หนังสือ โลกร้อน : เมื่อมนุษย์ทำให้สภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง
เขียนโดย: Tim Flannery แปลโดย : วิฑูรย์ ปัญญากุล 2551
review by: ภัทราวดี ภูมิภักดิ์
หนังสือเล่มนี้ จริงๆ แล้วยังไม่ได้ตีพิมพ์ฉบับที่เป็นภาษาไทยเลย เพราะตอนได้มาอ่าน มาแบบเป็นเอกสาร Copied
เข้าเรื่องเลยละกัน
หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเชิงวิทยาศาสตร์แบบเล่าเรื่อง จึงทำให้เวลาอ่านแล้่วไม่น่าเบื่อ ยิ่งคนสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและโลกร้อนมาอ่านก็คิดว่า ยิ่งจะชอบ เพราะอ่านง่าย (คนแปล แปลดี อะนะ) เนื้อหาก็ตามชื่อเรื่อง เพราะบอกที่มาที่ไป ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมันมาจากหลายสาเหตุ และก็มีหลักฐานยืนยัน หรือชี้ชัด ถึงข้อเท็จจริงหรือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า "มนุษย์" เรานั้น มีอิทธิพลเพียงใด ที่สามารถทำให้โลกร้อน และนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จนกระทั่ง ระบบนิเวศต้องสั่นสะเทือน ไม่ว่าจะเป็นการสูญพันธุ์ของพืชหรือสัตว์ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก ทิมได้พูดและเอาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาบอกกล่าวเอาไว้ อย่างน่าสนใจ
สิ่งที่ เราคนอ่าน สนใจมากที่สุด คือ ข้อมูลที่คิดว่ามันจะทำให้เกิด impact ได้ หากมีคนจำนวนมากได้เข้ามารับรู้ ถึง 3 จุด พลิกผัน
3 จุด พลิกผันที่ว่านี้จะมีผลอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่ง ก็คือ
1. การหยุดไหล หรือ ไหลช้าลงของกระแสน้ำในมหาสมุทรที่เรียกกันว่า กัลฟ์สตรีม
2. การล่มสลายของป่าฝนเขตร้อน อะเมซอน
3. การพวยพุ่งของก๊าซมีเทน จากพื้น มหาสมุทร
มีใครเคยได้ยินกันมาก่อนไหม กับ 3 จุดพลิกผันนี้ คนอ่าน เอง ก็เพิ่งจะได้รู้ ก็ตอนอ่านหนังสือเล่มนี้ นี่เอง
จากรายงานของเพนตากอน (เข้าใจว่าเป็นหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐ ถ้าใครเคยดูหนังฮอลลีวูด จะรู้จักดี) ระบุว่า ในปี 2551 เมื่อกระแสน้ำกัลฟ์สตรีมชะลอตัวลงจะเกิดภาวะแห้งแล้งในพื้นที่ ที่ทำการเกษตรทั่วทั้งโลก
และอุณหภูมิเฉลี่ยจะขยับตัวสูงขึ้นมากกว่า 3 องศาเซลเซียส ในทวีปยุโรป แต่ในอเมริกาเหนือ อุณหภูมิจะสูงขึ้นไม่ถึง 3 องศาเซลเซียส ส่วน ออสเตรเลีย อเมริกาใต้และด้านล่างของทวีปแอฟริกาจะร้อนขึ้นราว 2 องศาเซลเซียส
มีนักวิทยาศาสตร์ อีกจำนวนหนึ่งที่พยายามศึกษาถึงผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ในกรณีที่กระแสน้ำกัลฟ์สตรีมหยุดไหล ซึ่ง หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น จะทำให้ไม่มีออกซิเจนไปเติมใ้ห้กับน้ำทะเลลึกด้านล่าง ประสิทธิภาพการผลิตทางชีวิวิทยา (productivity) ของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ก็น่าจะลดได้มากถึง 50% และ ประสิทธิภาพการผลิตทางชีววิทยาของมหาสมุทรอื่นๆ ทั่วโลกก็คงจะลดลง 20% ซึ่งผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ประเมินแบบสถานการณ์เลวร้ายสุดขั้ว) ก็คือ ทำให้หลายประเทศประสบกับปัญหาความอด อยาก หิวโหย และมีการอพยพย้ายถิ่นของประชาชนจำนวนมาก ในหลายประเทศทั่วโลก เช่น สแกนดิเนเวีย บังคลาเทศ และเขตแคริบเบียน จะประสบปัญหาภัยแล้ง รุนแรง จนไม่สามารถผลิตอาหารให้เพียงพอที่จะเลี้ยงประชากรได้
