แต่งโดย ฟอร์เรสต์ คาเตอร์
พรรณี เสมอภาค
ศูนย์เกษตรอินทรีย์ยโสธร
ลิตเติ้นทรี เป็นวรรณกรรมเยาวชนเผ่าเชโรกี ที่แฝงปรัชญาและวิถีชีวิตของชาวอินเดียแดงซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ในทวีปอเมริกา ก่อนที่คนขาวจะเข้ามาครอบครองแผ่นดินแทน เนื้อหาเปี่ยมด้วยด้วยกลิ่นไอของต้นไม้ ลำธาร ผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ การดำรงชีวิตที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ระหว่างคนกับป่า และคนกับคน เป็นความงดงามของธรรมชาติ ความบริสุทธ์ของจิตใจดวงน้อยลิตเติ้ลทรี แต่งโดย ฟอร์เรสต์ คาเตอร์ แปลโดย กรรณิการ์ พรมเสาร์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง
ลิตเติ้ลทรี เป็นลูกกำพร้าอินเดียแดง อาศัยอยู่กับปู่และย่าในป่าบนภูเขา ชีวิตที่ผูกพันกันของปู่ ย่า หลาน สะท้อนการดำรงชีวิตที่เรียบง่ายของคนที่ใช้ชีวิตอยู่บนภูเขา ที่ยังคงยึดถือวิถีการดำรงชีวิตแบบชาวอินเดียแดงดั้งเดิม ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง เอื้อเฟื้อต่อสัตว์ป่าและธรรมชาติ ป่า พึ่งพิงกันและมีสายสัมพันธ์อันงดงามที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของธรรมชาติ
ปู่ลิตเติ้ลทรี ใช้การดำเนินชีวิตของตนเองเป็นแบบอย่างให้หลานตัวน้อย เลียนตามด้วยการสอนแบบเรียนรู้จริงจากการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม จนซึมซับวิญญาณอันอิสระของอินเดียแดง ปู่นำลิตเติ้ลทรีตัวน้อยเข้าป่าล่าสัตว์ด้วยกัน ต้มเหล้า สอนการเกษตร และสอนการพึ่งพาซึ่งกันและกันของสิ่งมีชีวิตในป่าใหญ่
คนขาว (คนผิวขาวที่เดินทางไปบุกเบิกที่อยู่ใหม่และตั้งถิ่นฐานอยู่ในทวีปอเมริกา) ซึ่งในเรื่อง คนขาวจะดูแคลนต่อการใช้ชีวิตของครอบครัวอินเดียแดง คนขาวมองว่าอินเดียแดงเป็นชนชั้นต่ำ เยาะหยัน ดูแคลนว่าเป็นคนโง่งมในสายตาของคนขาว โดยไม่ได้ศึกษาเบื้องหลังความคิดของการดำรงชีวิต พวกเขามักเทิดทูนวัฒนธรรมตนเอง และสร้างเป็นกรอบให้ผู้อื่นทำตาม เพื่อความเป็นศรีวิไลซ์ คนขาวได้วางกรอบความคิดของตนเองทั้งในการดำเนินชีวิตและการศึกษา เช่น การตอบคำถามตามความเป็นจริงของ ลิตเติ้ลทรี ในห้องเรียน ที่เห็นรูปกวางกำลังผสมพันธุ์ในป่า ทำให้ถูกเฆี่ยนตีจากครูผู้สอน หาว่าเป็นเด็กแก่แดด ไม่สุภาพ ทั้งที่เป็นคำตอบที่ถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตาม ลิตเติ้ลทรีก็เด็ดเดี่ยว และเลือกการดำรงชีวิตเยี่ยงปู่กับย่า ที่เป็นชนเผ่าอิสระ หลังจากปู่และย่าได้จากเขาไป
