งที่ไหน เราจะต้องดำรงชีวิตที่เป็นของเราเอง การงานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น และงานคือชีวิตก็ต่อเมื่อเราทำงานนั้นด้วยสติเท่านั้น และชีวิตของเราเกี่ยวพันกับชีวิตบุคคลรอบๆเราด้วย หากเรารู้วิธีปกปักรักษา และระวังจิตใจและหฤทัยของเราเอง จะช่วยให้เพื่อมนุษย์รอบข้างเรา รู้จักการมีชีวิตอยู่อย่างมีสติ ภายในครอบครัวหนึ่ง หากมีคนใดคนหนึ่งในครอบครัวฝึกการเจริญสติ คนอื่นๆในครอบครัวจะสามารถเจริญสติได้ด้วนการกระทำที่มีสติของคนคนนั้น จะเตือนคนทุกคนในครอบครัวให้ระลึกถึงความมีสติได้ และคนที่ทำงานเพื่อ สังคม ซึ่งก็คือครอบครัวๆหนึ่ง เราไม่ต้องหวังว่าคนรอบตัวเราจะไม่ทำดีที่สุด ให้ห่วงตัวเองเพื่อทำตนเองให้มีคุณประโยชน์ก็เพียงพอ เพราะถ้าตัวเราทำดีที่สุด ก็จะช่วยเตือนเพื่อนๆรอบข้างให้ทำดีที่สุดด้วย
เวลา ที่เราอยู่ในสมาธินั้น ทั้งร่างกายและจิตใจของเราสามารถที่จะอยู่ในสภาวะสงบและผ่อนคลายเต็มที่ ซึ่งสภาวะแบบนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิงจากสภาวะจิตที่อยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่ง ตื่นขณะที่เราเคลิ้มๆ เพราะนั่นเป็นเหมือนเรานั่งอยู่ในถ้ำมืดมากกว่าการนั่งสมาธิ ซึ่งทำให้เรามีสติสมบูรณ์นั้น เราไม่เพียงแต่ได้พักผ่อนและมีความสุขเท่านั้น หากยังทำให้จิตของเราว่องไวและเบิกบาน ตื่นอยู่เสมอ การภาวนาไม่ใช่การ หนีโลก หากแต่เป็นการเผชิญกับความเป็นจริงของโลกด้วยจิตที่แจ่มใสเยือกเย็นต่างหาก ผู้บำเพ็ญสมาธิ เจริญสติทั้งหลายควรจะตื่นอยู่เสมอ เพราะถ้าหากไม่ตื่นอยู่เสมอ จิตก็จะตกอยู่ในภาวะฟุ้งซ่านและขี้หลงขี้ลืมไป เหมือนคนขับรถ ซึ่งถ้าไม่ตื่นอยู่เสมอก็ประสบอุบัติเหตุถึงชีวิตได้ง่ายๆ
ดังนั้น ควรจะตื่นเหมือนคนที่กำลังเดินอยู่บนไม้คานในที่สูง หากก้าวพลาดเพียงก้าวเดียวก็หมายถึงความตาย จึงควรจะเป็นเหมือนอัศวินในยุคศักดินาผู้เดินมือเปล่าฝ่าเข้าไปในดงดาบ เป็นเหมือนราชสีห์ที่ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ทีละก้าวๆ อย่างสุภาพ แต่มั่นคงองอาจ อยู่กับความไม่ประมาทชนิดนี้เท่านั้น จึงจะมีโอกาสเข้าถึงภาวะของการเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อันสมบูรณ์

จงจำไว้ว่ามีเวลาที่สำคัญ ที่สุดเวลาเดียว คือ ปัจจุบัน ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้น ที่เป็นเวลาที่เรา
เป็นเจ้าของอย่างแท้จริง บุคคล ที่สำคัญที่สุดก็คือ คนที่เรากำลังติดต่ออยู่ คนที่อยู่ต่อหน้าเรา เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การทำให้คนที่เราอยู่กับเราขณะนั้นๆ มีความสุข เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิตเรา จะทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับคนรอบข้างเรา ช่วยลดความทุกข์และเพิ่มความสุขแห่งชีวิตเหล่านั้น คำตอบก็คือ เราจะต้องมีสติ

เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เมื่อยามที่มีปัญหาทั้งเรื่องของตัวเอง ครอบครัว ที่ทำงาน เพื่อน หรือคนที่เราไม่รู้จักที่หนึ่งของโลก สิ่งที่ทำได้คือ ยิ้มน้อยๆ หลังจากเศร้าใจและผิดหวังจากคนรอบข้างหรือตัวเอง และกำลังอยู่ในระหว่างการฝึกที่จะมองทุกสิ่งทุกอย่างให้มีความเชื่อมโยงกับ ตัวเรา ได้รู้คำตอบของพระจักรพรรดิที่ถามว่า เวลาไหนเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง ( ปัจจุบัน ) ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย ( คนรอบข้างเรา ) และอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา ( ลดความทุกข์ เพิ่มความสุข ) ได้รู้ ต้องบอกว่าได้รู้วิธี แนวทาง การเจริญสติเท่านั้น ซึ่ง ณ ตอนนี้ ยังทำไม่ได้แต่พยายามอยู่ เพื่อตัวเอง ครอบครัว งาน และสังคม

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

My life as a coach



My life as a coach
ผู้เรียบเรียง : มัชฌิมา จันทร์สว่างภูวนะ
จำนวนหน้า 234 หน้า
ราคา 225 บาท
My life as a coach เป็นหนังสือที่สะท้อนถึงความเป็นผู้นำของ ซิคเว่ เบรคเก้ ออกมาได้เป็นอย่างดี นับว่าเขาเป็นผู้นำทางความคิด และการกระทำที่ก้าวข้ามกรอบต่าง ๆ ซึ่งทำให้องค์กรขับเคลี่อนไปได้ยาก ภายใต้ข้อจำกัดของวัฒนธรรมองค์กรเก่า ๆ ที่ทุกคนมีความเชื่อว่าเปลี่ยนไม่ได้หรอก เพราะนี่เป็นวัฒนธรรมของคนไทย ต้องบอกว่าหนังสือเล่มนี้ทำให้เห็นภาพของผู้นำที่ไม่ใช่แค่เป็นต้นแบบให้กับลูกน้องจำ และทำตามเพียงเท่านั้น แต่เขามุ่นเน้นที่การสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้พนักงานลงมือปฏิบัติ การสร้างแนวคิดที่ว่า การทำผิดพลาดไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่มันคือประสบการณ์และการเรียนรู้ที่มีค่า อันนำมาซึ่งแนวคิดดี ๆ ที่จะใช้ในการปรับปรุงการทำงาน แต่ตรงกันข้าม การทำผิดพลาดจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ๆ หากเรามัวแต่โทษว่าเป็นความผิดของคนอื่น และไม่ยอมที่จะปรับปรุงอะไร
บทบาทสำคัญของ Coach คือ ต้องสร้างผู้นำใหม่ ๆ ขึ้นมา ไม่ใช่สร้างแต่ผู้ตาม หรือห้อมล้อมตัวเองด้วยคนที่เอาแต่พยักหน้า “เห็นด้วยครับท่าน เหมาะสมครับนาย” เพราะมันไม่มีความหลากหลายทางความคิด และคุณก็จะเป็นผู้แบกรับปัญหาทุกอย่างไว้หมด การสร้างผู้นำใหม่ซึ่งเขาอาจจะมาแทนที่คุณนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำ เพียงแต่คุณต้องให้ความสำคัญกับ 3 ข้อนี้ให้มาก :
1. คุณต้องมองหาคนที่มีทั้งความสามารถและทัศนคติที่ดีในการทำงาน
2. คุณต้องให้โอกาสเขาคนนั้นได้พิสูจน์ตัวเอง ให้อำนาจในการตัดสินใจ ให้เครื่องไม้เครื่องมือในการทำงาน
3. ต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่า เมื่อวันนั้นมาถึง คุณต้องพร้อมที่จะก้าวลงจากตำแหน่งและผลักดันเขาขึ้นไป
คุณเป็นคนที่กล้าฝัน ถึงสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนหรือป่าว แต่แค่ฝันคงไม่พอ เราต้องการคนที่มุ่งมั่น ตั้งเป้าหมายและหาหนทางไปให้ถึงฝันนั้นด้วย และหากคุณมีสิ่งเหล่านี้ นั้นก็แสดงว่า คุณคือผู้นำ
สำหรับฉันแล้วหนังสือเล่มนี้ เป็นต้นแบบในการทำงานเป็นอย่างดี และยังสอนให้ฉันเข้าใจว่า “ การเปลี่ยนแปลงทัศนคติคน เป็นเรื่องยาก ถ้าเขาไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง” แต่ไม่ควรเครียดกับมัน ซึ่งทำให้ฉันเริ่มทำงานด้วยรอยยิ้มได้ โดยยังมีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงอยู่ในใจฉันเช่นเดิม แต่เป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือ การเปลี่ยนตัวฉันเองให้สนุกกับงานอย่างมีเป้าหมาย และที่สำคัญ “ถ้าวันไหนที่ฉันรู้สึกว่าไม่สามารถให้อะไรที่เป็นประโยชน์กับองค์กรนี้แล้ว หรือวันหนึ่งมีคนใหม่ที่พร้อมจะก้าวเข้ามาแทนที่ นั้นก็ถึงเวลาที่ฉันจะโบกมือลา” ซิคเว่ เบรคเก้สอนให้รู้ว่า หากจะเป็นผู้นำต้องมีความมุ่งมั่น มีเป้าหมาย เพราะนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราก้าวเข้าไปเรียนรู้ทุกอย่างที่เขามาในชีวิตอย่างไม่รู้จบ และที่สำคัญ ต้องกล้าที่จะทำผิดพลาดให้มากที่สุด เพราะนั้นหมายถึงการเรียนรู้ที่จะนำมาซึ่งการปรับปรุงงานได้เป็นอย่างดี ต้องบอกว่าหนังสือเล่มนี้สร้างแรงบันดาลใจแห่งการเป็น Coach ให้กับฉัน เพราะสิ่งที่ท้าทายมากตอนนี้คือ ทำยังไงให้คนในทีมเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในชีวิต..........

