วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

โลกร้อน....กับ ... เกษตรอินทรีย์




รู้รึเปล่าว่า พืชคลุมดิน ในระบบเกษตรอินทรีย์ช่วยดักก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง
ได้ทั้งระยะสั้น และ ระยะยาว ......

แล้ว พืชคลุมดิน ช่วยอะไรได้บ้างนอกจากดูดเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ มาสังเคราะห์แสงแล้ว

ง่ายๆ ที่นักส่งเสริม ทุกคน รู้ดีอยู่แล้ว........ขอเขียนสรุปคร่าวๆ ละกันนะ

เพิ่มสารอินทรีย์ในดิน
คงความชุ่มชื้นไว้ให้ดิน
ตรึงไนโตรเจนไว้ได้ดี
ควบคุมแมลงและวัชพืชในแปลง
ลดการกัดกร่อนของดิน ในแปลง
ลดการชะล้างของไนเตรทในดิน
เพิ่มระบบ หมุนเวียนธาตุอาหาร
คงไว้ซึ่งการทำงานของจุลินทรีย์ที่ย่อยสลายสารอินทรีย์ในดิน
ปรับปรุงลักษณะคุณสมบัติของดิน ให้ดีขึ้น


เกษตรอินทรีย์เดิมก็ดีแบบที่บอกไปแล้วข้างบน แต่ เมื่อเรามาดูกันต่อดีกว่าว่า ถ้าเราแปรเปลี่ยนพื้นที่การเกษตรจากเกษตรทั่วไป เป็นเกษตรอินทรีย์ จะช่วยลดโลกร้อนได้ขนาดไหน....มาดูกัน

จากข้อมูลของสถาบันโรเดล เขาทำวิจัยออกมา เป็นแบบนี้นะ....

พื้นที่เกษตรอินทรีย์ 800 ไร่ = รถยนต์หยุดวิ่ง 117 คัน
พื้นที่เกษตรอินทรีย์ 2,500 ไร่ = รถยนต์หยุดวิ่ง 117,440 คัน
พื้นที่เกษตรอินทรีย์ 25,000 ไร่ = รถยนต์หยุดวิ่ง 1,174,400 คัน
พื้นที่เกษตรอินทรีย์ 250,000ไร่ = รถยนต์หยุดวิ่ง 11,744,000 คัน

แล้ว มูลนิธิฯ เรา มีพื้นที่ในเครือข่าย ที่ทำฟาร์มเกษตรอินทรีย์ อยู่ประมาณ เท่าไหร่......... พวกเราก็ช่วยลดโลกร้อนได้นะ........... อย่างน้อย เราก็ ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ได้ดีกว่า การทำเกษตรแบบเคมี แน่ๆ อยู่แล้ว.........

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ทำงานอย่างไร ให้เจ้านายปลื้ม