การเมืองโลกก็จะเกิดความวุ่นวาย สับสน หาก แย่สุดๆ จะเกิดพันธมิตรใหม่ทางการเมืองเพื่อจัดการแบ่งสรรทรัพยากรธรรมชาติและมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดสงครามระหว่างประเทศขึ้น (ตามตะเข็บชายแดนของแต่ละประเทศ) .... ฟังดูน่ากลัว
ถามว่าจริงเหรอ มันจะเกิดขึ้นจริงเหรอ มันก็ฟันธงไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นการคาดการณ์ ซึ่งประเด็นนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ของนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ฝั่งหนึ่งก็เป็นกังวลมาก อีกฝั่งก็บอกว่ามีโอกาสเกิดเีพียง 5% .... อะไรๆ ก็ไม่แน่หรอกนะ โลกมันไม่เที่ยง
แต่ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า คือ .....
การล่มสลายของป่าฝน อะเมซอน .... เพราะว่า แบบจำลองคอมพิวเตอร์ของศูนย์ฮาดเลย์ อังกฤษ ได้ใช้ แบบจำลองชื่อ TRIFFID ก็ไม่รู้จักเหมือนกัน แต่เขาบอกว่า เป็นแบบจำลอง ที่ใช้วิเคราะห์ ปฏิกิริยา ระหว่างพืชและภูมิอากาศ ผลการวิเคราะห์ ระบุว่า
... เมื่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเข้มข้นขึ้น ต้นพืชโดยเฉพาะต้นไม้ในป่าอะเมซอน จะมีพฤติกรรมบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป .....
ซึ่งปกติ ต้นไม้ในป่าอะเมซอนทุกวันนี้ สามารถสร้างฝนได้ด้วยตัวเอง จนเป็นวัฎจักรการหมุนเวียนของน้ำในป่าอะเมซอนของตัวเอง แต่เมื่อ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้น จะทำให้การคายน้ำของพืชลดลง สิ่งที่ตามมา คือ จะทำให้ฝนลดลงตามไปด้วย แบบจำลองประเมินว่า ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2643 ในบรรยากาศจะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้น จนทำให้ปริมาณฝนในป่าอะเมซอนลดลงอย่างมาก โดย 20% ของฝนที่ลดลง มีสาเหตุมาจากการคายน้ำลดลง ส่วนที่เหลือมีสาเหตุมาจากภัยแล้งอันเกิดจาก การที่ โลกร้อน ขึ้น
แล้วการลดลงของฝน มาผนวก กับอากาศที่ร้อนขึ้น ถึง 5.5 องศาเซลเซียส จะทำให้ป่าอะเมซอน ล่มสลาย ... อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รายงานยังระบุว่า เพียงแค่อุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย ก็จะทำให้ผืนดินที่เคยเก็บกักก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์เปลี่ยนสภาพจากผู้กักเก็บก๊าซ กลาย เป็นผู้ปลดปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ แทนซะเอง..... ความแปรปรวนปั่นป่วนคงตามมาอีกเยอะเลยถ้าเป็นแบบนี้
แบบจำลองการพยากรณ์คาดการณ์ว่าจะเกิดวิกฤต รุนแรง ในลุ่มน้ำอะเมซอน อุณหภูมิโดยรวมเพิ่มขึ้นถึง 10 องศาเซลเซียส (โอ้วว แม่เจ้า ตายแน่ ใครจะทนได้) ไม้ยืนต้นจะตายไปหมด และจะมีแต่ต้นหญ้า หรือไม้พุ่มขึ้นมาแทน หรือกรณีที่ดีหน่อย อาจเป็นทุ่งหญ้า สะวันนา ที่มีต้นไม้ใหญ่เหลือเพียงไม่กี่ต้น พื้นที่ส่วนใหญ่ คงจะมีอากาศร้อนและแห้งแล้งจนต้นพืชไม่อาจจะอยู่รอดได้ ทำให้กลายสภาพเป็นทะเลทรายไปในที่สุด.............และถ้าแบบจำลองมีความแม่นยำถูกต้อง เราจะเริ่มเห็นการล่มสลายของป่าฝนอะเมซอนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2583 หรือ อีก 30 ปีข้างหน้า เป็นต้นไป
สำหรับจุดพลิกผัน จุดสุดท้าย คือ ก๊าซมีเทนจากใต้ท้องทะเลจะถูกปล่อยออกมา......