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สุขหรือทุกข์อยู่ที่คำ 3 คำ....โง่.....ฉลาด...จง.....


เก็บเรื่องเล่าจาก Mail มาฝากอ่านแล้วรู้สึกดี ใครมีความคิดเห็นอย่างไรแชร์ได้นะ :

โง่ ที่คิดว่า.....ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น
โง่ที่คิดว่า.....ใครบางคนให้ความสำคัญกับตัวเรามากกว่าคน อื่น
โง่ที่คิดว่า..... คนที่เรารัก เค้าจะรักเราคนเดียว
โง่ที่คิดว่า..... คนที่เราดีใจเมื่ออยู่ใกล้เค้า จะไม่ใช่คนเดียวกันกับคนที่ทำให้เราเสียใจที่ สุด
โง่ที่คิดว่า..... เรามีความสำคัญกับใครคนหนึ่งมากจนเค้าขาดเราไม่ได้
โง่ที่คิดว่า..... การโกหกจะไม่เกิดขึ้นระหว่างคู่รักที่รักกันจริงๆ
โง่ที่คิดว่า..... คำหวานจากปากเค้า เค้าพูดเพราะเป็นห่วงเราจริงๆ
โง่ที่คิดว่า..... เวลาที่เราต้องการเค้าที่สุด เค้าจะอยู่กับเราเสมอ

อยากฉลาดฟังทางนี้.....

ฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า.......ความพยายามบางครั้งมันก้อเป็นแค่ความพยายาม
ฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า......อย่าหวังว่าใครจะเห็นเราสำคัญมากไปกว่าตัวเค้าเอง
ฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า......คนที่เรารัก....บางทีเค้าก็มีคนที่เค้ารัก
ฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า......คนที่เราอยู่ใกล้เค้าแล้วมีความสุขอาจ เป็นคนเดียวกันกับคนที่ทำให้เราเสียใจที่สุด
ฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า......คำหวานจากปากเค้า เค้าพูดเพียงเพราะเค้าชอบพูดคำหวานกับใครๆ เสมอ...
ฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า......การโกหกเกิดขึ้นตลอดเวลาไม่ว่าใคร
ฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า......คนที่เรารักอาจเป็นคนเดียวกันกับคนที่ไม่เคยรักเรา
ฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า......เวลาที่เราต้องการเค้าที่สุด อาจเป็นเวลาเดียวกันกับเวลาที่เค้าหมดรักเราแล้ว

จง...เข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง
จง...อ่อนแอพอที่จะรับรู้ว่าลำพังเรานั้นทำอะไรไม่ได้ทุกอย่าง
จง...ฟุ่มเฟือย น้ำใจ เมื่อมีใครต้องการความช่วยเหลือ
จง...ประหยัดสิ่ง ที่จำเป็นไว้
จง...คิดก่อนทุกครั้ง ที่จะปล่อยเงินออกจากมือ
จง...ฉลาดพอที่จะ รู้ว่าเราไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
จง...โง่พอที่จะ เชื่อในปาฏิหาริย์
จง...เต็มใจจะแบ่ง ปันความสุขของตัวเอง
จง...เต็มใจที่จะ แบ่งรับความทุกข์ของผู้อื่น
จง...เป็นผู้นำหาก ทางที่ผู้อื่นทิ้งไว้ให้นั้นเลือนราง
จง...เป็นผู้ตามหาก ตกอยู่ในวงล้อมแห่งความไม่แน่นอน
จง...เป็นคนแรกที่ แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของคู่แข่ง
จง...เป็นคนสุดท้าย ที่จะวิจารณ์ความผิดพลาดของเพื่อน
จง...มองเพียงแค่ ก้าวถัดไปเพราะมันจะทำให้เราไม่ล้ม
จง...มองไปยังจุด หมายปลายทางให้แน่ใจ ว่าไม่ได้กำลังเดินผิดทาง
จง...ใช้เวลามอง หรือ ให้โอกาสกับตัวเองที่จะเรียนรู้คนที่เขาบอกรักคุณ
จง...รักคนที่รัก คุณ แม้อีก 5 ปี 10 ปี หรือ 50 เขาก็ยังรักคุณ
จง...รักคนที่ไม่ รักคุณแล้ว...สักวันนึงเค้าอาจจะเปลี่ยนใจมารักคุณ
จง...อย่าปล่อยให้คน ที่รักคุณหลุดลอยไป

สุดท้าย จง...อย่าหลอกตัวเอง...... อันนี้สำคัญ

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า รัก


"ความรักชนะทุกอย่าง โดยเฉพาะความกลัว" คำพูดประโยชน์นี้ฉันได้มาจากภาพยนต์เรื่อง สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก ภาพยนต์เรื่องนี้ได้พยายามถ่ายทอดความรักในแง่มุม ๆ ต่าง ๆ ให้ฉันได้เห็น และฉันก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า คนเราทุกคนขับเคลื่อนไปได้ "รัก" และความรักก็มีมากมายหลายหลาก ภาพยนต์เรื่องนี้ ทำให้หัวใจฉันยิ้มได้ และสิ่งเล็กๆ นี้ก็มีในหัวใจฉันเหมือนกัน ความรัก มิตรภาพ ล้วนเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันเดินมาได้จนถึงทุกวันนี้........และต้องเดินต่อไปอย่างเชื่อมั่น.....

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

The four leaf clover


ใบโคลเวอร์สี่กลีบ ใบไม้แห่งความเชื่อ และสัญญาลักษณ์แห่งความโชคดี ของคนตะวันตก

"One leaf for faith.
The second is for hope.
The third for love and the fourth for good luck."

กลีบแรกสำหรับความเชื่อและความศรัทธา
กลีบที่สอง สำหรับความหวัง
กลีบที่สาม สำหรับความรัก และกลีบที่สี่ สำหรับความโชคดี

มีคนกล่าวไว้ว่า "โชคของเราไม่ได้อยู่นอกตัวเรา แต่อยู่ในตัวของเราเอง อยู่ในความมุ่งมั่นของเรา" และคนล้มเหลวมักจะอ้างว่าโชคไม่ดี แต่แท้จริงแล้วเขาเหล่านั้นเฝ้ารอให้โชคช่วยมากกว่าที่จะช่วยตัวเองก่อน...........

กฎแห่งความโชคดีในการทำงาน



"โชคไม่ดีเลย" คำพูดนี้มักเป็นคำพูดที่ติดปากเรากันทุกคน ในเวลาที่เราเจอกับเรื่องราวที่ไม่ได้ดั่งใจ หรือพลาดหวังจากเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่เป็นไปอย่างที่คิดและหวังไว้ โทษว่าเป็นความผิดของโชคชะตาซะงั้น ซึ่งในบางครั้งเราก็ลืมไปว่า เราต่างหากที่เป็นผู้กำหนด โชคดี ให้กับตัวเราเอง โขคดีในด้านต่างจะเข้ามาหาคุณได้คุณต้องเป็นผู้ก้าวเข้าไปหามันอย่างมุ่งมั่น
กฎข้อที่ 1 การวางแผนก่อนใคร
กฎข้อที่ 2 ตัดสินใจเลือก ว่าเราจะอยู่ในโลกที่เศรษฐกิจหายนะหรือโลกที่มีโอกาสไม่จำกัด
กฎข้อที่ 3 มัทัศนคติเป็นนักสู้ แค่คุณเริ่มมีทัศนคติของความเป็นนักสู้ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว เพราะนักสู้จะมองทุกปัญหาเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ไม่ทางใดก็ทางหนี่ง
กฎข้อที่ 4 บริหารงานให้เป็น หากไม่อยากถูกปลด หรือแช่แย็น หลักสำคัญ คือ ทำให้เจ้านายขาดคุณไม่ได้ นั้นหมายความว่า คุณต้องเป็นทีมงานที่ดีและทำงานได้ตรงตามความต้องการของเจ้านาย แต่จะให้อยู่ในขั้นขาดไม่ได้หล่ะ คุณต้องทำงานได้เกินความคาดหวัง แต่อย่าคาดหวังใน
ผลของมันนะ (แต่ไม่ใช่การประจบเจ้านายนะ เพราะอย่างนั้นมันไม่ถาวร)
กฎข้อที่ 5 บริหารเงิน คุณต้องรู้จักที่อดออมเงิน แต่ในเวลาเดียวกันก็ควรหายได้พีเศษเพิ่มเติม แต่ต้องทำแบบที่ไม่เบียนเบียดเวลาขององค์กรที่จ้างคุณอยู่นะ ไม่อย่างนั้นไม่ดีแน่
กฎข้อที่ 6 ควบคุมปาก หากคุณพูดเรื่องทางลบมากเท่าไร ก็จะทำให้มีเวลาคิดเป็นผู้ชนะได้น้อยเท่านั้น และที่สำคัญบั่นทอนกำลังใจตัวเองป่าว ๆ
กฎข้อที่ 7 คุณต้องทำอะไรที่ไม่เหมือนใคร แล้วจะไม่มีคู่แข่ง (สุขที่สุดขอให้คุณแข่งกับตัวเองที่จะก้าวไปข้างหน้า อย่าเปรียบเทียบกับคนอื่นเป็นอันขาด)
กฎข้อที่ 8 มันจะผ่านไปไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป ชีวิตก็เป็นอย่างนี้มีขึ้นมีลง อย่าคิดอะไรมากพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว

"สิ่งสำคัญ ในบรรดากฎที่นำเราไปสู่โชคดีนั้น มีเพียงกฎเดียวที่แน่นอน คือ การไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่พบ" และอยากบอก จงรักในสิ่งที่คุณทำ หากคุณเลือกที่จะทำในสิ่งที่คุณรักไม่ได้ ......โชคดีทุกคน......