ช่วงนี้หลายคนคงหน้าบาน กับผลการประเมินงานสิ้นปี สำหรับใครที่หน้าหุบเพราะโดนตำหนิบ่อย ไม่ต้องน้อยใจ วันนี้มีเคล็ดที่จะทำให้เจ้านายปลี้ม มาฝาก นี่ไม่ได้แนะให้ทำตัวชะเลีย เพื่อให้เจ้านายโปรดปราน หากแต่คือวิธีทำงานอย่างมือโปรต่างหาก ซึ่งจะส่งผลให้เจ้านายไว้ใจในผลงานของคุณทุกครั้งที่งานนั้นอยู่ในมือคุณ 20 วิธีต่อไปนี้จะสะท้อนให้เจ้านายเห็นว่า คุณเป็นคนเอางานเอาการ สมควรเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานคุณภาพอย่างแท้จริง
1. รู้จักงานที่ทำอยู่ตรงหน้า
เริ่มตั้งแต่รู้จักปรัชญาขององค์กรที่ทำงานอยู่ตอนนี้เลยว่าคืออะไร จากนั้นก็ซอยย่อยๆ ลงมายังตำแหน่งที่คุณรับผิดชอบอยู่ เพื่อให้มองเห็นภาพกว้างและทำงานไปในทิศทางที่สอดคล้องกันมากที่สุด
2. ประเมินผลงานของตัวคุณเอง (จากมุมของเจ้านาย)
ทำงานมาถึงตอนนี้แล้วต้องชี้ให้ได้ว่า งานที่คุณทำอยู่ต้องใช้ทักษะอะไรบ้าง ต้องทำตัวอย่างไรบ้าง เพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย ฯลฯ จากนั้นก็ลุยประเด็นที่ลิสต์มาว่า ทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน ( ย้ำว่าจากมุมของเจ้านาย) แล้วจัดการอุดช่องโหว่เสีย
3. พึ่งตัวเองได้ หัดเป็นพนักงานที่ผลักดันงานของตัวเองให้เดินหน้าไปได้โดยที่ไม่ต้องให้เจ้านายคอยชี้แนะอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญขายไอเดียอะไรไปก็ต้องทำให้สำเร็จตามที่ลั่นวาจาไว้ ไม่อย่างนั้นเสียเครดิตแย่
4. สร้างบรรยากาศการทำงานในทางบวก
อย่าเป็นพนักงานที่คอยเม้าท์เจ้านายหรือบริษัทลับหลัง ซึ่งอันที่จริงเม้าท์ไปอาจจะช่วยระบายความคับข้องใจได้บ้าง แต่ทางที่ดีควรเปลี่ยนมาใช้วิธีพูดจาโน้มน้าวให้สิ่งต่างๆเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ทีนี้ตัวคุณก็จะอยู่เป็นสุข
5. ทำงานให้ได้ตามเป้าของเจ้านาย
การที่เราทำงานเสร็จตามเป้า นอกจากจะช่วยทำให้เห็นว่าเจ้านายของเราบริหารลูกทีมได้ดี ยังพิสูจน์ได้ว่า คุณเป็นคนทำงานดี มีคุณภาพ และตรงต่อเวลา ซึ่งหมายถึงความเป็น “ มืออาชีพ ” เคล็ดลับที่ควรจำให้ขึ้นใจคือ ตอนนี้งานสำคัญของเจ้านายคืออะไร คุณก็ควรเพ่งความสนใจที่งานนั้นด้วย
6. ผิดเป็นครู แอ่นอกยอมรับผิดในสิ่งที่ทำพลาดไป เร่งแก้ไข แล้วเก็บสิ่งที่พลั้งพลาดไปเป็นครู ดีกว่าจะมานั่งโทษตัวเอง หรือโทษคนรอบข้าง
7. จัดระบบการทำงาน
ก่อนสะบัดก้นออกจากที่ทำงานเพราะได้เวลากลับบ้านแล้ว ให้จัดลำดับความสำคัญและความจำเป็นของงานที่จะต้องทำในวันรุ่งขึ้นไว้เลยว่า มีอะไรบ้าง (ลิสต์มาอย่างน้อย 2-3 ข้อต่อวัน)
8. ตรงต่อเวลา
ไม่ว่าคุณจะต้องรูดบัตรหรือตอกบัตรเข้างาน นัดหมาย การประชุม ฯลฯ ก็หมั่นไปให้ตรงเวลาทุกครั้ง และจะดีที่สุดหากคุณมาก่อนเวลาเพื่อเตรียมความพร้อม เพราะมันสะท้อนให้เห็นว่าคุณเป็นคนกระตือรือร้นกับงาน9. ช่างถามไปก็ไม่ดี
จริงอยู่การเป็นคนช่างซักถามแสดงถึงความใส่ใจ แต่ถ้ามีนิสัยช่างถามกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่างนี้นิ่งไว้จะดีกว่า นึกไว้เสมอว่าคิดก่อนพูด พูดแล้วมีประโยชน์ค่อยพูด และถ้าจะต้องแจ้งปัญหาต่างๆแก่เจ้านาย
10. หมั่นเติมทักษะและความรู้ให้กับตัวเอง
บางบริษัทมีคอร์สอบรมพิเศษต่างๆ เพื่อเติมความรู้และทักษะให้กับพนักงานไปต่อยอดความคิด หรือแม้แต่กิจกรรมการกุศล เพื่อสังคม ฯลฯ เพราะจะทำให้คุณกว้างขวางและมีทักษะด้านอื่นๆเพิ่มเติมขึ้นอีก
11. ติดตามข้อมูลข่าวสาร
ความเคลื่อนไหวในแวดวงของงานที่ทำ เทรนด์ของโลก หรือเรื่องใหม่ๆที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้ รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ นอกจากจะทำให้รู้ทันชาวบ้านเขาแล้ว ยังได้ไอเดียใหม่ๆมาขายเจ้านายอีกด้วย
12. เป็นคนไม่เชย
การเป็นคนทันสมัยทำได้หลายแบบ ตั้งแต่อัพเดทเรื่องเทคโนโลยี ข่าวสารความรู้เรื่องใกล้ตัว แต่แค่รู้อย่างเดียวไม่พอ ต้องนำมาประยุกต์ใช้ในสังคมการทำงานที่คุณอยู่ให้ได้ด้วย
13. สุภาพนอบน้อมทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย ให้ความเคารพเจ้านายในฐานะที่เป็นหัวหน้างาน เวลาจะพูดจาทั้งต่อหน้าและลับหลัง ก็ให้พูดแต่สิ่งดีๆ ถ้าทำไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ควรเม้าท์เจ้านายในทางเสียหาย เพราะไม่รู้ว่าเรื่องที่คุณเม้าท์จะถูกขยายต่อไปถึงหูเจ้านายเมื่อไร ถึงตอนนั้นผลลัพธ์ที่ได้คงไม่สวยแน่ๆ
14. หัดยืดหยุ่นไว้บ้าง
ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ และหลายบริษัทก็ต้องการคนทำงานที่พร้อมจะปรับตัว เข้ากับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือวัฒนธรรมองค์กร
15. การเลียแข้งเลียขาเจ้านายการเลียแข้งเลียขาเจ้านาย
ใช่ว่าจะเป็นผลดีตลอด ถ้าคุณไม่ใช่คนชอบเลีย จำไว้ว่า เจ้านายเค้าชอบคุณมากกกว่า คนที่ชอบเลียแข้งเลียขาอยู่
16. เพื่อนไม่ใช่กระโถน
เรื่องส่วนตัวต่างๆเก็บไว้ที่บ้าน บางครั้งเพื่อร่วมงานก็ไม่ใช่นักจิตวิทยาที่จะคอยรับฟังคุณทุกเรื่อง ที่สำคัญไม่ควรอาศัยไหว้วานหรือกินแรงเพื่อนบ่อยนัก ( แม้เขาจะไม่ว่าอะไร) บางครั้งแม้จะมีงานมาส่งเจ้านาย แต่ถ้าต้องอาศัยจมูกคนอื่นหายใจบ่อยๆ เจ้านายก็คงไม่ปลื้มคุณนักหรอก
17. เต็มที่กับงาน
นอกจากทำงานในส่วนของตัวเองให้สมบูรณ์แล้ว บางครั้งการได้งานใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาก็เป็นโอกาสดีๆ ที่ท้าทายคุณไม่น้อย อย่าไปคิดว่านั่นไม่ใช่งานในความรับผิดชอบ แล้วมัวแต่ปฏิเสธหัวชนฝา “เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส” น่ะ เคยได้ยินไหม
18. ทำงานเป็นทีม
จงแสดงให้เจ้านายเห็นเลยว่า คุณกับเพื่อร่วมงานมีเป้าหมายในการทำงานร่วมกัน เวลาที่ใครติดขัดอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นี่แหละการทำงานเป็นทีมที่ทุกองค์กรต้องการ
19. พักบ้าง
จริงอยู่ความมุ่งมั่นเป็นเรื่องดี แต่หากถึงขั้นหมกมุ่นก็ทำให้เสียสมองได้เหมือนกัน หาเวลาพักเติมพลังงาน หรือมุมมองใหม่ๆให้ชีวิตเป็นเรื่องควรทำ เพราะคนเราไม่ใช่หุ่น
20. ทำงานเพราะ “ มีใจ ” และ “ มีไฟ ”
อย่าทำไปเพียงเพราะต้องการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งหรือมีเงินใช้ไปวันๆ เพราะผลงานที่ออกมาสะท้อนตัวตนและสิ่งที่คุณคิดอยู่ดี แม้บางทีคุณอาจไม่รู้ตัวก็ตาม

เป็นงัยกันบ้างกับ 20 วิธีที่นำมาฝาก คงไม่ง่ายและไม่ยากเกินไป อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป เริ่มต้นกันใหม่กับสิ่งใหม่ จะทำให้ชีวิตคุณสดใสนะจะบอกให้.
.......

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สู่ชีวิตไร้เครียด





หลาย ๆ คนคงอยากจะให้สารเอนเดอร์ฟินในร่างกายหลั่งบ่อยครั้งกว่าสารอะดรีนาลีนเป็นแน่ เพื่อจะได้มีความสุขเบิกบาน แจ่มใส สุขภาพดีถ้วนทั้งกายและใจ งั้นเรามาเริ่มกันตามขั้นตอนนี้เลย :



1. ทบทวนระบบคิด ทุกคนมีระบบความเชื่อของตัวเองซึ่งสามารถสร้างให้แตกต่างจากคนอื่นได้ เช่นล้มเลิกความคิดที่ว่า เงินจะนำมาซึ่งความสุขและความสำเร็จ



2. จงตามหาสวรรค์ของตัวเอง เราแต่ละคนจะมีความสุขกับกิจกรรมต่าง ๆ กันไป จงหาสิ่งนั้นให้เจอ เพราะคนที่มีความสุขที่สุด คือ คนที่มีอาชีพ วิถีชีวิต และสิ่งที่ชอบไปในแนวทางเดียวกัน



3. ทำงานเพื่อความอิ่มเอมใจ จงผ่อนปรนการทำงานเพื่อเงินที่ทำให้เราต้องยุ่งวุ่นวายตลอดเวลาบ้าง เพื่อให้เหลือเวลาไปทำงานอาสาสมัคร อันก่อให้เกิดความสุขลึก ๆ ในใจเรา



4. ตัดสิ่งไม่จำเป็นออกไป อันได้แก่เทคโนโลยีใหม่ ๆ ข่าวสารนานา ทั้งจากหนังสือพิมพ์และInternet



5. ลดค่าใช้จ่าย ตั้งประโยคนี้ไว้ในใจ "ลดค่าใช้จ่าย ทำลายนิสัยบริโภคนิยม" เพราะการมีชีวิตที่รุ่มรวยทางจิตวิญญาฯ ย่อมดีกว่ารวยวัตถุ