ถามว่า จะปล่อยออกมาได้อย่างไร
โดยธรรมชาติ ก๊าซมีเทนจำนวนมากที่อยู่ใต้ท้องทะเล จะถูกแรงอัดและความเย็นของน้ำทะเล ทำให้มันกลายสภาพเป็นของแข็ง เรียกว่า "แคลธเร็ท (Clathrate)" ซึ่ง แคลธเร็ท นี้จะมีอยู่ค่อนข้างมาก บริเวณมหาสมุทรอาร์คติก ซึ่งเป็นบริเวณทีน้ำทะเลเย็นจัดมากๆ จึงทำให้ แคลธเร็ทอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างเสถียร
แต่ถ้าแรงกดเกิดลดลงหรืออุณหภูมิของน้ำทะเลลึกหรือที่มหาสมุทรอาร์คติกเกิดสูงขึ้น ก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาลที่มีอยู่มากกว่า ก๊าซธรรมชาิติเป็น ร้อยเท่า อาจจะถูกปล่อยออกมา นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาพืชและสัตว์ดึกดำบรรพ์ เริ่มปักใจเชื่อว่า การหลุดออกมาของแคลธเร็ท จากใต้ท้องทะเลเมื่อ 245 ล้านปีก่อน นั้น น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ของพืชและสัตว์โบราณจำนวนมาก ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น มีสิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ไป 90%
เป็นการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของโลก ทำให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพวกแรกๆ สูญพันธุ์ไปหมด
จนทำให้สัตว์เลื้อยคลานพวกไดโนเสาร์ขยายพันธุ์จนครองโลกมายุคหนึ่ง เลยทีเดียว.....WOW!!
เหตุการณ์ต่างๆ มันเชื่อมโยงกัน และ มันหนุนเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารได้ เพราะ "โลกร้อน"
พอได้มารับรู้แล้ว รู้สึกทึ่ง อึ้งและ หวาดเสียว เล็กน้อยถึงปานกลาง ......... เพราะคิดว่าตัวเองอยู่ประเทศไทย (คิดเข้าข้างตัวเองว่าคงไม่มีอะไรใหญ่โต เพราะไม่ได้อยู่ บราซิล ติดอะเมซอนหรือ อเมริกาใต้ หรือ แอฟริกา นี่นา)
แต่ความเป็นจริงที่เราต้องยอมรับคือ เราคือ ผู้สร้างและผู้ทรงอิทธิพลที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เพราะเราคือ มนุษย์ ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้น แน่นอน มันย่อมกระทบแบบลูกโซ่ ส่งผลระยะยาวกันเป็นทอดๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราไม่เจอวันนี้ แต่ลูกหลานเราอาจต้องเจอ ภายใน 30 ปี นี้ บางคนก็ยังมีชีิวิตอยู่บนโลกสีน้ำเงินใบนี้ ก็คงต้องเจอเช่นเดียวกัน
ทำใจ ทำดี และ เริ่มพยายามปรับตัว เตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศกันได้แล้ว.....
ปีัไหนโลกจะแตกไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่า เราจะมีชีิวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความไม่ยากลำบากจนเกินไปนั้น
เราควรต้องเตรียมตัว เตรียมใจ อะไรบ้าง ต่างหาก....
โชคดีทุกๆ คน....(ทำเสียงขอพรจาก...เอวา)
blog รวบรวมข่าวคราว ความคืบหน้า ในงานที่เกี่ยวข้องกับด้านการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ และการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ภายใต้สภาวะโลกร้อน
วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553
ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น
และ อนุพงศ์ เขม้นกิจ
เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่น่าอ่านมาก เป็นมุมมองในแง่วิทยาศาสตร์กับพุทธศาสตร์ได้อย่างชัดเจน ถึงจะไม่ทั้งหมดแต่ก็ช่วยให้เราสามารถสร้างจินตนาการที่อิงหลักการของวิทยาศาสตร์อย่างเป็นเหตุเป็นผล
(1.) ทำไมต้อง “ไอน์สไตน์”
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เป็นสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งตลอดการของโลก นับตั้งแต่สองพันปีที่ผ่านมา ไอน์สไตน์มีแนวคิดและการค้นพบที่ลึกล้ำ และซับซ้อนเป็นอย่างมาก ทฤษฏีต่างๆ ของไอน์สไตน์เกี่ยวกับสสารและเวลา สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ซึ่งล้มล้างทฤษฏีและความเชื่อเก่าๆ ลงโดยสิ้งเชิง ซึ่งมนุษย์บนโลกนี้ถือว่าเป็นหนี้บุญคุณของนักวิทยาศาสตร์สองคนนี้ ทิศทางการพัฒนาของโลกจะเปลี่ยนไปมหาศาล ถ้าไม่มีกฎของนิวตัน โลกอาจไม่มีตึกสูงๆ สะพานแขวน ไม่มีดาวเทียม ไม่มีเครื่องบิน จนไปถึงไม่มีเครื่องจักรกล ไม่มีรถ เครื่องซังผ้า เครื่องปั่นน้ำผลไม้ ฯลฯ หรือแม้แต่เครื่องเล่นเกือบทุกชนิดในสวนสนุก เพราะทั้งหมดนี้ ล้วนแต่มีพื้นฐานพัฒนามาจากกฏของนิวตันทั้งหมด
(2.) จักรวาลกับพุทธศาสนา
จักรวาลในความหมายของนักวิทยาศาสตร์สมัยโคเพอร์นิคัสมีความหมายแคบๆ อย่างเพียงว่าดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลาง และมีดวงดาวต่างๆ หมุนอยู่รอบๆ ยังไม่คิดไปไกลถึงดาราจักร บิ๊กแบงหรือหลุมดำซึ่งอยู่เหนือการหยั่งรู้ของมนุษย์สมัยนั้น และย้อนเวลาไปก่อนสมัยที่โคเพอร์นิคัสจะเกิดเมื่อสองพันปี พระพุทธองค์ได้ทรงกล่าวบางสิ่งบางอย่างที่ยากเกินความเข้าใจของมนุษย์สมันนั้นว่าเอกภพมีการเกิดและดับเป็นวัฏฏะเท่ากับในช่วงเวลาของ 1 มหากัปและในจักรวาลมีดาวที่ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์มากมายมหาศาล และจักรวาลไม่ได้มีจักรวาลเดียว ยังมีจักรวาลอื่นนอกจักรวาลเราอีกมากมาย ภายหลังที่อับเบิร์ต ไอน์สไตน์ได้ศึกษาพุทธศาสนา เขาได้ยอมรับว่า ความยิ่งใหญ่ลึกซึ้งที่มนุษย์จะสัมผัสได้ก็คือความเร้นลับของจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะร้อยประสานความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์แท้จริงทั้งหมด การสัมผัสรับรู้ความจริงแท้ของจักรวาลทางศาสนาจึงเป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดของการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์