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กำลังใจ..เพื่อชีวิตที่ง่าย และงาม

วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิธีแก้ปัญหาเรื่องหนูนา ในเชียงขวาง

สวัสดีเพื่อน กรีนเนท
ฉบับนี้ มีประสบการณ์แลกเปลี่ยนเรื่องการแก้ปัญหาหนูนาในพื้นที่ของเชียงขวาง ประเทศลาว มาเล่าสู่กันฟัง
วิธีการมีให้เลือก ๒ แบบ คือ จะใช้ท่อพีอีดำ ขนาดพอเหมาะ... ตัดให้มีความยาวประมาณ ๒ เมตร ด้านหนึ่ง ให้วาดภาพ หรือเหลาให้มีลักษณะคล้ายหัวงู และใช่สีขาวแต้มบริเวณที่เหลือ ให้เหมือนงู
รับรองว่า หนูหายไปแน่นอน... (แม้แต่คนเห็น ยังผวากระโดด)
อีกวิธีหนึ่ง คือ ใช้ก้านกล้วย แต่งแต้มให้มีลักษณะคล้ายงูอีกเช่นกัน

ซึ่งต้องนำไปวางบริเวณที่หนูมักออกมาเพ่นพ่าน

อันนี้ ทดลองในหลายหมู่บ้าน เป็นอันว่าใช้ได้ผล พอควร...
วิธีเลี้ยงแมว ใช้ในพื้นที่เชียงขวางไม่ได้ เนื่องจาก ประชาชนบริโภคแมวหมดแล้ว....
อิ อิ อิ

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Land at Xieng Khouang Province









เชียงขวาง เป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยภูเขา มีแนวเทือกเขาสูง สลับซับซ้อน ที่ตั้งตัวเมือง อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ ๑,๒๐๐ เมตร หมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเทือกเขา สูงที่สุด “ภูเบี้ย” ประมาณ ๒,๘๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล


พืชดั้งเดิมคือ สน (ไม่รู้ว่าจำแนกสนอย่างไร แต่ยอดสนไม่มีแตกออก เป็นยอดเดียวและ ใบก็เดี่ยว ไม่แตกออกเหมือนสนสองใบ หรือสนสามใบ) คนพื้นที่เรียก สนว่า “แปก”

สังเกตุภาพดี ๆ จะเห็นว่า สนเริ่มยืนต้นตาย เป็นผลมาจากสงครามเวียด นาม เชียงขวางเป็นพื้นที่ที่บอมอย่างหนักของอเมริกา ต่อเนื่องกันสอง สาม ปี ทุกวันนี้ เชียงขวางยังคงมีลูกระเบิดที่ยังไม่แตกหลงเหลืออยู่มาก

สภาพภูเขาทั่วไปที่ทำการเกษตรเป็นที่โล่ง ภูเขาโล่ง ๆ มีหญ้าขึ้นปกคลุม ที่ราบลุ่มเชิงเขาจึงเป็นพื้นที่ทำนา ที่เนินเขาใช้เลี้ยงสัตว์ (วัว) พื้นที่ในหุบเขา ที่ยังไม่ได้ถากถาง เท่าที่เห็นเป็นพืชตระกูลเฟินส์ และมีทาก.... ในพื้นที่ติดห้วย เมื่อตอนไปสำรวจได้ทากกลับมา ๑-๒ ตัว
ผลไม้เป็นไม้เมืองหนาว มะม่วงเป็นมะม่วงพันธุ์พื้นบ้าน ไม่ติดลูกดกมาก ตอนนี้กำลังติดลูกอ่อน ลักษณะคล้ายมะม่วงกะล่อนบ้านเรา (เขาบอกว่า เวลาสุก ปลิ้นเมล็ดออกได้) มะพร้าวไม่มีให้เห็น เนื่องจากเป็นพื้นที่หนาว













วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

The Last Lecture

Randy Pausch’s The Last Lecture

Michael Commons
Thanika Ruaprakon
วิชัย พิมพ์ทอง

มูลนิธิสายใยแผ่นดิน


Have you asked yourself what you would do, what you would think if you knew you only had a couple months more to live? Looking back at your life now, do you think you have made good of your time?

In such a context, Professor Randy Pausch of Carnegie Mellon University, who had been diagnosed with terminal cancer and told he may live only 3-6 months longer, had the chance to give his last lecture at the university where he studied and taught. This is the material of “The Last Lecture,” which can be viewed as a Youtube video, read as a transcript, or read as a book, now translated into many languages.

In Randy Pausch’s Last Lecture, his presentation is not about death or the spiritual journey after death, but very much about life and what it means to have lived and have found meaning and joy in life. He recounts his life and his dreams and how he has gone on to fulfill almost all of his childhood dreams. His story, the story of his life, is also one of lessons learned and how those lessons have then enabled him to do what he has.

His life as told is at least an inspiration. Both in his life and in his presentation, one does not see remorse or regret, but one who has never been scared to dream and even more so never seen a brick wall as an impenetrable barrier. He has believed in himself and that there is a way when one has a dream and one perseveres and he has gone on to jump over many such brick walls. For him the brick walls are but a point to show that one needs to try harder, to try a new way. Besides living his dreams, in his work as a professor, he has helped many to realize their dreams, to go beyond their limitations, to go one step farther than they might have imagined. As a professor of virtual reality, a field where the line between dreams and reality is best crossed frequently, his life story as well teaches us to cross this line, for by crossing that line what is possible becomes a little wider than we might have know or believed.

If you wish to review a life well lived and a life well learned, Randy Pausch’s Last Lecture, will more than satisfy. One may also easily take away a sense of reflecting upon one’s own life, what one has done and what one can do with one’s time left to live. Although we may not know as Randy did, that he had no more than 6 months to live, whether we have 60 more years, 6 more years, 6 more months, or 6 more days, looking at one’s life in such a sense and reading or listening to the words of Randy Pausch are sure to inspire one to challenge life’s barriers are reach for one’s dreams, seeing all one can do when one values and lives life in its fullest.

ธนิกา : สิ่งที่ได้เรียนรู้และคิดว่าจะนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิต
ทุกคนมีฝันในวัยเด็ก แต่น้อยคนนักที่จะได้ทำความฝันให้บรรลุได้ แต่ที่สำคัญ ชีวิตเราจำเป็นต้องมีเป้าหมายเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต และในทุกช่วงจังหวะก้าวนั้น เราได้พบปะสัมพันธ์กับคนมากมาย เกิดการเรียนรู้ซึ่งนำไปสู่การปรับตัว แรนดี เพาช์ เป็นตัวอย่างการใช้ชีวิตดังคำกล่าวที่ว่า “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด” ได้อย่างเป็นรูปธรรม และหนังสือเล่มนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ วิธีการที่จะเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ทั้งทางด้านภายใน ภายนอก และกลวิธีเพื่อไปสู่เป้าหมาย รวมถึงการสร้างความทรงจำที่ดีให้เกิดขึ้นในทุกๆ วันกับคนรอบข้างและคนที่เรารัก

วิชัย : ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่าน
- รู้จักการสร้างจินตนาการที่ดีอย่างมีเป้าหมาย
- ทำให้รู้คุณค่าสิทธิของแต่ละคนมากขึ้นอย่างเข้าใจ
- ทำให้ยอมรับ ตระหนักรู้ ร่างกายของตนเองที่จะเป็นโรคร้ายต่างๆ ได้เสมอ
- รู้จักการทำใจ และปล่อยวางในร่างกายและความคิด
- รับรู้ว่าลูกมีความสำคัญต่อพ่อแม่ และพ่อแม่ต้องช่วยส่งเสริมเขาสร้างฝันที่งดงามเพื่ออนาคตของเขาเอง

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ชีวิตสอนอะไรเราบ้าง

ชีวิตสอนอะไรเราบ้าง

เขียน : อลิซาเบธ คืบเลอร์ รอสส์ และเดวิด เคสเลอร์

แปล : นุชจรีย์ ชลคุป

สรุปย่อ : ธนวรรณ บุญนอง (ติ๋ว)