6. กำหนดขีดจำกัด หัดชั่งใจ งดความอยากได้นั้นอยากได้นี้ เมื่อมีจงเรียนรู้ที่จะพอ



7. การบริโภคอย่างแยบคาย เป็นความฉลาดรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็น อย่าให้เขาตำรา "เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย" และฝึกทักษะชีวิตประจำวัน เช่น ซ่อมไฟฟ้าง่าย ๆ ตัดหญ้า ทำสวนด้วยตัวเอง แล้วคุณจะรู้ว่ามันทำให้คุณรู้สึกดีแค่ไหน



8. ปรับทัศนะในเชิงบวก เราไม่ใช่ผู้กุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เราสามารถมีความสุขกับทุกสถานการณ์ได้เพียงเพราะการตีความว่าเป็นบวกหรือลบ นั่นอยู่ที่ตัวเรา

9. ก้าวไปอย่างช้า ๆ คือ การใช้ชีวิต ให้ช้าลง และจงมีสติรู้อยู่กับกิจกรรมที่ทำอยู่นั้นเอง


ต้นทางที่มาของความเครียดในชีวิตเรานั้น อยู่ที่รูปแบบการใช้ชีวิตของเราเอง ถ้าเราปรับวิถีชีวิตได้ ปลายทางของสุขภาพดีทั้งกายและใจนั้นก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม



วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เที่ยวตลาด

เก็บมาเล่า เอามาฝากจากโครงการสุขแท้ด้วยปัญญา เป็นสิ่งดีถ้าใครคิดอยากจะทำ...ตอบสนองกับสภาวะเศรษฐกิจได้ดี ลองดูนะคะเก็บเอามาฝากค่ะ

...ใครที่ชอบซื้อของเมื่อไปตลาดโดยเฉพาะช่วงที่หิว หรือ เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด...อันนั้นก็จะกิน อันนี้ก็น่าซื้อ อุ้ย! อันนั้นก็น่าอร่อย เอาวิธีการนี้ไปค่ะ

....ไม่ต้องเอาเงินไป หรือเอาไปเท่าที่จำกัดนะคะ แต่สิ่งสำคัญคุณต้องเอากระดาษกับปากกาไปเมื่อคุณเห็นหรืออยากกินอะไรคุณก็จดมันไว้...จดไปเรื่อยๆ จด..จด...จด แต่ห้ามซื้อโดยเด็ดขาด กลับจากตลาดคุณลองดูรายชื่อที่คุณอยากจะซื้อ อยากจะกินว่ามากมายแค่ใหนถ้าให้กินจะกินหมดไหม??? ใช่หิวหรือเปล่า ตามดูกิเลสของตนเองจากสินค้าที่ดูก็ได้ค่ะว่ามันเยอะแค่ใหน?? ถ้าจะให้ดีก็ดูว่าเงินในกระเป๋าที่คุณมีเหลือเยอะกว่าที่พกไปแน่นอน...ลองดูนะคะ รับรองได้ผล ...(ถ้าคุณทำ) ....

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2551

โรงเรียนของหนู....อยู่บนดอย



ครู 2 คน โรงเรียน 2 หลัง นักเรียนเกือบ 40 คน

สอนตั้งแต่ชั้นเด็กเล็ก จนถึงป.6 เท่าเทียมกันไหม?? การเมืองไทยเถียงกันอยู่ ได้! กลับมามองสังคมอีกใบได้แล้ว อย่าปล่อยให้โอกาส ช่องว่าง ห่างกันไกล กว่านี้เลย....
.....ขอชื่นชมและยินดีกับน้องๆ ชมรมกลุ่มนกเสรี มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ไม่นิ่งดูดาย จับปากกาเขียนโครงการฯ ขอทุนจากเครือข่ายพุทธิการ่วมกับ สสส. ก็เป็นผล ได้ช่วยเหลือสังคมกับนักเรียนโรงเรียนบ้านสบผาหลวง(อยู่บนยอดดอยปู๊ด!!) อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 12-18 ตุลาคม 51 กว่า 45 คน ผู้เสียสละความสะดวกสบายจาก สังคมเมืองมุ่งสู่สังคมชนบทอย่างแท้จริง ได้ร่วมกิจกรรม ทาสีโรงเรียน ให้อาคารใหม่กับน้องๆ ซ่อมอาคาร สร้างสวนผัก อาหารกลางวัน เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมชุมชนสบผาหลวง(ชาวปากญอ)
..กว่าจะมาถึงโรงเรียนสบผาหลวงก็ใช้เวลานานหลายชั่วโมง ว่ากันว่า 110 กิโลเมตรที่เดียวแต่ที่เยี่ยมกว่านั้น..ขึ้นดอยตลอดทางใครที่เคยไปอ.สะเมิง ก็ยังไม่ถึงครึ่งทาง เมารถกันเป็นรายๆ แต่เด็ดกว่านั้นทางเข้าโรงเรียนรถที่ไปส่งเข้าไปไม่ได้ น้องๆ เจ๋งมากเดินเท้า 9.5 กิโลเมตร คิดเองว่าเดินขึ้นและลงดอยตลอดเส้นทางจะขนาดไหน???? สุดซึ้ง...นี่แหล่ะครูบนดอย...กับนักเรียนที่มุ่งมั่น สร้างฝันกับความจริงของตนเอง ...ไฟฟ้าพอมี (แผงโซล่าเซล) ฟ้ามืดครึ้มฝนตกก็จ๋อย..น้ำดื่มก็ต้องต้ม น้ำใช้บางวันปะปาภูเขาขัดข้องก็ต้องรอไปก่อนซ่อมได้ก็ค่อยใช้ระหว่างรอก็ลงห้วย ขนน้ำกินน้ำใช้ไปก่อน ไม่ต้องคิดถึงเรื่องสัญญาณโทรศัทพ์ที่ว่าดีๆ ก็ลืมไปเลย พกไม้ขีดไฟจุดฟืนผิงกาย ทำกับข้าวดีกว่า อากาศที่นั่นหนาวแล้ว ใครจะขึ้นดอยก็เอาเสื้อกันหนาวไปด้วยเด้อ หรือสนใจร่วมกิจกรรม ช่วยเหลือน้องๆ ก็ติดต่อน้องชมรมกลุ่มนกเสรี ผ่านกรีนเนทได้นะ

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

รากแรกแห่งกระบวนกร

สืบเนื่องจากที่ศิษย์รุ่นที่แล้ว ได้สำเร็จวิทยายุทธกระบวนกรจากเสมสิกขาลัย จนบัดนี้ได้ท่องยุทธจักรกับงานสุขแท้ด้วยปัญญา เดินสายไปทั่วราชอาณาจักรไทยมากกว่าเดิม คราวนี้ข้าพเจ้าจึงขอโอกาสนั้นบ้างเพื่อให้ได้เรียนรู้และขัดเกลาตัวเองมากขึ้น แต่ก็มีเสียงเตือนจากศิษย์พี่หลายท่านบอกถึงกระบวนการอบรมที่ค่อนข้างกดดัน และหนักเอาการกับการที่ต้องเตรียมกระบวนการต่างๆ ตลอดจนเมื่อผ่านวิชาสำนักนี้แล้วก็มีงานให้เอาไปใช้มากขึ้นด้วย อิ อิ