ปู่และย่า ผู้เปรียบเป็นพ่อและแม่คนที่ 2 ของเขา ได้สอนวิธีการดำเนินชีวิตและปลูกฝังแนวคิดของชนเผ่าเชโรกี เขาได้เรียนรู้วิถีธรรมชาติอันเรียบง่ายด้วยความรักอันบริสุทธิ์ อ่อนโยน และใสสะอาด และเขาก็ได้สัมผัสชีวิตรักที่ยิ่งใหญ่ เรียนรู้ความงามและความมีชีวิตของธรรมชาติที่มอบให้เด็กกำพร้าอย่างเขา เขาเรียนรู้การจากพราก การอยู่รอด เรียนรู้ความเข้มแข็งของหัวใจ ในขณะเดียวกัน เขาเรียนรู้ความรักอันอ่อนโยนในครอบครัว ถึงแม้จะห่างไกลกัน แต่ต่างก็สัญญาที่จะดู “ดาวสุนัข” ในค่ำคืนและส่งใจถึงกัน รวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ในโลกและสังคมทุกวันนี้ เราคงหาความสงบเงียบและบริสุทธิ์ของการดำรงชีวิตที่เรียบง่ายแบบลิตเติ้ลทรีได้ไม่ง่ายนัก แต่พอได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ก็ทำให้ฉุกคิดถึงความสงบและงดงามของชีวิตในโลกใบนี้ ในลิตเติ้ลทรี มีข้อคิด คำสอน ระหว่างย่าและหลานชาย ที่งดงามมากมายน่าประทับใจ ดั่งเช่น
1. จิตวิญญาณ
“ย่าบอกว่า ถ้าเราใช้จิตใจไปในทางโลภโมโหโทสันหรือเลวทราม
ถ้าเราชอบทำร้ายผู้อื่นอยู่เสมอ และมัวแต่คิดหาผลประโยชน์ทางวัตถุ
... จิตวิญญาณของเราจะหดเล็กลงเหลือขนาดเท่า ฮิคกอรี่นัท”
2. คนเป็นคนตาย
”ย่าบอกว่า เรารู้ได้ไม่ยากว่าใครเป็นคนตาย
... เมื่อเขามองผู้หญิง เขาไม่เห็นอะไรนอกจากคิดสกปรก
... เมื่อมองต้นไม้ เขาไม่เห็นอะไรนอกจากไม้ซุงและผลกำไร มิใช่ความงาม
ย่าบอกว่าพวกนี้แหละคือคนตายที่ยังเดินอยู่ทั่วๆ ไป”
3. การเติบโตของจิตวิญญาณ
”ย่าว่าจิตวิญญาณเปรียบเหมือนกล้ามเนื้อ
... ถ้าเรายิ่งใช้มัน มันก็จะใหญ่ขึ้น แข็งแรงขึ้น
ย่าบอกว่าทางเดียวที่จะเป็นอย่างนี้ได้
ก็โดยใช้จิตวิญญาณในการทำความเข้าใจ”
4. ความเข้าใจ
“ ย่าว่าโดยธรรมชาติแล้ว ความเข้าใจกับความรักเป็นสิ่งเดียวกัน
.. ผมจึงเข้าใจว่า ผมจะต้องเริ่มพยายามเข้าใจทุกคนอย่างจริงจัง
เพราะแน่นอนว่าผมไม่อยากให้จิตวิญญาณเหลือเท่าลูกฮิคกอรี่นัท”
5. ล่ากวาง
“ปู่ว่าจงเอาเท่าที่จำเป็น เมื่อเจ้าล่ากวาง จงอย่าเลือกตัวที่ดีที่สุด ให้เลือกตัวที่เล็กและเชื่องช้า เพื่อให้กวาง (ที่แข็งแรง) เหล่านั้น จะได้เติบโตแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ และมีเนื้อให้เรากินสม่ำเสมอ ”
6. ไก่งวง
“ไก่งวงเฒ่าพวกนี้ ก็เหมือนบางคน เพราะเขารู้ไปหมดทุกอย่าง จึงไม่มีวันก้มลงมองสิ่งที่อยู่รอบตัว เอาแต่เชิดหน้าสูงเกินกว่าที่จะเรียนรู้สิ่งอื่น”