คนเราจะได้เรียนรู้คำว่า ชีวิต ที่แท้จริง ก็ต่อเมื่อเราใกล้จะตายซึ่งมันก็สายไปเสียแล้ว เพราะเวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่เราใช้ไม่คุ้มค่า ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในหนังสือเล่มนี้ก็จะกล่าวถึงเรื่องตัวตนที่แท้ ความรัก ความสัมพันธ์ การสูญเสีย พลังอำนาจ ความรู้สึกผิด เวลา ความกลัว ความโกรธ การเล่นสนุก ความอดทน การสยบยอม การให้อภัย และความสุข ซึ่งจะสรุปดังนี้

1. ตัวตนที่แท้

บางครั้งเราก็ต้องแบกรับบทบาทต่างๆมากเกินไป เช่น บทบาทในการเป็นสามี ภรรยา และลูก แต่ทำไมเราไม่เป็นตัวของตัวเราเอง เมื่อถึงจุดหนึ่งคุณอาจตระหนักว่าบทบาท อันหนักหนาสาหัสนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของคุณ ดังนั้นคุณจึงโยนมันทิ้งไป เราจะเข้าใจว่าตัวเรา เป็นใคร มากขึ้นก็ต่อเมื่อเราใกล้ตาย การแสวงหาและการเป็นตัวเราอย่างแท้จริง ค้นหาว่าเราต้องการและไม่ต้องการ การทำอะไรที่ต้องการทำอย่างนี้เพราะเรารับผิดชอบต่อประสบการณ์ของตนเอง เราต้องกระทำทุกสิ่ง เพราะการค้นพบจะนำความสุขสงบมาให้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการงาน ถ้าเราทำบางสิ่งเพียงเพื่อให้ดูมีค่าในสายตาคนอื่น เท่ากับเรามองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่เรามักเลือกทำในสิ่งที่ ควร ทำมากกว่าสิ่งที่เรา ต้องการ ทำ ในบางครั้งลองทำตามแรงกระตุ้นที่เรามักจะเก็บกดไว้ หันมาทำอะไร แปลกๆใหม่ๆ ดูบ้าง เราอาจไดเรียนรู้ความเป็นตัวเรามากพอสมควร

2. ความรัก

ถ้าเราพูดถึงคำว่า ความรัก ก็ต้องนึกถึง ทุกอย่างดูสวยงาม มีแต่ความสุข ไม่มีอุปสรรค แต่ในชีวิตจริงเมื่อเรามีใครสักคน เราต้องเจอความผิดหวัง อาจจะไม่สมหวังกับความรัก เพราะเราได้ตั้งเงื่อนไขกับความรัก ซึ่งมันก็เป็นที่ตัวเรา เพราะเราคาดหวังกับแฟนไว้หลายๆเรื่อง เรื่องที่เราคาดหวังไว้แต่คนรักไม่ได้ทำตามอย่างที่เราคาดไว้ เราก็โกรธ ทำให้เราคิดว่าเขาไม่รักเราเขาถึงไม่ไม่ดำทำให้เรา ในความเป็นจริงสิ่งที่เขาไม่ได้ทำให้เรานั้น เขาอาจจะมีเหตุผลอื่นที่เขาไม่สามารถบอกเราก็ได้ ฉะนั้นเราก็ควรปล่อยวาง ต้องรู้จักโดยไม่มีเงื่อนไขถึงจะได้พบกับความรักอย่างแท้จริง ต้องรู้จักรักที่ตัวตนที่แท้จริงของเขา เข้าใจเขาและยอมรับในสิ่งที่เขาชอบและเป็น รักโดยไม่หวังผลตอบแทน

เงื่อนไขของความรักก็คือ สิ่งที่กำเนิดอยู่ในความสัมพันธ์ของเรา เมื่อยกเลิกเงื่อนไขเหล่านั้น เราจะพบความรักอันหลากหลายอย่างที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน

ความรัก ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบ พี่น้อง พ่อแม่ ญาติ คนรัก แต่เราสามารถมอบให้ได้กับทุกคน เราจะพบความรักอย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อเรามอบความรักให้โดยปราศจากเงื่อนไข

3. ความสัมพันธ์

การที่เราได้อยู่กับคนที่เรารัก เราไม่สามรถรู้ได้เลยว่าเขาจะอยู่กับเราได้นานเท่าไหร่ อาจเป็นเวลาชั่วข้ามคืนเท่านั้น ที่เราได้อยู่กับเขาเป็นครั้งสุดท้าย ฉะนั้นเราจงทำวันนี้ให้ดีที่สุด มีคู่สมรสคู่หนึ่งชื่อ แจ็กสันกับแอน แจ็กสันได้รับการรักษาตัว ปลูกถ่ายไขกระดูกแต่ก็ล้มเหลว ซึ่งน่าจะมีชีวิตอีกไม่นานแอนจึงตัดสินใจแต่งงานกับแจ็กสัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาราบรื่นมาโดยตลอด อยู่มาวันหนึ่งแจ็กสันหายเป็นปกติ แต่แล้วเขาก็สังเกตว่าแอนไม่เหมือนเดิมพวกเขาทะเลาะกันมากขึ้นในที่สุดก็เลิกรากัน และมีอีกคู่สมรส ชื่อชาร์ลส์กับเคธี ชาร์ลส์เข้าใจแนวคิดกระจกสะท้อนเป็นอย่างดี เขาบอกว่า ถ้าความสัมพันธ์น่าเบื่อ อาจเป็นเพราะผมกำลังเบื่อ หรือที่แย่กว่านั้น คือผมเป็นคนน่าเบื่อ ดังนั้นถ้าเรามีปัญหาเราก็ไม่ควรบอกว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิด และต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง แต่แท้ที่จริงตัวเรานั้นเองที่ควรมองย้อนกลับไปว่าเป็นที่ตัวเราหรือเปล่า คนที่ควรปรับเปลี่ยนก็คือตัวเรา ไม่ใช่คาดหวังให้คนอื่นมาปรับเปลี่ยน

ไม่มีความสัมพันธ์ใดที่ถือว่าผิดพลาด ทุกสิ่งล้วนคลี่คลายไปในทางที่มันควรจะเป็น นับตั้งแต่การพบปะครั้งแรกไปจนถึงคำเอ่ยลาครั้งสุดท้าย ล้วนเป็นความสัมพันธ์ทั้งสิ้น เราเรียนรู้จากความสัมพันธ์เหล่านั้นเพื่อจะมองเห็นจิตวิญญาณตนเอง และรายละเอียดของความสัมพันธ์ และเพื่อเยียวยารักษาตัวเรา เมื่อใดที่เรายอมละทิ้งแบบแผนความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความรัก ซึ่งเราเคยรับรู้มาก็เท่ากับเราได้บอกลาคำถามว่าเราควรจะรักใครและรักนานเพียงใด เราได้ก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านี้ไปสู่การค้นพบความรักสุดวิเศษซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นโดยพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่เหนือตัวเรา

4. การสูญเสีย

คนเราย่อมสูญเสียในสิ่งที่มี แต่มีหลายอย่างที่ไม่เคยสูญเสียไป เช่น บ้าน รถ การงาน และเงินทอง หรือแม้แต่คนที่เรารักเป็นของให้ยืมสำหรับเราเท่านั้น คนที่เรารักก็เช่นกัน เราไม่เก็บรักษาพวกเขาไว้ได้ตลอดไป ถ้าการรับรู้ความจริงนี้ไม่ได้ทำให้เราเศร้าหมองตรงกันข้าม เราควรรู้สึกซาบซึ้งในประสบการณ์แสนวิเศษและสิ่งต่างๆมากมาย ที่เรามีในช่วงเวลานี้ เราพบกับความสูญเสียหลายต่อหลายรูปแบบ และเราก็มีการตอบสนองต่อความสูญเสียเหล่านั้น เมื่อความสูญเสียกลายเป็นประสบการณ์ส่วนหนึ่ง ก็ทำให้เราปรับตัวเพื่อจัดการกับชีวิตดียิ่งขึ้น ในเวลาที่เรารู้สึกสูญเสียอย่างที่สุดเราก็รู้ว่าชีวิตยังคงดำเนินต่อไปถึงแม้ความสูญเสียและการจบสิ้นจะรุมเร้า การเริ่มต้นใหม่ๆก็ยังมีอยู่รายรอบท่ามกลางความเจ็บปวด ความสูญเสียดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุด แต่วงจรแห่งชีวิตยังดำรงอยู่รอบตัวเรา

5. พลังอำนาจ

พลังอำนาจ เป็นการแสดงออกซึ่งความจริงภายในตัวเรา ความเข้มแข็ง ความเป็นเอกภาพ และความงดงามจากภายนอก พลังอำนาจของเราแฝงอยู่ในตัวเราเป้นพลังอำนาจซึ่งเราถือกำเนิดขึ้น ซึ่งหากมันได้ถูกหลงลืมไป ก็เพียงแค่รอวัน เรามีพลังอำนาจภายในล้นเหลือแต่แทบไม่รู้วิธีนำมาใช้ พลังอำนาจที่แท้จริงมาจากการรู้ว่าตนเองคือใคร เมื่อเรารู้สึกว่าต้องสะสม เราได้หลงลืมทุกสิ่งที่เป็นตัวเรา พลังอำนาจของเรามาจากการรู้ว่าทุกอย่างเหมาะสมแล้ว และชีวิตของคนทุกคนได้คลี่คลายไปอย่างที่ควรจะเป็น