(3.) ทฤษฏีสัมพัทธภาพ
การค้นพบที่สำคัญที่สุด ซึ่งทำให้อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เหมือนพระเจ้าในความรู้สึกของหลายคนในโลกนี้ก็คือการค้นพบทฤษฏีสัมพัทธภาพซึ่งเกี่ยวกับแสง และแสงทำให้เกิดการวัดเวลา จากทฤษฏีสัมพัทธภาพกล่าวว่าเวลาไม่มีอยู่จริง และเวลาของคนแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าเขาอยู่ตรงจุดใด และเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วเท่าใด เวลาเป็นสิ่งที่ยืดหดได้เหมือนยางยืด และทฤษฏีสัมพัทธภาพสามารถนำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ของจักรวาลได้อย่างถูกต้อง แต่จุดอ่อนจุดหนีงของทฤษฏีสัมพัทธภาพ ก็คือ เมื่อนำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ในระดับอะตอมกลับใช้ไม่ได้ และทฤษฏีที่ใช้ได้ดีกว่าคือ ทฤษฏีควอนตัม
(4.) ความว่างภายในอะตอม
ถ้าปรากฏการณ์ยืดหดของเวลามาเกิดขึ้นบนพื้นโลก มนุษย์จะมองว่าเป็นอภินิหารเหมือนกับเรื่องขององคุลีมาลที่วิ่งไล่เพื่อทำร้ายพระพุทธเจ้าเขาวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่แต่ก็ไล่ตามพระพุทธเจ้าไม่ทันสักทีจึงได้ตะโกนบอกให้หยุด พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่าเราหยุดแล้ว ท่านตากหากที่ยังไม่หยุด ซึ่งหมายถึงหยุดทำบาป แต่น่าแปลกใจว่าความเข้าใจเพียงแค่นั้นหรือที่ทำให้องคุลีมาลสามารถตัดกรรมทั้งหมด แล้วบรรลุธรรมได้ฉับพลัน น่าจะมีสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือปาฏิหารย์ เรื่องการหยุดเวลาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงให้องคุลีมาลประจักษ์นั้นเอง ถ้าหากเราต้องการสิ่งเทียบเคียงกับปัญหาในทฤษฏีอะตอมเราต้องหันมาสนใจกับปัญหาทางด้านญาณวิทยา ซึ่งนักคิดเช่นพระพุทธเจ้า (พุทธ) และเหลาจื่อ (เต๋า) ได้เผชิญมาแล้ว การค้นพบอะตอมและอิเล็กตรอนสร้างความสั่นสะเทือนให้วงการวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก เพราะเป็นการทำลายความเชื่อที่มีมานานถึงสองพันกว่าปีที่ว่าอะตอมเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของสะสารในสมัยนิวตัน กฎของนิวตัสแสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกและจักรวาลเคลื่อนไหวไปอย่างเป็นระบบของจักรกล (mechanism) โลกและจักรวาลประกอบไปด้วยสสาร สสารทุกชนิดเป็นรูปธรรมและสามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 สิ่งใดที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยประสาทสัมผัสสิ่งนั้นไม่มีจริง ทฤษฏีของนิวตันปฎิเสทนามธรรมโดยสิ้นเชิง