ครานี้มีว่าที่กระบวนกรมาจากหลากหลายภาคส่วนกว่า ๒๒ คน เช่น จากเชียงราย เชียงใหม่ ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ ขอนแก่น สงขลา กรุงเทพฯและเวียงจันทร์ ประเทศลาว อีกทั้งยังมิได้มีแต่เราผู้ดำรงเป็นฆราวาสเท่านั้น แต่เพื่อนร่วมรุ่นคราวนี้มีสมณะสงฆ์อีก ๓ รูปด้วยกันทั้งภิกษุไทยและจีน ทำให้เริ่มตระหนักได้ว่า "กระบวนกร ๑" คงมีความน่าค้นหาอะไรมากขึ้นกว่าที่เราคิด ทำไมการเป็น
กระบวนกรจึงได้รับความสนใจจากบุคคลหลากหลายบทบาท
หลากหลายภาคส่วน ทั้งNGO และเอกชน

ตอนเริ่มอบรมวันแรกหลายคนอดบ่นไม่ได้ว่าเนื้อหามันหนัก ทำไมทีมวิทยากรจะต้องให้เรารู้อะไรเยอะอย่างนั้น แต่ก็มาถึงบางอ้อตอนที่ให้เราฝึกทำเป็นกระบวนกรจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกการจับประเด็น การใช้ประโยคคำถาม การวางแผนวิธีคิด และการถอดบทเรียนเพื่อการเรียนรู้อย่างมีส่วนรวมเลยได้รู้ตัวกันหมดเลย พร้อมฟันธงว่าห้ามตัดเนื้อหาที่ต้องเรียนในวันแรกเด็ดขาดในรุ่นต่อไป เพราะเป็นเรื่องปัจจัยพื้นฐานที่จะนำมาเพิ่มทักษะการเป็นกระบวนกรที่ดีมากขึ้น แต่ในใจก็คิดเหมือนกันนะว่า ที่กรีนเนท ก็มีพี่ๆ หลายคนไม่ว่าจะเป็นพี่วิฑูรย์ พี่ธวัชชัยก็จะคอยให้พวกเรานักส่งเสริมทั้งหลายฝึกทักษะพวกนี้บ่อยๆ ทั้งบังคับและขอร้องให้ทำไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ รายงานการทำงาน การเขียนบทความ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันเอง หรือ กระทั่งการเขียน block นี้เองก็ตาม ก็อย่างว่าบางครั้งคนเรามักจะไม่ค่อยได้ส่องกระจกมองดูตัวเองเท่าไร แต่มักจะเพ็งเล็งคนอื่นที่เห็นซะคุ้นชินมากกว่า พอมีคนอื่นมาบอกว่าเห็นเงาเราในกระจกบ้างก็พึ่งจะรู้ตัวเอง
หลายคนเมื่อได้ส่องกระจกตัวเองแล้ว แต่ละคนก็ตระหนักได้ว่าความยากในการเป็นกระบวนกรของแต่ละคนมีข้อที่ต้องแก้ไขไม่ได้ต่างกันมากนัก โดยเฉพาะคนที่ทำงานในภาคพัฒนาสังคมมักมีปัญหาในเรื่อง "อัตตา" หรือตัวตนของตนเอง เพราะเป็นสาเหตุใหญ่สำคัญที่ทำให้ก่อเกิดการใช้อำนาจเหนือได้ง่ายมาก แถมยังจะพาพรรคพวกอีกหลายตัวมาใช้ในเวทีการเรียนรู้อีก เช่น การชักนำประเด็น การพูดจูงใจให้เห็นคล้อยตาม การด่วนตัดสินคนอื่น จนกระทั่งการยึดพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนไปทั้งหมด ซึ่งก็ทำให้เวทีในการแลกเปลี่ยนอย่างกัลยาณมิตรหายไปทันที เรียกได้ว่า คิดแทน ผู้แทน และทำแทนอีกด้วยในบางครั้ง
ดังนั้นพวกเราที่เป็นนักส่งเสริมคงต้องมี "การฝึกตน"อย่างหนักทีเดียวไม่ว่าจะเป็นการวางฐานรากแห่ง สติ สมาธิและปัญญา ให้พร้อม บวกกับทักษะต่างๆ เช่น การจับประเด็น การตั้งประโยคคำถาม ระบบวิธีคิดที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นผู้ถ่ายทอด หรือ ผู้รับสาร จนถึงการถอดบทเรียนร่วมกัน ส่วนใครที่ต้องการจะฝึกและต้องการได้รับคำติชมก็บอกกันได้นะ มีศิษย์พี่หลายคนที่คอยช่วยกันขัดเกลาอยู่

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ข้อคิดจากถังน้ำสองใบ

หลังจากทำบุญตักบาตรแล้ว จิตใจก็สดชื่นแจ่มใส แม้จะมีเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดบาง ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเล็กไปเลยถนัดตา มีเรื่องเล่าดีมาให้อ่าน หลายคนอาจเคยอ่านแล้ว ก็ไม่เป็นไรหากเราจะอ่านมันอีกครั้ง เขาว่ากันหากเรารับข้อมูลดี ๆ ซ้ำๆอยู่บ่อย ๆ ก็จะทำให้เราเป็นคนมีความสุขนะ เรื่องมีอยู่ว่า :

ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิและสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง...


แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกลจากลำธารกลับสู่บ้าน....จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง....ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานเป็นอย่างยิ่ง


ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ที่มันถูกสร้างขึ้นมา หลังจากเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่นและสิ้นหวัง

วันหนึ่งที่ข้างลำธาร ถังน้ำได้พูดกับคนตักน้ำว่า "ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะ รอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้าที่ทำให้น้ำที่อยู่ในถังไหลออกมาตลอดเส้นทาง ที่กลับไปยังบ้านของท่าน" คนตักน้ำตอบว่า "เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า... แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่งเพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่.... ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้าและทุกวันที่เราเดินกลับ... เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเล็ดพันธุ์เหล่านั้น เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถจะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว..เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้"

คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง... แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้.... สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น.. และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Forward Mail

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551

ใครคือละอ่อน...ซอย 7


เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2551 ช่วงเย็นๆ ได้มี(หา)โอกาสตาม ออนและภัทรไปที่มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน แถวๆงามวงศ์วาน ทางเข้าอยู่งามวงศ์วาน 31 แต่ไปหยุดที่ซอย 7 ข้างใน วันนี้เขามีพูดคุยกับพี่สุภา ใยเมือง ในเรื่องชีวิตและแรงบันดาลใจในการทำงานบนเส้นทาง NGOs