6. ความรู้สึกผิด

ความรู้สึกผิดจำเป็นต้องได้รับการจัดการ การอบรมต่างๆอาจช่วยให้สามารถปลดปล่อยความโกรธ จากนั้นเราต้องแลกเปลี่ยนความรู้ผิดซึ่งกันและกัน หากทำด้วยความตั้งใจดีเราก็จะปลดปล่อยความรู้สึกผิดออกมาได้ บางสิ่งที่เราคิดว่าเป็นความรู้สึกผิดอาจได้รับการชำระสะสางด้วยการให้อภัย การที่เราเข้มงวดกับคนอื่นมาตลอดชีวิต และยิ่งเคร่งครัดกับตนเองมากขึ้น ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องปลดปล่อย เมื่อใดที่เรารู้จักยกโทษให้ตนเองและผู้อื่น เมื่อนั้นความรู้สึกผิดก็จะไม่เกาะเราไว้ เราไม่สมควรต้องรู้สึกผิด แต่ควรได้รับการอภัย

7. เวลา

ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เราเปลี่ยนไปทั้งภายในและภายนอกรูปลักษณ์เราเปลี่ยน ตัวตนภายในก็ไม่เหมือนเดิม ชีวิตเราแปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องเรามักจะไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แม้จะเตรียมพร้อมแล้ว แต่เราก็มักจะต่อต้านความเปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกันโลกรอบตัวเราก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปโลกไม่เคยหยุดยั้ง ชะลอไปพร้อมๆกับเรา ความเปลี่ยนแปลงมักจะเกิดขึ้นป้นการแสดงออกซึ่งความจริงมีอยู่รายรอบท่ามกลางความเจ็บปวด ความสูยเสียดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุด แต่วงจรแห่งชีวิตยังดำรเร็วเกินไปหรือไม่ก็ช้าเกินไป

8. ความกลัว

หากเราพบหนทางในการก้าวพ้นความกลัว ถ้าเราสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสต่างๆมากมายก็สามารถมีชีวิตอย่างที่เราใฝ่ฝัน เราจะใช้ชีวิตโดยปราศจากการตัดสินโดยไม่หวาดหวั่นว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ไม่ลังเลท้อถอย ความกลัวเป็นเรื่องซับซ้อนกันอยู่หลายชั้น เราต้องลอกความกลัวออกทีละชั้นๆจนกว่าจะถึงความกลัวชั้นล่างสุดก็คือ ความกลัวตาย ความรักสามารถเอาชนะความกลัวได้

9. ความโกรธ

ความโกรธที่เก็บกดไว้จะไม่หายไปง่ายๆ แต่กลายเป็นปัญหาไม่รู้จบ ถ้าเราไม่จัดการกับความโกรธเล็กๆน้อยๆเสียก่อน ความโกรธนั้นจะขยายใหญ่ขึ้นๆ จนกระทั่งมันพุ่งไปยังที่ใดที่หนึ่ง เราต้องรู้จักสัมผัสความรู้สึกในช่องท้อง การเคลื่อนไหวสามารถสัมผัสกับสิ่งที่ตนกำลังรู้สึกอาจเป็นเพราะเราต้องการใช้ร่างกายมิใช่เพียงสมองอย่างเดียว

10. การเล่นสนุก

จงให้เวลาแก่ตัวเองใช้เวลาอย่างมีคุณค่ากับคนรัก เวลาสำหรับตัวเราไม่ใช่เวลาที่คนอื่นๆไม่อยู่หรือเราบังเอิญได้อยู่คนเดียว แต่เป็นเวลาที่เรามีไว้เพื่อตนเองโดยเฉพาะ เวลาที่ให้แก่ตัวเองเพื่อความสุข ไม่จำเป็นต้องทนดูหนังที่ไม่ชอบ กินอาหารที่ไม่อยากกิน เราต้องเพื่อตัวเองได้อย่างเต็มที่ ตามที่เราต้องการ

11. ความอดทน

ความอดทนเป็นบทเรียนที่ยากที่สุดสำหรับเรา หรือเป็นบทเรียนที่น่าอึดอัดใจที่สุด บทเรียนในการอดทนคือ เราไม่อาจได้ทุกสิ่งที่เราต้องการ ต้องการอะไรเดี๋ยวนี้ แต่ต้องรอสักพักหรือตลอดไปก็ตาม เราจะได้สิ่งที่ต้องการเสมอ แม้มันไม่เป็นไปตามภาพในความคิดของเราก็ตาม ขั้นตอนแรกของการเป็นคนอดทน คือ การเลิกพยายามจัดการหรือเปลี่ยนแปลงต่างๆ แต่มันก็มีเหตุผลบางประการแม้จะได้เห็นด้วยหรือมองไม่เห็นเหตุผลเบื้องหลังก็ตามเวลาที่คนอื่นๆไม่อยู่หรือเราบังเอิญได้อยู่คนเดียวผัสกับ

12. การสยบยอม

เราทุกคนค้นพบความสุขได้เสมอเมื่อเรายอมอ่อนน้อม แย่ตรงที่พวกเราส่วนใหญ่กลัวการสยบยอมเพราะเราต้องเสียสละ การสยบยอมไม่ใช่ความอ่อนแอหรืความเจ็บปวด ตรงกันข้ามกลับเติมไปด้วยความสุขและมีพลัง เมื่อเรายอมรับอย่างแท้จริงว่าทุกอย่างได้รับการดูแลและจะเป็นไปด้วยดี

13. การให้อภัย

เราจำเป็นต้องให้อภัยเพื่อจะสามารถมีชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม การให้อภัยเป็นหนทางเยียวยารักษาความเจ็บปวดและบาดแผลของเรา อุปสรรคการให้อภัยนั้นมีมากมายมี่สำคัญก็คือ ความรู้สึกว่าการให้อภัยหมายถึง การที่เรายอมรับพฤติกรรมซึ่งทำร้ายเรา การที่เราปล่อยวางความเจ็บปวดเพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง เมื่อเราตระหนักว่าการฝังใจอยู่กับความแค้นเคืองเป็นการบีบคั้นให้ตัวเราอยู่อย่างไม่เป็นสุข ผู้ที่ไม่ให้อภัยเราต้องคิดว่าพวกเขาไม่ได้กำลังลงโทษใคร นอกจากตัวเขาเอง

14. ความสุข

ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อยู่ที่ว่าเราจะจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอย่างไร ความสุขของเราถูกกำหนดด้วยวิธีการตีความ วิธีรับรู้และผนวกรวมสิ่งที่เกิดขึ้นในภาวะจิตใจของเรา เราแค่ พยายาม มีความสุข ความพยายามนั้นจะมีผลต่อความรู้สึกของเราค่อยๆ มีความสุขทีละเล็กละน้อย สร้างความสุข ถ้าเรามีความสุขห้านาที หลังจากนั้นกว่าจะรู้ตัวเราก็มีความสุขเป็นชั่วโมงและตลอดวัน

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Happy คนพลิกแบรนด์ แบรนด์พลิกคน

เขียนโดย ธนา เธียรอัจฉริยะ
จำนวนหน้าหนังสือ 268 หน้า

ยุทธศักดิ์ ยืนน้อย
ศรีแพ ดวงแก้วเรือน
แม่ทา จ.เชียงใหม่
อนุพงศ์ เขม้นกิจ
สหกรณ์กรีนเนท และ
ณัฐวัฒน์ รัตนอุดมวรรณา
แม่ริม จ.เชียงใหม่


บริษัทDTAC ได้ประสบปัญหาขาดทุนในการให้บริการโทรศัพท์ จากที่เคยประสบผลสำเร็จเป็นรองแค่ AIS เนื่องจาก
ก) ผู้บริหารCEO ไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้ปฏิบัติ ขั้นตอนมาก
ข) เสียเปรียบคู่แข่งขัน ไม่ว่า เงินลงทุน บุคลากร ความรู้ เทคโนโลยี สัญญาความถี่
ค) ความขัดแย้งภายในบริษัท ชิงดีชิงเด่น

เมื่อเปลี่ยนผู้บริหารCEO(คุณซิคเว่ เบรคเก้และคุณวิชัย เบญจรงกุล) ซึ่งมีแนวคิดใหม่ไม่ยึดติดกรอบการทำงานแบบเก่า จึงสร้างสรรค์รูปแบบวิธีการใหม่ๆ ที่น่าสนใจและสามารถพลิกฟื้นบริษัทให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้ ซึ่งใช้วิธีการหลากหลายรูปแบบ ดังนี้

ก) แผน 100 วัน กำหนดเป้าหมายชัดเจน ระบุระยะเวลา วัดได้

ข) การใช้ตีนทำงาน ทั้งผู้บริหารCEO และผู้ปฏิบัติ คือการเดินลงไปสัมผัสเก็บข้อมูลความต้องการจากผู้ใช้บริการโดยตรง เพื่อนำมาปรับใช้เป็นกลยุทธ์ในการออกโปรโมชั่นในการต่อสู้กับริษัทยักใหญ่ ซึ่งมีหลายตัวอย่าง เช่น บริการสวัสดี บริการออกให้นะ บริการโทรฉุกเฉิน บริการให้ยืมเงิน