โลกแห่งนามธรรมเป็นเพียงความฟุ้งซานและความฝันของมนุษย์เท่านั้น มันไม่มีอยู่จริงโลกเชื่อเช่นนั้นมาหลายร้อยปีจนกระทั่งอัลเบิร์ตไอน์สไตน์ได้ค้นพบความสัมผัสระหว่างมวลสารกับพลังงานทำให้รู้ว่าอะตอมที่เราเห็นนั้นสามารถเปลี่ยนสภาพไปเป็นพลังงานได้ ไอน์สไตน์เชื่อเหมือนกับครั้งที่นิวตัสเคยเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของจักรวาลนี้สามารถคาดหมายได้อย่างถูกต้องจากการคำนวนทางวิทยาศาสตร์
(5.) พุทธกับวิทยาศาสตร์
ไอน์สไตน์ได้ศึกษาพระพุทธศาสนา ได้อ่านกาลามสูตร แล้วแปลกใจว่ามีศาสนาแบบสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ อยู่ด้วย ไอน์สไตน์ประทับใจมากจึงเขียนเป็นบทความเพื่อให้ชาวโลกรับรู้ ศาสนาพุทธมีคุณลักษณะอย่างที่เราคาดหวังจะให้เป็นศาสนาแห่งจักรวาล ศาสนาพุทธไม่ยึดติดกับพระเจ้า ไม่ส่งเสริมความเชื่องมงาย ไม่เกี่ยวข้องกับเทววิทยา ศาสนาพุทธเกี่ยวพันกับทั้งธรรมชาติและจิตวิญญาณ เป็นศาสนาที่มีพื้นฐานอยู่บนประสบการณ์ของสรรพสิ่งทั้งธรรมชาติและจิตวิญญาณ หลังจากเราเริ่มเห็นทิศทางของวิทยาศาสตร์กับศาสนาแยกออกจากกัน ยากที่จะมาบรรจบ อัลเบิร์ตไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ดึงทิศทางการพัฒนาของวิทยาศาสตร์ที่เริ่มผิดทิศให้กลับมาสู่ทางที่ควรเป็นและแล้ววิทยาศาสตร์กับศาสนาก็เริ่มมีโอกาสที่จะมาบรรจบกันอีกครั้งหนึ่ง แม้โอกาสนั้นจะน้อยมากก็ตาม ศาสนาที่เน้นในพระเจ้าจะบอกอยู่ตลอดเวลาว่า ความสุขของมนุษย์คือการได้รับใช้พระเจ้า เชื่อในพระเจ้าและได้อยู่กับพระเจ้า แต่สิ่งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์พยายามคิดอยู่ตลอดเวลาคือ การพยายามคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อสนองความสุขทางรูปธรรมของมนุษย์ โดยที่ไม่ต้องไปรบกวนพระเจ้า
(6.) ปัญญาญาณ
การตั้งสติจดจ่อกับปัญญาเพียงอย่างเดียวดังพลังที่ทำให้ไอน์สไตน์เหนือกว่าทุกคน เขาเองก็เคยพูดไว้ว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้ฉลาดอะไรมากมาย เพียงแต่ขบคิดปัญหานานกว่าเท่านั้น”แม้ว่าไอน์สไตน์จะไม่ได้นับถือพุทธศาสนา แต่สิ่งหนึ่งที่เขามีโดยไม่ต้องฝึกกรรมฐานเลยคือสมาธิ จิตอันเกิดจากกการมีสมาธิระดับสูงจะมีพลังสูงมากตามไปด้วยเชื่อว่าไอน์สไตน์เคยเข้าถึงญาณสมาธิโดยที่ไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นความบังเอิญจากพรสวรรค์หรืออาจจะเป็นบุญเก่าที่เคยสร้างสมมา ไอน์สไตน์สามารถแยกกายกับจิตได้ และนั้นทำให้เขาเข้าใจความจริงแท้ของจักรวาลได้หลายเรื่อง ไอน์สไตน์ยอมรับว่าทฤษฏีที่เขาคิดได้มาจากการหยั่งรู้ ซึ่งการหยั่งรู้เกิดจากปัญญาญาณ ไม้ได้เกิดจากการคิดเป็นเรื่องของสมอง แต่การหยั่งรู้เป็นปรากฏการณ์ที่พุดขึ้นมาผ่านช่องทางหรือสภาวะที่เรียกกันว่า “สมาธิ” การค้นพบที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ขอเพียงแต่รวมจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับธาตุรู้ความจริงต่างๆ ก็จะพุดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ กฎและทฤษฏีที่ยิ่งใหญ่ของโลกทุกทฤษฏีเกิดขึ้นจากการหยั่งรู้