พี่สุภา ใยเมือง เขาเล่าว่า เติบโตจากความเรียบง่าย สมัยที่เป็นเด็กครอบครัวปลูกผักอยู่แถวย่านรังสิต ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ได้เข้าร่วมทำกิจกรรมชมรม ไปออกค่าย เมื่อจบการศึกษา(รัฐศาสตร์) ก็สมัครโครงการบัญฑิตอาสา ไปเป็นครูอาสาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มี NGOs แต่จากการที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านและชุมชน ทำให้ได้แง่คิด ในเรื่องของความอดทน และ การอ่อนน้อมถ่อมตน ช่วงหนึ่งของชีวิตที่อยู่ในยุคเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 พี่สุภาไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าทางภาคใต้ ซึ่งจะพูดคุยกันมากในเรื่องความขัดแย้ง การวิเคราะห์ชนชั้น เป็นเวลาร่วม 5 ปีที่พี่สุภาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ได้พบคู่ชีวิตและแต่งงานกัน เมื่อออกจากที่นั่นมา ก็คิดว่าอยากจะทำงานเพื่อสังคมดีกว่า ชีวิตการเป็น NGOs จึงเริ่มขึ้น ปัจจุบันพี่สุภา พี่ใหญ่ของน้องๆมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน ก็ยังคงยืนยันในเส้นทางนี้ และเป็นกำลังใจให้น้องๆ(ละอ่อน) ในแวดวงเส้นทางของการทำงานพัฒนาเพื่อสังคม ได้แสวงหา และมุ่งมั่นในอุดมการณ์กันต่อไป

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

สายรุ้งประชาธิปไตย


วันศุกร์ที่ผ่านมา (12 กันยายน 2551) กลุ่มยิ้มละไม ร่วมกับเครือข่ายเด็กและเยาวชน เครือข่ายครอบครัว เครือข่ายสื่อและประชาชนคนธรรมดา ได้เปิดตัวกิจกรรม รุ้ชาธิปไตย ที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย มาร่วมกัน คิด พูด เขียน ประชาธิปไตยในฝันของประชาชน ทั้งนี้ได้ร่วมกันวาดภาพ เขียนถ้อยคำความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยในอุดมคติของเราลงบนธงผ้าสีต่างๆ(ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และ แดง) จากนั้นนำธงสายรุ้งที่เขียนไปยังบริเวณอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยและร่วมกันร้องเพลง (สะพานสายรุ้ง)
อุปมาสายรุ้งในงานนี้ว่า เป็นเหตุ ปรากฏการณ์ดีดีของประชาธิปไตย การเมืองที่เกิดขึ้นในวันนี้ วันหน้า ด้วยความสมัครสมาน สามัคคีของประชาชน ไปแบ่งแยก ไม่มีความรุนแรง สีทุกสีรวมตัวกันสอดรับและกลมกลืนเกิดเป็นภาพที่งดงาม แก่ผู้พบเห็นทั่วไป
กิจกรรมนี้ยังจะมีขึ้นอีกในพื้นที่ต่างๆ หากใครสนใจจะร่วมขบวนการสารยรุ้งคงต้องติดตามกันต่อไป
แอบอ่านธงรุ้งที่เขาเขียนๆกัน ส่วนใหญ่จะพูดถึงประชาธิปไตยที่ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม และสังคมสงบสุข รักและสามัคคีกัน ไม่ทำร้ายหรือแบ่งแยกชนชั้น…

ในธรรมชาติ เรามักเห็นสายรุ้งเกิดขึ้นหลังฟ้าที่พรำฝนลงมาแล้ว เป็นปรากฏการณ์ระหว่างแสงกับละอองน้ำในอากาศ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเรียกว่า Tyndall effect… รุ้งยังคงเป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ของเด็กและผู้ใหญ่

แต่ในประชาชนเราๆ จะเกิดปรากฏการณ์งดงามอย่างนี้ได้ นอกจากละอองความคิดดีๆ แล้วคงต้องอาศัยประกายความกล้าเข้ามาสอดรับกันด้วย

ในครั้งนี้แม้มีคนมาร่วมกันน้อย แต่ก็ให้มั่นใจว่า ในสังคมไทยเรายังมีคนคิดดี ทำดีอยู่มาก แต่กระจายอยู่ทั่วๆไป...นะกระจ้อยร่อยว่า

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

การกินอาหารให้อร่อย



วันหยุดสุดสัปดาห์อย่างนี้ หลายคนคงทำอะไรตามใจชอบที่อยากจะทำ เพื่อเติมพลังให้กับตัวเองสำหรับเช้าวันจันทร์ที่จะมาถึง สำหรับเราแล้วการอ่านหนังสือกับการได้กินอาหารอร่อย ๆ ที่บ้านก็ทำให้สุขใจมากพอแล้ว เขาว่ากันว่า :

ความชอบเป็นสิ่งปกติ และจงชอบในสิ่งที่ดี มีคุณประโยชน์

แต่อย่าไปเปรียบเทียบว่าอะไรดีกว่ากัน เพราะเราจะลังเลและมืดมน

และอย่าคิดว่าเราเป็นเจ้าของสิ่งที่ชอบนั้น

เพราะมันจะเป็นนายเรา และทำให้เราทุกข์ได้

ถ้าชอบอะไรหลาย ๆอย่าง.........แสดงว่า...

เราเริ่มมีความรักแบบจักรวาล (Universal Love)....ได้มากขึ้น

การกินอาหารให้อร่อยก็เช่นกัน...เราต้องนึกถึงความชอบความอร่อยของอาหารทีเรากินทุกชนิด

อย่านึกถึง ความไม่อร่อย...ไม่เปรียบเทียบ

และไม่นึกว่าเป็นรสนิยมวิไรของเราที่ใคร ๆ จะแตะต้องวิจารณ์ไม่ได้

อาหารจะอร่อยขึ้นทุกอย่าง แม้จะแลดูเป็นอาหารพื้น ๆ ก็ตาม"



แม้จะดูเหมือนไม่ได้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์สักเท่าไร แต่หากเราคิดเชื่อมโยงกันแล้ว ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก ลองดูนะค่ะว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

เส้นทางข้าว...กับโลกร้อน




สรุปงานกิจกรรม
จากการเล่นเกมส์ เส้นทางข้าวกับโลกร้อน
ในงานมหกรรมข้าวและสมุนไพร ครั้งที่ 5 วันที่ 3 -7 กันยายน 2551 ณ เมืองทองธานี



















จากที่ทางกรีนเนทและมูลนิธิสายใยแผ่นดินได้ เข้าร่วมกิจกรรมจัดนิทรรศการเกี่ยวกับโลกร้อนและเส้นทางข้าวครั้งนี้ องค์กรได้เลือกใช้กิจกรรม เกมส์เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน เป็นสื่อเพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้มีโอกาสร่วมกิจกรรม โดยเน้นการเสริมสร้างความรู้และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนต่อระบบการผลิตข้าวและผลกระทบที่เป็นลูกโซ่มายังผู้บริโภคเป็นหลัก







จากกิจกรรมการเล่นเกมส์ ซึ่งประกอบไปด้วย ด่าน 3 ด่าน ได้แก่




ด่านที่ 1 สาเหตุที่ทำให้เกิดโลกร้อน ได้แก่ ก๊าซเรือนกระจก 3 ชนิด คือ คาร์บอนไดออกไซด์
มีเทนและไนตรัสออกไซด์
ด่านที่ 2 ด่านผลกระทบจากสภาวะภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ที่มีต่อการผลิตข้าวและผู้บริโภค
ด่านที่ 3 ด่านทางออก เพื่อส่งเสริมให้ผู้เล่นได้รับรู้ ถึง ระบบเกษตรอินทรีย์ ที่เป็นแนวทางหนึ่งในการปรับ
ตัวและช่วยลดการเกิดก๊าซเรือนกระจก ที่เป็นสาเหตุทำให้โลกร้อน

ตั้งแต่วันที่ 3 – 5 กันยายน 2551 โดยเราเปิดให้เล่นเกมส์วันละ 2 รอบนั้น พบว่า




มีจำนวนผู้ร่วมลงทะเบียนเล่นเกมส์ 308 คน โดยประมาณ ทั้งนี้มีน้องๆ นักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมเล่นเกมส์มากที่สุด แต่ใช่ว่าจะมีแต่เด็กๆ เท่านั้น จากผลสำรวจเรายังพบอีกว่า มีข้าราชการ แม่บ้าน/พ่อบ้าน และเกษตรกร เข้าร่วมเล่นเกมส์อีกด้วย งานนี้เรียกได้ว่า ผู้ใหญ่ ก็อยากเป็นเด็กอีกครั้ง เหมือนกัน แม้จะปาลูกบอล ลงกล่องยากแค่ไหน แต่เหล่า สว (สูงวัย) ก็ไม่ได้ย่อท้อ ปาแล้วจะยืนไม่ไหวแต่แรงใจเกินร้อย เจ้าค่า...