ค) ผู้บริหารCEO ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผิดชอบ อย่างเป็นกันเองไม่ถือตัว ยอมเปลี่ยนภาพลักษผู้บริหารที่ต้องใส่สูทผูกไททำงานในห้อง มาเป็นพรีเซนเตอร์ฮิบฮอบซึ่งสร้างความสนใจได้มากและผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความประทับใจและความเป็นกันเอง กล้าพูด กล้าเสนอแนะ

ง) การทำงานอย่างเป็นวิถีชีวิต ทุ่มเท ตั้งใจ อดทน ทำงานเป็นทีม “ทุกคนมีทัศนคติที่ดี ไม่มีการเมืองและช่วยสอดประสานกันในจุดอ่อนของแต่ละคน พอร้อยรวมเป้นภาพเดียวก็ได้ความเป็นดรีมทีมอย่างสมบูรณ์”

จ) การเปลี่ยนทัศนคติที่ดี เปลี่ยนภาพลักษณ์ที่สดใส(HAPPY)

ฉ) ไม่ยึดติดกับความสำเร็จ ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง


สุดท้ายทำให้สามารถแข่งขันทางธุรกิจ กลับมายืนเป็นเบอร์สองรองจาก AIS ได้ และสามารถสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง มีพลัง มีความคิดสร้างสรรค์ในการคิดสิ่งแปลกใหม่นอกกรอบ และยังคงต้องก้าวต่อไป

ศรีแพ : สิ่งที่ได้จาการอ่านหนังสือเล่มนี้คงต้องบอกว่าเป็นวิธีคิด แนวคิดในการเปลี่ยน เราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้แต่เราสามารถเปลี่ยนตนเองได้ ในที่นี้คงต้องเรียกว่าเป็นการเปลี่ยนทัศนคติ หากเริ่มที่ตัวเราเองก่อนแล้วคนอื่นๆรอบตัวเราก็จะเห็นเรา อย่างคิดที่จะไปเปลี่ยนคนอื่นหากตัวเองยังไม่เปลี่ยนเราต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อน และการเปลี่ยนวิธีที่สองคงต้องเป็นการเปลี่ยนวิธีการทำงาน จากที่เรามีวิกฤตความขัดแย้งกันในทีมทำให้บรรยากาศในการทำงานขุ่นมัว เราเองไม่อยากเข้าไปในห้องที่มีบรรยากาศขุ่นมัวเราก็เปลี่ยนวิธีการทำงาน ให้เหมือนกับแทค ช่วงเริ่มต้น ต้องใช้ตีนในการทำงาน งานส่งเสริมฯที่ผ่านมายังใช้ตีนไม่พอเราคงต้องเดินไปหาสมาชิกให้มากขึ้นในการพัฒนางานข้างหน้า เจ้าหน้าที่ส่งเสริมฯได้เปรียบอยู่แล้วเพราะที่ต้องออกพื้นที่เดินเข้ากาสมาชิก ไม่ได้แตความสำพันธ์ที่ดีเท่านั้นแต่เรายังได้ใจเพิ่มมาอีกด้วย การรู้จักกับการรู้ใจไม่เหมือนกันในวันนี้ต้องรู้ใจ ซื้อใจ สมาชิกให้มากขึ้น

ณัฐวัฒน์ : อ่านแล้วได้แง่มุมหลายๆ อย่างในการทำงาน การเปลี่ยนแนวคิด งานที่เป็นชีวิต บริษัทที่เป็นเหมือนบ้านหลังใหญ่ ทุกคนในบริษัทคือพี่น้อง ทุกคนร่วมใจกันทำงานเพื่อพาบริษัทฝ่ามรสุมไปจนเติบโตและมั่นคง ผู้คนที่ยังคงเป็นชุดเดิมหน้าเดิมไม่ว่าก่อนหรือหลังวิกฤต CEO ที่ลุยลงพื้นที่ด้วยตัวเอง ปรับเปลี่ยนตัวเองไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ รับรู้ปัญหาด้วยตัวเองและนำเอามันมาปรับปรุงแก้ไข คุณธนาเรียกมันว่า “การต่อสู้แบบมวยรอง”

อนุพงศ์ : แนวคิดจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ คือ การเป็นคนยอมที่จะเข้าถึงในสิ่งที่ไม่เคยลอง ไม่เคยผ่านประสบการณ์มาก่อน โดยพิจารณาปัญหาด้วยความรอบคอบ และรับฟ้งความคิดเห็นของผู้อื่นและคนรอบข้าง แสดงให้เห็นว่าการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันนั้น

เส้นทางเกษตรกรรมยั่งยืน

จำนวน 307 หน้า
เขียนโดย เดชา ศิริภัทร มูลนิธิข้าวขวัญ
พฤษภาคม 2551

ผกามาศ ทรงโยธิน
เลิงนกทา จ.ยโสธร

และ อำนาจ หวานล้ำ
แม่ทา จ.เชียงใหม่

เส้นทางเกษตรกรรมยั่งยืน เป็นหนังสือที่รวบรวมบทความที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมของ คุณเดชา ศิริภัทร ที่เคยตีพิมพ์ในนิตยสารหลายฉบับ ในระหว่างปี 2526-2542 เป็นบทความที่เขียนในลักษณะของการแสดงความคิดเห็น มุมมองและข้อเสนอแนะต่างๆ ซึ่งบรรณาธิการของหนังสือเล่มนี้ได้มีการจัดเนื้อหาเป็นกลุ่มๆเพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจง่าย คือ วิพากษ์เกษตรกรรม, ทิศทางเกษตรกรรม, เกษตรกรรมยั่งยืนภาคปฏิบัติ, พันธุกรรมกับเกษตรกรรมยั่งยืน , มหกรรมประชาชน, เรียนรู้จากชุมชน, เรียนรู้จากเพื่อนบ้าน, ชีวิตและความใฝ่ฝัน

ประเทศไทยเป็นประเทศที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ และกว่า 70% ของเกษตรกร ชาวนานับเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด และมีความสำคัญต่อประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและการเมือง มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในอดีตชาวนามีความผูกพันกับพิธีกรรม ประเพณีต่างๆและธรรมชาติมาก ความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นไปอย่างถูกต้องและสมดุล ชาวนาในอดีตให้ความสำคัญกับการผลิตเพื่อการบริโภคเท่านั้น แต่ต่อมาทัศนะของคนเปลี่ยนไป เป้าหมายของเกษตรกรรมที่เคยผลิตอาหารเพียงเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ กลายเป็นเพียงกิจกรรมอย่างหนึ่งของการผลิตสินค้า เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ เพื่อจุดมุ่งหมายสูงสุดคือกำไร และผลประโยชน์ต่างๆ ก่อให้เกิดการทำลายธรรมชาติ, ระบบนิเวศต่างๆ ซึ่งเป็นยุคของการที่เรียกว่า ปฏิวัติเขียว และหลังจากยุคดังกล่าว ทำให้ระบบนิเวศต่างๆเกิดการเสื่อมโทรมและเป็นพิษ ก่อให้เกิดการขูดรีดผลประโยชน์และผลกำไรออกจากธรรมชาติให้มากที่สุดและเร็วที่สุด ก่อให้เกิดการมองธรรมชาติออกเป็น 2 ส่วนคือส่วนที่ต้องการและส่วนที่ไม่ต้องการ จากการมองดังกล่าวก่อให้เกิดหลักการที่สำคัญคือ การทำลาย จากระบบเกษตรกรรมดังกล่าวพบว่าก่อให้เกิดปัญหาต่างๆไม่ว่าจะเป็นในด้านสังคม เศรษฐกิจ, ระบบนิเวศ, คุณภาพของผลผลิต ต่อมาเกิดกลุ่มบุคคลหลายๆกลุ่มพยายามหาทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบเกษตรกรรมแผนใหม่ โดยพัฒนาระบบเกษตรกรรมขึ้นหลายระบบซึ่งระบบเกษตรกรรมเหล่านั้นถึงแม้จะมีวิธีการต่างกันแต่จุดมุ่งหมายหลักเดียวกันคือรักษาระบบนิเวศให้กลับฟื้นคืนสู่ความสมดุลและสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ซึ่งตัวอย่างระบบเกษตรกรรมที่เกิดขึ้นในแนวทางนี้คือ ระบบเกษตรอินทรีย์, เกษตรกรรมธรรมชาติ, เกษตรผสมผสาน เป็นต้น

ระบบเกษตรอินทรีย์ มีหลักการพื้นฐานคือ การปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติด้วยอินทรียวัตถุและสิ่งมีชีวิตในดิน เพื่อเป็นพื้นฐานรองรับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงต่อไป นอกจากนี้หลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมีสังเคราะห์ทุกชนิด นิยมใช้ชีววิถีและสารธรรมชาติ

ระบบเกษตรกรรมธรรมชาติ เป็นระบบเกษตรกรรมที่ อาศัยความสมดุลของระบบนิเวศและดำเนินกิจกรรมต่างๆให้สอดคล้องกับระบบนิเวศในท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งมีหลักการใหญ่ๆ 4 ข้อคือ
1. ไม่ไถพรวนพื้นดิน
2. ไม่ใส่ปุ๋ยทุกชนิด
3. ไม่กำจัดวัชพืช
4. ไม่กำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช

ระบบเกษตรผสมผสาน เป็นการทำกิจกรรมเกษตรพร้อมกันตั้งแต่ 2 กิจกรรมขึ้นไป โดยแต่ละกิจกรรมเอื้อประโยชน์หรือมีผลเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เช่นการเลี้ยงปลาในนาข้าว จุดเด่นของเกษตรแบบนี้อยู่ที่การใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ เอื้อต่อการผลิตเพื่อการบริโภคในครัวเรือน ลดต้นทุนการผลิต ลดความเสี่ยงในเรื่องการตลาด มีความเสถียรภาพสูง

สำหรับประเทศไทยนั้นได้เกิดระบบเกษตรกรรมทางเลือกขึ้น ได้มีการจัดตั้งเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกขึ้น ซึ่งเป็นการรวมตัวขององค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรชาวบ้าน ทำงานด้านพัฒนาและส่งเสริมฯ ระบบนี้ประเทศไทยเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ซึ่งหมายถึงระบบเกษตรกรรม 4 ระบบคือ
1. ระบบเกษตรกรรมผสมผสาน
2. ระบบเกษตรกรรมอินทรีย์
3. ระบบเกษตรกรรมธรรมชาติ
4. ระบบวนเกษตร

กลุ่มเครือข่ายกิจกรรมทางเลือกได้มีการ จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อกระจายความรู้ , รวบรวม และสังเคราะห์ความรู้เกี่ยวกับเกษตรกรรมทางเลือกในประเทศ ,เพื่อเชื่อมโยงผู้ผลิตและผู้บริโภคเข้าด้วยกัน , เพื่อเสนอแนวทางวนเกษตรในการฟื้นฟูป่า และเพื่อผลักดันให้เกิดนโยบายสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ เช่นการจัดงานสัปดาห์เกษตรทางเลือกฯ, การเข้าร่วมสมัชชาคนจน และยังคงมีการพัฒนาตนเองมาจวบจนปัจจุบัน

สิ่งสำคัญของการทำเกษตรอย่างหนึ่งที่ได้มีการกล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้คือ พืชพันธุ์พื้นบ้าน ซึ่งถือเป็นขุมทรัพย์ที่สำคัญ มีคุณค่ามากมายหลายด้านโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจากการสำรวจของนักวิยาศาสตร์พบว่า ศูนย์กลาง พืชพันธุ์พื้นบ้านเกือบทั้งหมดอยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา

พืชพันธุ์พื้นบ้าน หรืออาจเรียกว่าทรัพยากรพันธุกรรม เป็นพันธุ์พืชและสัตว์ ที่มีการคัดเลือก โดยธรรมชาติ ทั้งจากของธรรมชาติเองและจากตัวมนุษย์จะมีความเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ ของแต่ละพื้นที่แต่ละท้องถิ่น เช่น ทุเรียนพันธุ์ดีต้องบางยี่ขัน, เงาะ ต้องบางยี่ขัน, มะม่วงต้องที่ ต.บางช้าง, พริกที่มีกลิ่นหอมและเผ็ด ต้องเป็นพริกกะเหรี่ยง ซึ่งควรเป็นอย่างยิ่งที่ควรมีการอนุรักษ์ รวบรวมและส่งเสริมให้มีการปลูกและเก็บรักษาพืชพันธุ์พื้นบ้านนั้นไว้ ก่อนที่จะมีการสูญหาย ดังบทเรียนจากประเทศต่างๆ เช่น ฟิลิปปินส์, เกาะชวา อินโดนีเซีย ซึ่งทรัพยากรพันธุกรรมนี้มีความสำคัญมากคือ เป็นแหล่งของการเกิดปัจจัย 4 , เป็นแหล่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และเป็นแหล่งสำคัญในการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆไม่เว้นแม้แต่ด้านนิเวศวิทยา ซึ่งปัญหาของการสูญหายทรัพยากรพันธุกรรมดังกล่าว เกิดจากระบบเกษตรแผนใหม่ และการไม่เห็นคุณค่าของทรัพยากรพันธุกรรมที่มีอยู่ จึงก่อให้เกิดการเก็บรวบรวมทรัพยากรพันธุกรรมและภูมิปัญญาพื้นบ้านขึ้น เช่นการจัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ เกษตรกรในปัจจุบันนี้เปรียบเสมือนคนที่มีแต่ความทุกข์มีแต่คนคอยเอาเปรียบ ดังนั้นจึงควรมีการหันหน้าเข้าหากัน พูดคุยถ่ายทอดสิ่งต่างๆถึงกัน ไม่ว่าจะเป็นภูมิปัญญา, ทรัพยากรพืชพันธุ์ หรืออื่นๆ เพื่อการต่อสู้กับวิกฤติและกระแสต่างๆของสังคมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้

ตอนท้ายของหนังสือเล่มนี้ ได้มีการเขียนในเรื่องชีวิตและความใฝ่ฝัน มีการมองคนรุ่นเก่าเปรียบเทียบกับคนรุ่นใหม่ และมีการฝากแนวคิดเล็กๆน้อยว่า ความใฝ่ฝันของคนเรานั้นมีมาหลายชั่วอายุคนและยังคงงดงามเช่นที่เคยมี แม้บางครั้งอาจถูกมอมเมา บังคับ ขู่เข็ญ แต่ก็ไม่อาจทำลายความใฝ่ฝันอันงดงามได้ มีคนกลุ่มน้อยบางกลุ่มที่รู้จักกันในนามของ ผู้แสวงหา ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากวิกฤติศรัทธา กลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความหวังและความฝัน แต่จะมีสักกี่คนที่กล้าหาญพอที่จะดำเนินชีวิตไปตามความใฝ่ฝันของตนเอง เรียกว่าทวนกระแสสังคม เป็นคนบ้าแห่งยุคสมัย ไม่ปล่อยตัวล่องลอยไปตามกระแส ขาดเขลาและอ่อนแอจนห่างไกลจากความใฝ่ฝันที่แท้จริงของตน ผู้ที่จะดำเนินชีวิตไปตามความใฝ่ฝันของตนได้แท้จริงนั้นต้องเป็นผู้ที่รู้เท่าทันสังคม, เข้มแข็งและกล้าหาญพอ ไม่ย่อท้อและลังเลต่อสิ่งใดๆ

อำนาจ : สิ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้คือ ประวัติความเป็นมาของเกษตรกรรมของไทยในอดีตที่ผ่านมาและความย่ำแย่ของระบบการเกษตรกรรมในอดีต เพื่อนำมาปรับใช้ในชีวิตไปข้างหน้าอย่างเหมาะสม”

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

โลกร้อน-We are the weather maker

หนังสือ โลกร้อน : เมื่อมนุษย์ทำให้สภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง

เขียนโดย: Tim Flannery แปลโดย : วิฑูรย์ ปัญญากุล 2551

review by: ภัทราวดี ภูมิภักดิ์


หนังสือเล่มนี้ จริงๆ แล้วยังไม่ได้ตีพิมพ์ฉบับที่เป็นภาษาไทยเลย เพราะตอนได้มาอ่าน มาแบบเป็นเอกสาร Copied

เข้าเรื่องเลยละกัน

หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเชิงวิทยาศาสตร์แบบเล่าเรื่อง จึงทำให้เวลาอ่านแล้่วไม่น่าเบื่อ ยิ่งคนสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและโลกร้อนมาอ่านก็คิดว่า ยิ่งจะชอบ เพราะอ่านง่าย (คนแปล แปลดี อะนะ) เนื้อหาก็ตามชื่อเรื่อง เพราะบอกที่มาที่ไป ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมันมาจากหลายสาเหตุ และก็มีหลักฐานยืนยัน หรือชี้ชัด ถึงข้อเท็จจริงหรือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า "มนุษย์" เรานั้น มีอิทธิพลเพียงใด ที่สามารถทำให้โลกร้อน และนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จนกระทั่ง ระบบนิเวศต้องสั่นสะเทือน ไม่ว่าจะเป็นการสูญพันธุ์ของพืชหรือสัตว์ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก ทิมได้พูดและเอาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาบอกกล่าวเอาไว้ อย่างน่าสนใจ

สิ่งที่ เราคนอ่าน สนใจมากที่สุด คือ ข้อมูลที่คิดว่ามันจะทำให้เกิด impact ได้ หากมีคนจำนวนมากได้เข้ามารับรู้ ถึง 3 จุด พลิกผัน

3 จุด พลิกผันที่ว่านี้จะมีผลอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่ง ก็คือ

1. การหยุดไหล หรือ ไหลช้าลงของกระแสน้ำในมหาสมุทรที่เรียกกันว่า กัลฟ์สตรีม
2. การล่มสลายของป่าฝนเขตร้อน อะเมซอน
3. การพวยพุ่งของก๊าซมีเทน จากพื้น มหาสมุทร

มีใครเคยได้ยินกันมาก่อนไหม กับ 3 จุดพลิกผันนี้ คนอ่าน เอง ก็เพิ่งจะได้รู้ ก็ตอนอ่านหนังสือเล่มนี้ นี่เอง