ครั้งแรกที่ตัดสินใจอ่านลิตเติ้ลทรีด้วยเหตุผลว่าเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับอินเดียแดง แต่พออ่านแล้วพบว่าเป็นหนังสือที่สะท้อนการดำเนินชีวิตที่งดงามของคนที่เกื้อกูล พึ่งพาและเคารพธรรมชาติ ทำให้รู้สึกว่า การได้อ่านหนังสือที่ดี ได้ปลุกเร้าจิตวิญญาณของเราให้ตื่นขึ้น จึงอยากแบ่งปัน สาระ เรื่องราวของลิตเติ้ลทรี การอ่านหนังสือ บางครั้งไม่ใช่แค่การอ่านตัวหนังสือเท่านั้น แต่มันคือการอ่านชีวิต ความคิด อ่านผู้คน อ่านสังคม และอ่านความเป็นไปของโลก ข้อคิดจากลิตเติ้ลทรี ทำให้เห็นว่า มนุษย์เราในเวลานี้ ควรลดความหยิ่งลำพองของเราลงเสียบ้าง หันกลับมาทบทวนตัวตนของเราใหม่ว่า เราไม่ใช่เราเท่านั้น แต่เราคือส่วนหนึ่งของแม่น้ำ ลำธาร ขุนเขา ป่าไม้ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในธรรมชาติ การทำลายธรรมชาติ ก็เท่ากับเราทำลายตนเอง
อ่านลิตเติ้ลทรีแล้วได้ข้อคิดมากมาย จากการถ่ายทอดความคิดของปู่และย่าสู่ลิตเติ้ลทรี ... ปัญหาใหญ่ของคนส่วนมาก เป็นเพราะไม่ได้ฝึกที่จะรักและเข้าใจกันฉันคนในครอบครัว ...เราควรเข้าใจปัญหาของเขา แต่คนส่วนใหญ่ ไม่อยากจะเข้าใจ เพราะมันยุ่งยาก ซับซ้อนเกินไป เลยใช้ถ้อยคำมากลบเกลื่อนความขี้เกียจ ...เมื่อไรที่หัวใจของเขาอยู่ในที่ที่ควรอยู่ เขาจะได้เรียนรู้ว่า เขาควรจะให้ใคร และสิ่งที่ควรให้คือ ให้การเรียนรู้ที่จะทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ...เมื่อเราพบอะไรดีๆ สิ่งแรกที่น่าจะทำ ก็คือ แบ่งปันสิ่งดีนั้นกับใครก็ตามที่เราพบเพื่อสิ่งดี จะได้แพร่ขยายออกไปไม่รู้สิ้นสุด ...ทุกอย่างที่เราสูญเสียไป หากเป็นสิ่งที่เรารัก เราก็ย่อมรู้สึก เหมือนขาดหาย มีทางเดียวที่จะทำให้ไม่รู้สึกอย่างนี้ คือ “ ต้องไม่รักอะไรเลย ซึ่งนั้นยิ่งแย่ไปกว่า เพราะเราจะรู้สึกว่างเปล่าตลอดเวลา” ...เมื่อเราเติบโตขึ้น และระลึกถึงผู้ที่เรารัก เราจะจดจำแต่สิ่งดีๆ ไม่จำสิ่งเลว ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่า ความเลวนั้นไม่มีค่าอะไรเลย …ถ้าได้ยินใครใช้ถ้อยคำว่าร้ายใคร อย่าไปตัดสินจากถ้อยคำพวกนั้น เพราะมันไม่มีความหมายอะไร ให้ตัดสินจากน้ำเสียง จะให้รู้ว่าเป็นคนที่ต่ำช้าและโกหกหลอกลวงหรือเปล่า ...เมื่อเราจัดระเบียบสรรพสิ่งต่างๆ แล้ว เราก็จะแยกแยะสิ่งที่เราต้องทำ และสิ่งที่เราไม่ได้ทำ เป็นห้วงเวลาแห่งการทบทวนความทรงจำ ความเสียใจ และความหวังว่า เราจะได้ทำในสิ่งที่เรายังไม่ได้ทำ และพูดสิ่งที่เรายังไม่ได้พูด ...รู้ว่าความตายในชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว พร้อมรุ่งอรุณแห่งวัน รู้ว่าไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่ได้ โดยไร้สิ่งอื่น
2 ความคิดเห็น:
ลิตเติ้ลทรี เป็นหนังสือที่ดีมากคะ ประทับใจมาก
อ่านแล้วได้ข้อคิดเยอะ
แสดงความคิดเห็น