ในด่านที่ 3 ด่านทางออกที่ผู้ร่วมเล่นเกมส์ (ผู้บริโภค) เลือกที่จะให้ความสำคัญมากที่สุด คือ
เกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ช่วยลดการเกิดไนตรัสออกไซด์ แถมยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย ทั้งผู้ผลิตที่ไม่ต้องได้รับผลกระทบจากปุ๋ยเคมี และผู้บริโภค ที่ได้บริโภคข้าวอินทรีย์ ที่ดีต่อสุขภาพอย่างแท้จริง



จากกิจกรรมดังกล่าวทางมูลนิธิสายใยแผ่นดิน ก็หวังว่า ผู้ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมเล่นเกมส์กับทางองค์กร จะได้รับความรู้เกี่ยวกับภาวะเรือนกระจก ไม่มากก็น้อย รวมถึง ได้รับรู้ถึงผลกระทบที่จะเกิดตามมา และสุดท้าย ได้รู้จักเกษตรอินทรีย์ที่เป็นทางออกอย่างหนึ่งในการ ช่วยลดภาวะเรือนกระจกและเป็นทางเลือกในการปรับตัวภายใต้สภาวะโลกร้อน ที่กำลังคุกคามพวกเราทุกคน อยู่ในขณะนี้
สุดท้าย ก็ต้องขอบคุณ เพื่อนๆ ชาวกรีนเนท ที่ร่วมแรงร่วมใจกันทำกิจกรรมนี้ ให้ผ่านพ้นลุล่วงไปได้ด้วยดี นะคร๊าบบบบ.....
























วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

รวมพลร่วมนักส่งเสริมรุ่นใหม่







สวัสดีเพื่อนๆ นักส่งเสริมเกษตรอินทรีย์

ตอนนี้เข้าหน้านาแล้ว พื้นที่ก็คงเริ่มกิจกรรมตรวจ ICS กันแล้ว แต่ที่แม่ทาไม่ได้มีการรับรองข้าวแต่ก็มีผลผลิตใหม่อื่นๆที่หลากหลายกว่า อาทิ ฝ้าย ถั่วลิสง กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ แต่คราวนี้ก็ได้รับความร่วมมือกันระหว่างแม่ริมและแม่ทาไม่ว่าจะเป็น แพร เพิก โกสินทร์ อั้น และกอล์ฟร่วมเดินทางไปประเมิณผลผลิตที่คาดว่าจะได้รับซื้อกันในปีนี้ ความมันส์ได้ที่ทำงานร่วมกันก็ช่วยให้เห็นแนวทางการวางแผนการตรวจประเมินผลผลิต และเห็นแนวคิดในการวางแผนการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวจะรับมืออย่างไรที่ผลผลิตที่จะออกมา จะแปรรูปอย่างไร แล้วการตลาดต้องการคุณภาพแบบไหนอีกด้วย ทั้งนี้ทำให้เราได้วางแผนการณ์ล่วงหน้า ตั้งรับมือได้อย่างดีทีเดียวว่าเราจะต้องเตรียมตัวอะไรเพิ่ม เช่น การหาข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับพืชที่ปลูก ข้อมูลหลังการเก็บเกี่ยว เช่น ถั่วลิสงที่เราจะรับซื้อจะต้องมีความชื้นเท่าไร มีเครื่องมืออะไรมาช่วยทดสอบ และจะต้องมีการส่งต่อข้อมูลให้ไปถึงฝ่ายการตลาดได้อย่างไรด้วย เรียกง่ายๆ มาพอได้ลองทำแล้ว งานเข้าอีกเยอะ เลยแต่ก็สนุกดีเพราะไม่ได้ทำคนเดียว หวังว่าการแลกเปลี่ยนพื้นที่การทำงานไม่ว่าเป็นระยะสั้น ระยะยาว ของพวกเราก็น่าจะเป็นแนวทางที่เราได้ฝึกตนได้อีกทางหนึ่งนะ ถ้าสนใจก็ส่งข่าวมาที่ส่วนกลางได้นะ มีงานไกลให้สนใจอีกเยอะ

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สัมมนาข้าวกับสุขภาพ


วันที่ 28 สิงหาคม 2551 (KU Home)
เก็บมาฝากจากห้องสัมมนา ซึ่งมีหลายหัวข้อที่นำมาพูดคุย หลักๆล้วนแล้วเป็นเรื่องราวของข้าว ในบทบาทต่างๆ เช่น ข้าวเป็นเทพ(พระแม่โพสพ) ข้าวเป็นอาหาร ข้าวเป็นยา และข้าวเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางค์ และการเป็นอาหารโพรไบโอติกของข้าวหมัก
โพรไบโอติก คืออะไร เราคงจะร้องอ๋อ!!หากบอกว่าคือจุลินทรีย์ซึ่ง
- เป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ก่อให้เกิดโรค
- สามารถอยู่รอดได้ในระบบทางเดินอาหาร และมีจำนวน 100 ล้านเซล
- เมื่อรับเข้าสู่ร่างกายจะส่งผลดีในการป้องกัน และรักษาภาวะที่เกิดจากจุลินทรีย์ก่อโรค
- เกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุลย์ของจุลินทรีย์ในลำไส้

คุณสมบัติของโพรไบโอติก ก็คือ จะปลอดภัยเมื่ออยู่ในอาหาร ทนกรดและน้ำได้ดี เกาะติดผนังลำไส้ทำลายจุลินทรีย์ก่อโรคและผลิตสารต้านจุลินทรีย์

หน้าที่ของโพรไบโอติก
1.ช่วยให้ร่างกายรับสารอาหารได้มากขึ้น
2.สร้างเอมไซม์ช่วยย่อยอาหาร
3.ลดคอลเลสเตอรอล
4.ป้องกันการเกิดโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ โรคอาหารเป็นพิษ
5.กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
6.รักษาอาการท้องผูก
7.ต้านการก่อการพันธุ์และการก่อมะเร็ง

อะไรบ้างที่เป็นผลิตภัณฑ์อาหารโพรไบโอติก!!