จากรายงานของเพนตากอน (เข้าใจว่าเป็นหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐ ถ้าใครเคยดูหนังฮอลลีวูด จะรู้จักดี) ระบุว่า ในปี 2551 เมื่อกระแสน้ำกัลฟ์สตรีมชะลอตัวลงจะเกิดภาวะแห้งแล้งในพื้นที่ ที่ทำการเกษตรทั่วทั้งโลก
และอุณหภูมิเฉลี่ยจะขยับตัวสูงขึ้นมากกว่า 3 องศาเซลเซียส ในทวีปยุโรป แต่ในอเมริกาเหนือ อุณหภูมิจะสูงขึ้นไม่ถึง 3 องศาเซลเซียส ส่วน ออสเตรเลีย อเมริกาใต้และด้านล่างของทวีปแอฟริกาจะร้อนขึ้นราว 2 องศาเซลเซียส

มีนักวิทยาศาสตร์ อีกจำนวนหนึ่งที่พยายามศึกษาถึงผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ในกรณีที่กระแสน้ำกัลฟ์สตรีมหยุดไหล ซึ่ง หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น จะทำให้ไม่มีออกซิเจนไปเติมใ้ห้กับน้ำทะเลลึกด้านล่าง ประสิทธิภาพการผลิตทางชีวิวิทยา (productivity) ของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ก็น่าจะลดได้มากถึง 50% และ ประสิทธิภาพการผลิตทางชีววิทยาของมหาสมุทรอื่นๆ ทั่วโลกก็คงจะลดลง 20% ซึ่งผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ประเมินแบบสถานการณ์เลวร้ายสุดขั้ว) ก็คือ ทำให้หลายประเทศประสบกับปัญหาความอด อยาก หิวโหย และมีการอพยพย้ายถิ่นของประชาชนจำนวนมาก ในหลายประเทศทั่วโลก เช่น สแกนดิเนเวีย บังคลาเทศ และเขตแคริบเบียน จะประสบปัญหาภัยแล้ง รุนแรง จนไม่สามารถผลิตอาหารให้เพียงพอที่จะเลี้ยงประชากรได้

การเมืองโลกก็จะเกิดความวุ่นวาย สับสน หาก แย่สุดๆ จะเกิดพันธมิตรใหม่ทางการเมืองเพื่อจัดการแบ่งสรรทรัพยากรธรรมชาติและมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดสงครามระหว่างประเทศขึ้น (ตามตะเข็บชายแดนของแต่ละประเทศ) .... ฟังดูน่ากลัว

ถามว่าจริงเหรอ มันจะเกิดขึ้นจริงเหรอ มันก็ฟันธงไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นการคาดการณ์ ซึ่งประเด็นนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ของนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ฝั่งหนึ่งก็เป็นกังวลมาก อีกฝั่งก็บอกว่ามีโอกาสเกิดเีพียง 5% .... อะไรๆ ก็ไม่แน่หรอกนะ โลกมันไม่เที่ยง

แต่ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า คือ .....

การล่มสลายของป่าฝน อะเมซอน .... เพราะว่า แบบจำลองคอมพิวเตอร์ของศูนย์ฮาดเลย์ อังกฤษ ได้ใช้ แบบจำลองชื่อ TRIFFID ก็ไม่รู้จักเหมือนกัน แต่เขาบอกว่า เป็นแบบจำลอง ที่ใช้วิเคราะห์ ปฏิกิริยา ระหว่างพืชและภูมิอากาศ ผลการวิเคราะห์ ระบุว่า

... เมื่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเข้มข้นขึ้น ต้นพืชโดยเฉพาะต้นไม้ในป่าอะเมซอน จะมีพฤติกรรมบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป .....

ซึ่งปกติ ต้นไม้ในป่าอะเมซอนทุกวันนี้ สามารถสร้างฝนได้ด้วยตัวเอง จนเป็นวัฎจักรการหมุนเวียนของน้ำในป่าอะเมซอนของตัวเอง แต่เมื่อ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้น จะทำให้การคายน้ำของพืชลดลง สิ่งที่ตามมา คือ จะทำให้ฝนลดลงตามไปด้วย แบบจำลองประเมินว่า ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2643 ในบรรยากาศจะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้น จนทำให้ปริมาณฝนในป่าอะเมซอนลดลงอย่างมาก โดย 20% ของฝนที่ลดลง มีสาเหตุมาจากการคายน้ำลดลง ส่วนที่เหลือมีสาเหตุมาจากภัยแล้งอันเกิดจาก การที่ โลกร้อน ขึ้น

แล้วการลดลงของฝน มาผนวก กับอากาศที่ร้อนขึ้น ถึง 5.5 องศาเซลเซียส จะทำให้ป่าอะเมซอน ล่มสลาย ... อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

รายงานยังระบุว่า เพียงแค่อุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย ก็จะทำให้ผืนดินที่เคยเก็บกักก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์เปลี่ยนสภาพจากผู้กักเก็บก๊าซ กลาย เป็นผู้ปลดปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ แทนซะเอง..... ความแปรปรวนปั่นป่วนคงตามมาอีกเยอะเลยถ้าเป็นแบบนี้

แบบจำลองการพยากรณ์คาดการณ์ว่าจะเกิดวิกฤต รุนแรง ในลุ่มน้ำอะเมซอน อุณหภูมิโดยรวมเพิ่มขึ้นถึง 10 องศาเซลเซียส (โอ้วว แม่เจ้า ตายแน่ ใครจะทนได้) ไม้ยืนต้นจะตายไปหมด และจะมีแต่ต้นหญ้า หรือไม้พุ่มขึ้นมาแทน หรือกรณีที่ดีหน่อย อาจเป็นทุ่งหญ้า สะวันนา ที่มีต้นไม้ใหญ่เหลือเพียงไม่กี่ต้น พื้นที่ส่วนใหญ่ คงจะมีอากาศร้อนและแห้งแล้งจนต้นพืชไม่อาจจะอยู่รอดได้ ทำให้กลายสภาพเป็นทะเลทรายไปในที่สุด.............และถ้าแบบจำลองมีความแม่นยำถูกต้อง เราจะเริ่มเห็นการล่มสลายของป่าฝนอะเมซอนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2583 หรือ อีก 30 ปีข้างหน้า เป็นต้นไป

สำหรับจุดพลิกผัน จุดสุดท้าย คือ ก๊าซมีเทนจากใต้ท้องทะเลจะถูกปล่อยออกมา......

ถามว่า จะปล่อยออกมาได้อย่างไร

โดยธรรมชาติ ก๊าซมีเทนจำนวนมากที่อยู่ใต้ท้องทะเล จะถูกแรงอัดและความเย็นของน้ำทะเล ทำให้มันกลายสภาพเป็นของแข็ง เรียกว่า "แคลธเร็ท (Clathrate)" ซึ่ง แคลธเร็ท นี้จะมีอยู่ค่อนข้างมาก บริเวณมหาสมุทรอาร์คติก ซึ่งเป็นบริเวณทีน้ำทะเลเย็นจัดมากๆ จึงทำให้ แคลธเร็ทอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างเสถียร

แต่ถ้าแรงกดเกิดลดลงหรืออุณหภูมิของน้ำทะเลลึกหรือที่มหาสมุทรอาร์คติกเกิดสูงขึ้น ก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาลที่มีอยู่มากกว่า ก๊าซธรรมชาิติเป็น ร้อยเท่า อาจจะถูกปล่อยออกมา นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาพืชและสัตว์ดึกดำบรรพ์ เริ่มปักใจเชื่อว่า การหลุดออกมาของแคลธเร็ท จากใต้ท้องทะเลเมื่อ 245 ล้านปีก่อน นั้น น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ของพืชและสัตว์โบราณจำนวนมาก ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น มีสิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ไป 90%

เป็นการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของโลก ทำให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพวกแรกๆ สูญพันธุ์ไปหมด
จนทำให้สัตว์เลื้อยคลานพวกไดโนเสาร์ขยายพันธุ์จนครองโลกมายุคหนึ่ง เลยทีเดียว.....WOW!!

เหตุการณ์ต่างๆ มันเชื่อมโยงกัน และ มันหนุนเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารได้ เพราะ "โลกร้อน"

พอได้มารับรู้แล้ว รู้สึกทึ่ง อึ้งและ หวาดเสียว เล็กน้อยถึงปานกลาง ......... เพราะคิดว่าตัวเองอยู่ประเทศไทย (คิดเข้าข้างตัวเองว่าคงไม่มีอะไรใหญ่โต เพราะไม่ได้อยู่ บราซิล ติดอะเมซอนหรือ อเมริกาใต้ หรือ แอฟริกา นี่นา)

แต่ความเป็นจริงที่เราต้องยอมรับคือ เราคือ ผู้สร้างและผู้ทรงอิทธิพลที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เพราะเราคือ มนุษย์ ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้น แน่นอน มันย่อมกระทบแบบลูกโซ่ ส่งผลระยะยาวกันเป็นทอดๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราไม่เจอวันนี้ แต่ลูกหลานเราอาจต้องเจอ ภายใน 30 ปี นี้ บางคนก็ยังมีชีิวิตอยู่บนโลกสีน้ำเงินใบนี้ ก็คงต้องเจอเช่นเดียวกัน

ทำใจ ทำดี และ เริ่มพยายามปรับตัว เตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศกันได้แล้ว.....

ปีัไหนโลกจะแตกไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่า เราจะมีชีิวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความไม่ยากลำบากจนเกินไปนั้น
เราควรต้องเตรียมตัว เตรียมใจ อะไรบ้าง ต่างหาก....

โชคดีทุกๆ คน....(ทำเสียงขอพรจาก...เอวา)