* อาหารสำหรับเด็กทารก
* ผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้หมัก
* ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองและธัญพืชหมัก
* ผลไม้อบแห้งเสริมโพรไบโอติก
* ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและยาทางเลือก

เขยิบเข้ามาใกล้ตัวอีกนิดสำหรับการเป็นอาหารโพรไบโอติกในผลิตภัณฑ์ข้าวหมัก ที่เราคงรู้จักกันดีก็ได้แก่

* ข้าวหมัก(หรือเราเรียกกันจนชินแล้วว่า ข้าวหมาก)
* ขนมจีนแป้งหมัก
* แป้งจี่ นั่นเอง


กลุ่มของจุลินทรีย์ที่นิยมใช้ได้แก่
Lactobacillus species และ Bifidobacterium species ส่วน Saccharomyces boulardii ตัวนี้สามารถป้องกันอาการท้องเสียจากการกินสารแอนตี้ไบโอติก ด้วยนะ

น่าจะพอเรื่องวิชาการกันหน่อย มาอมยิ้มกับความหมายของสุภาษิตที่คุณเดชา ศิริภัทรได้กล่าวในช่วงของข้าวกับชีวิตคนไทยกันดีกว่า

กล่าวว่าช่วงที่คนมีความสุขที่สุด มักพูดว่าเป็นช่วง ข้าวใหม่ปลามัน เพราะข้าวที่เก็บเกี่ยวใหม่จะหอมอร่อย ซึ่งต่อเนื่องกับฤดูน้ำหลาก น้ำจะท่วมนาปลาจะสมบูรณ์เนื้อจะมันหวาน
ข้าวคอยเคียว เปรียบได้กับหญิงที่อายุล่วงวัยสามสิบไปแล้ว คงจะต้องรอใครสักคนมาทาบทามไปเป็นคู่ครอง
ข้าวคอยฝน ก็เปรียบกับชายที่ถูกหญิงปฏิเสธ ผลัดผ่อนให้รอไปก่อน....แฮ่ะ..แฮ่ะ
แถมด้วยคำไทยแท้ เดิน เขาพูดว่า ไปตีน นะ

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ความรัก(กฤษณมูรติ)

ความกลัว มิใช่ความรัก
การเกาะอิงพึ่งพิงผู้อื่น ก็มิใช่ความรัก
การครอบครองเป็นเจ้าของ และการแสดงอำนาจเหนือ ก็มิใช่ความรัก
ความต้องการที่จะรับผิดชอบและหน้าที่ มิใช่ความรัก
ความปวดร้าวที่มิได้รับความรัก ก็มิใช่ความรัก
ความรัก มิใช่สิ่งตรงกันข้ามกับความเกลียด
เช่นเดียวกันกับความนอบน้อมถ่อมตน ก็มิได้เป็นสิ่งตรงข้ามกับความทรนง

ความรักคืออะไร?
ถ้อยคำจำจัดความของความรัก ก็ไม่ใช่ความรัก ไม่ใช่หรือ..

หากคุณต้องการที่จะรู้จักความรัก คุณจะต้องไม่มีแนวความคิด ความเชื่อ ไม่มีข้อคาดคะเนใดๆ เพราะเมื่อคุณมีแนวความคิดเกี่ยวกับความจริงอันหนึ่ง แนวความคิดนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ แทนที่ความจริงจะเป็นความสำคัญ อย่าได้ถูกจับขังเอาไว้ด้วยความคิดมากมาย ว่าความรักควรจะเป็นหรือไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น เมื่อคุณรักทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกต้องด้วยตัวของมันเอง ความรักมีการกระทำของมันเอง จงรักเถิด

หนทางแห่งความรัก
การที่จะมีคุณสมบัติของความเห็นอกเห็นใจ ของความเข้าใจ ของการที่จะช่วยเหลือใครสักคน อย่างเป็นไปเองโดยปราศจากแรงจูงใจใดๆ การที่จะมีเมตตาสงสารซึ่งเป็นไปเองโดยธรรมชาติ การที่จะมีความใส่ใจต่อต้นไม้หรือสุนัข การที่มีความเห็นอกเห็นใจต่อชาวบ้านโอบอ้อมอารีต่อเพื่อนของเธอ หรือต่อเพื่อนบ้าน สิ่งนี้มิใช่สิ่งที่เราหมายถึงความรักกันหรอกหรือ? ไม่ใช่ความรักเป็นภาวะซึ่งไม่มีความรู้สึกใดๆ ที่เป็นความขุ่นเคืองล่ะหรือ แต่เป็นการให้อภัยตลอดไป?

ความเรียบง่ายของความรัก
ความรักเฉยๆ อ่อนโยนสุภาพอย่างแท้จริงในการเข้าไปสัมผัสกับทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดจากการรับรู้ที่ว่องไว หมายถึงความรู้สึกที่อ่อนโยนนุ่มนวลต่อสิ่งต่างๆ ขณะใดที่คุณรับรู้ได้อย่างว่องไวและลึกซึ้ง คุณจะไม่เด็ดดอกไม้ได้เองโดยธรรมชาติ จะปรารถนาที่จะไม่ทำลายสิ่งต่างๆ ไม่ทำลายผู้คน ซึ่งหมายถึงการมีความเคารพนับถือ หรือความรักที่แท้จริงนั่นเอง

เมื่อสองชายหนุ่มเดินทางมาพบ กับปราชญ์ เพื่อจะเข้าใจความหมายของความรัก การคลี่คลายคำถามด้วยคำถามอย่างนุ่มนวลของปราชญ์ ก็เริ่มขึ้น ในหนังสือปรัชญาความรักของกฤษณมูรติ แปลโดยพยับแดด หากใครสนใจก็ยืมกันอ่านได้นะ..นะ

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเกษตรอินทรีย์ไหมเนี่ย!!?!!
….หากคุณมีความรัก...คุณก็จะไม่มีคำถามเช่นนี้....

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2551

งานมหกรรมสมุนไพรปี 2008


ระหว่างวันที่ 3-7 กันยายน 2551 กรีนเนทได้เข้าร่วมกับมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืนและเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกร่วมจัดงานนิทรรศการข้าวพื้นบ้าน-อาหารท้องถิ่น ที่เมืองทอง ซึ่งในส่วนของนิทรรศการก็มีการแบ่งเนื้อหาหลากหลายเรื่องพันธุ์ข้าวและอาหารที่อยู่ในนา อาทิ ชุมนุมพันธุ์ข้าวพื้นบ้านกว่า 192 สายพันธุ์, ประโยชน์นานาพันธุ์จากข้าว เช่น สาธิตการทำขนม ของเล่นจากนา, ปี่ซังข้าวที่ไม่ใช้ข้าวเคมีนะ, ข้าวกับความงาม, เรื่องเล่าตำนานแม่โพสพ, การหีบน้ำมันรำข้าว และแน่นอนขาดไม่ได้ก็เรื่องข้าวกับโลกร้อน ที่ทางกรีนเนทจะทำเป็นเกมส์ให้เข้าใจกันง่ายๆ สไตล์กรีนเนท นี้ยังคงเป็นแค่ส่วนของงานนิทรรศการเท่านั้นในพื้นที่แค่ 600 ตารางเมตร แต่สิ่งที่น่าสนใจในงานอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าคับคลั่งกันที่เดียวไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานค้า งานขายผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน หนังสือทางเลือก การนวดแผนไทยจากเครือข่ายต่างๆ ถ้าใครได้มีโอกาสมาก็เตรียมฟิตร่างกายดีนะ งานนี้มีเมื่อย....ตุ้ม

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Book Review (เรียลลิตี้โชว์ไฮโซไร้สารพิษ)


เรียลลิตี้โชว์ ไฮโซไร้สารพิษ : ปฏิบัติการติดตามรัก นักล่าฝัน ….ไม่ใช่นักส่งเสริมฯนะจ๊ะ

เป็นนวนิยาย โดยผู้แต่ง คือ ชาครียา

ตราบใดที่สินค้าเกษตรอินทรีย์ ยังเข้าไม่ถึงผู้บริโภคส่วนใหญ่ เกษตรกรจะไม่ปลูกผักที่ขายไม่ได้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่ก็ยังต้องทนกินผักใช้สารเคมี โดยไม่มีทางเลือกและเข้าไม่ถึงผักอินทรีย์อยู่นั่นเอง


“เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันโปรโมตเกษตรอินทรีย์ไง ถ้าเรียลลิตี้โชว์ไฮโซไร้สารพิษ ได้ออกอากาศ คนต้องรู้จักเกษตรอินทรีย์มากขึ้น ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ก็จะ บูมๆ ๆ”
...
....พลวัต พูดเสริมพร้อมทำมือและท่าทางประกอบ


ประโยคแบบนี้ จะพบเห็นได้ในนิยายเรื่องนี้ เป็นความแปลกใหม่สำหรับคนที่ชอบอ่านนวนิยายเลยทีเดียว ไม่มีนวนิยายมากนัก ที่จะดึงเอาเรื่องเกษตรอินทรีย์ มาเขียนเป็นนวนิยาย ได้สนุกสนาน ไปพร้อมๆ กับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์


นวนิยายเรื่องนี้ มีความน่าสนใจอยู่ที่เนื้อหาเกี่ยวข้องกับเกษตรอินทรีย์ ซึ่งพระเอกของเรื่อง คือ ภาวิต เป็นทายาทนักธุรกิจพันล้านและเป็นนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ที่มากไปด้วยความสามารถด้านการจัดการและบริหารธุรกิจ อยู่มาวันหนึ่ง ภาวิต ตัดสินใจทิ้งธุรกิจของพ่อ เพื่อผันตัวเองไปทำเกษตรอินทรีย์ ด้วยแรงบันดาลใจทั้งหมดมาจาก คุณหญิงแม่ ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็ง ภาวิตจึงต้องการให้คุณหญิงแม่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีและได้กินอาหาร พืชผักอินทรีย์ ที่มั่นใจได้ว่าปลอดภัยจริงๆ “สวนเกษตรอินทรีย์คุณหญิงแม่” จึงเกิดขึ้นในเวลาต่อมา ท่ามกลางความขัดแย้งของผู้เป็นพ่อเจ้าของธุรกิจพันล้านที่มีทายาทเป็นลูกชายเพียงคนเดียว


เรื่องราวความยุ่งยากไม่ได้หมดลงเพียงความขัดแย้งระหว่างผู้เป็นพ่อและลูกชายเท่านั้น แต่งานนี้ ภาวิตมีความตั้งใจจริงที่จะทำ สวนเกษตรอินทรีย์เพื่อขอรับรองจากสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ หรือ มกท. กันเลยทีเดียว ความยากอยู่ที่เขาจะทำอย่างไร ในเมื่อตัวเขาเองไม่รู้จักเกษตรอินทรีย์ที่จับต้องได้ในภาคสนามเลย นอกจากข้อมูลที่หาได้จากอินเทอร์เน็ตเท่านั้น “การทำเกษตรอินทรีย์มันเป็นการวัดใจและวัดความอดทนของตัวเองและคนรอบข้างครับ” ประโยคเปิดนี้จึงเกิดขึ้น..และมาจากปากของลูกเกษตรอินทรีย์พันธุ์แท้


นอกจากนั้นเนื้อหาในนิยายเรื่องนี้ จะมีการกล่าวถึงขั้นตอนการทำเกษตรอินทรีย์โดยคร่าวๆ วิธีการเตรียมเพื่อตัวเพื่อขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์และสอดแทรกแนวคิด การทำเกษตรประณีตและเกษตรอินทรีย์ไว้ด้วยกัน โดยมีตัวละครที่เป็นผู้รู้เกี่ยวกับเกษตรประณีตเป็นอย่างดี คือ ลุงรักษ์และลูกชาย “ต้นน้ำ” อดีตผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่เป็นลูกเกษตรอินทรีย์พันธุ์แท้ หล่อ เท่ห์ คม เข้ม งานนี้มีพระเอกสองคนเลยทีเดียว เรื่องราว สนุกสนานยังมีอยู่มากในเรื่องนี้ แม้กระทั่งการจะหาเชื้อจุลินทรีย์จากธรรมชาติจริงๆ ยังถูกนำมาพูดถึงในนวนิยายเรื่องนี้ ถ้าได้อ่านจะต้องอ่านไปยิ้มไปกับคณะทัวร์ตามล่าหาจุลินทรีย์ นี้แน่นอน


แน่นอน นวนิยายจะสนุก ต้องครบรส จะพูดถึงแต่เรื่องการทำเกษตรอินทรีย์อย่างเดียวก็คงไม่ได้ ถ้าจะเป็นแบบนั้น เราก็คงต้องเข้าไปอ่านหนังสือ ของพี่บุ๊งแทนหละจ้า ....ดังนั้น เพื่อให้มีความบันเทิงอยู่บ้างตามคอนเซปต์นิยาย จึงต้องมีนางเอกและตัวประกอบช่วยชูโรงใน การดำเนินเรื่องเพื่อความบันเทิงด้วย “กุ๊กไก่” นักศึกษาปริญญาโทปีสุดท้าย ที่ต้องมีผลงานวิจัยด้านสื่อสารมวลชนให้เสร็จภายในปีนี้ ด้วยการทำสารคดีโทรทัศน์ “ช่องทางการสื่อสารเรื่องเกษตรอินทรีย์ต่อสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ” จำเป็นต้องเข้ามามีบทบาท การสร้างเรียลลิตี้โชว์ในการทำเกษตรอินทรีย์ของพระเอกภาวิตให้กับพลวัต ผู้เป็นต้นคิดเรื่องนี้และยังเป็น ผู้ยื่นข้อเสนอให้เธอทำสารคดีเรื่องนี้แลกกับเรียลลิตี้โชว์ที่จะออกทางทีวีของเขา เรื่องราวทะเลาะเบาะแว้ง และกุ๊กกิ๊ก จึงพอมีให้เห็น อยู่บ้าง


แต่คนที่น่ารักที่สุด คือ คุณหญิงแม่ ออกแนว แหวกกระแสของสังคมและเป็นตัวชูโรงของเรื่อง


สุดท้ายภาวิตจะได้การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์หรือไม่ กุ๊กไก่ จะได้สารคดีไปส่งอาจารย์ หรือ พลวัตจะได้เรียลลิตี้โชว์ไปทำรายการหรือไม่นั้น


เราคงต้องมาติดตามกัน....ว่าเรื่องราวจะลงเอยอย่างไร.....


ไปหามาอ่านซะนะคะ เจ้าหน้าที่ส่งเสริม-นักล่าฝัน ทั้งหลาย....



แนะนำ blog นักส่งเสริมเกษตรอินทรีย์

เปิดตัว blog ของนักส่ิงเสริมอย่างเป็นทางการ blog นี้มีอะไรบ้าง??
เป็นแหล่งรวบรวมข่าวสารจากทุกผู้ ทุกนาม ทุกสารทิศของนักส่งเสริมเกษตรอินทรีย์นั่นเอง