(7.) ความมหัศจรรย์ของจิต
“ จิต ” เป็นนามธรรม ไม่มีรูป ไม่มีร่าง มองไม่เห็นใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ตรวจสอบไม่ได้ เพราะมันไม่มีรูปร่าง-ตัวตน แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมีอยู่จริงในธรรมชาติ ความเป็นนามธรรมของจิตทำให้จิตมีลักษณะเป็นธาตุรู้ในเรื่องนามธรรม เช่น เจ็บปวด เวทนา ความโลภ ความโกรธ การจำได้ความเป็นนามธรรมของจิตทำให้มีคุณสมบัติเหนือกว่าโปตอนของแสงจิตสามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสงเป็นล้านๆ เท่า ความเร็วของจิตสามารถผ่านทะลุจักรวาลหนึ่งไปอีกจักรวาลหนึ่งได้อย่างง่ายดาย เมื่อจิตดวงเก่าดับไป จิตดวงใหม่ที่ขึ้นมาแทนจะรับรู้สืบทอดคุณสมบัติของจิตดวงเดิมไว้ด้วย จิตของมนุษย์มีการเกิดดับที่เร็วมากจนประสาทสัมผัสรับรู้ไม่ทัน เลยดูว่าเป็นจิตดวงเดิม จิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลาคนเราตายแล้วก็เกิดทันที เพราะขั้นตอนการการดับของจุติจิตและขึ้นตอนการเกิดปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ภพภูมิของการเกิดใหม่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่ามี 31 ประเภท คือ 1 มนุษย์ เทวดา 6 รูปธรรม 16 อรูปพรหม 4 และทุคติภูมิ 4 ตัวเลขเหล่านี้จะมีประโยชน์มากถ้าวิทยาศาสตร์นำมาวิเคราะห์ หญิงชายก็มีความแตกต่าง ธรรมชาติสร้างให้เพศหญิงมีระบบประสาทสัมผัสทั้งหกที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าผู้ชายหลายเท่า ดังนั้นในช่วงเวลาก่อนเสียชีวิตถ้าไม่เคยฝึกจิตมาก่อนเพศหญิงจะเสียชีวิตยากกว่าเพศชาย ในทางวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฎฐาน 4 หนึ่งในสี่คือจิตตานุปัสสนาคือการเฝ้าดูจิตเป็นด่านที่สำคัญที่สุด การกำหนดให้รู้เท่าทันการเกิดดับของจิต เมื่อใดที่กำหนดคุมจิตได้ ก็ถือว่าสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด
(8.) เกิด-ดับ
หัวใจสำคัญที่สุดของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คือการกำหนดสติสัมปชัญญะให้รู้เท่าทันการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป อันที่จริงแล้วในชีวิตประจำวันของเราก็เผชิญกับการเกิดดับวันหนึ่งนับหมื่นนับแสนครั้ง ทั้งจากรูปธรรมหยาบๆ อย่างการตายของมนุษย์ การเสื่อมสภาพของวัตถุทั้งหลายหรือละเอียดขึ้นมาหน่อยอย่างรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แต่ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถค้นพบสัจธรรมความจริงจากปรากฏการณ์นี้ได้เลย พระพุทธองค์ทรงค้นพบผ่านปรากฏการณ์ เกิด-ดับ ในคืนวันตรัสรู้ ได้บอกวิธีปฏิบัติหนทางให้มนุษย์คนอื่นๆ ที่ปรารถนาจะเข้าถึงได้อย่างชัดเจน และทางสายเอกที่จะนำไปสู่การหยั่งรู้เข้าใจในสรรพสิ่งก็ด้วยวิธีทางแห่งสติปัฎฐาน 4 นั้นเอง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ คือผู้ที่เข้ามาอธิบายให้มนุษย์โลกเข้าใจถึงเรื่องการเกิด-ดับได้อย่างชัดเจนขึ้น จากทฤษฏีสัมพันธภาพ และทฤษฏีสสารพลังงานของเขาชี้ให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของเวลาและมวลสาร ทำให้สามารถประยุกต์มาใช้อธิบายเกี่ยวกับคาบเวลาและการเกิดดับได้อย่างเข้าใจมากขึ้น รวมไปถึงความเข้าใจในรูปนาม วิปัสสนาญาณในระดับต่างๆ การค้นพบของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ช่วยได้มากทีเดียว เมื่อเกิดปัญญาผ่านญาณ เข้าใจการเกิดดับ เข้าใจอดีตอนาคตจะเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม ชาติภพ ฯลฯ อย่างแจ่มแจ้งจนไม่มีความสงสัยใดๆ เหลืออยู่
(9.) มิติที่ 4 มิติของเวลา
การค้นพบของไอน์สไตน์นับเป็นการเปิดประตูเข้าสู่ “มิติที่ 4 ” เรื่องหนึ่งที่ควรพูดถึงคือเรื่องเวลา โดยสามัญสำนึกเรารู้แน่ชัดว่าเวลาของแต่ละคนเท่ากัน เวลาห้านาทีของเรากับห้านาทีของเพื่อนที่อยู่อเมริกาเท่ากันแน่นอน นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกทุกคนก็เคยยอมรับเรื่องเวลาสัมบูรณ์ คือ เวลาจะเดินหน้าเสมอจากปัจจุบันไปอนาคตและเท่ากันในทุกๆ จุดของโลกและจักรวาล นอกจากความโน้มถ่วงจะมีผลกับเวลาแล้วความเร็วก็มีผลกับเวลาด้วย เวลาในจักรวาลแต่ละจุดะไม่เท่ากัน แต่สิ่งหนึ่งที่สมดุลคือแม้เวลาจะเดินเร็วช้าต่างกัน ปฏิกิริยาเคมี อัตราการหายใจ กระบวนการย่อยอาหารหรืออัตราเมแทบอลิซึมก็จะเร็วช้าในอัตราส่วนที่เท่ากันไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราส่องกล้องไปที่นาฬิกาบนดวงดาวนั้นจะพบว่าขณะที่นาฬิกาเดินไปหนึ่งวินาทีเวลาบนโลกเราเดินไปถึงสิบวินาทีแล้ว อัตราเมแทบอลิซึมของร่างกายสัมพันธ์กับความเร็วช้าของเวลา ยกตัวอย่างบนโลกเราก็ได้ในเด็กที่กำลังโตหัวใจจะเต้นเร็ว อัตราเมแทบอลิซึมจะสูงกว่าผู้ใหญ่วัยกลางคน แม้ว่าเวลาบนโลกจะเท่ากันเสมอแต่ในความรู้สึกหนึ่งปีที่ผ่านไปของเด็กจะยาวนานกว่าหนึ่งปีของผู้ใหญ่วัยกลางคน ไม่ใช่เฉพาะสิ่งมีชีวิตสรรพสิ่งล้วนอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์นี้ เราเอาก้อนเนื้อแช่เย็นในตู้เย็นที่มัดสนิท ก้อนเนื้อจะมีอายุยาวนานขึ้นจากสองวันภายนอกตู้เย็นกลายเป็นเวลาห้าวันภายในตู้เย็น ในสมถกรรมฐานซึ่งสอนให้กำหนดจิตจดจ่ออยู่ที่ใดที่หนึ่ง อารมณ์ใดอารมณ์เดียวเป็นระยะเวลานาน เมื่อจิตนิ่งก็จะพบกับความมหัศจรรย์ของเวลาตามทฤษฏีสัมพัทธภาพเช่นกัน จิตที่นิ่งแบบสมถกรรมฐาน เมื่อนั่งสมาธิแนบแน่นมั่นคงอยู่ในอารมณ์เดียวจะทำให้เวลาภายนอกผ่านไปเร็วมาก เช่นเดียวกันคนที่อยู่ในอารมณ์รักขณะนั่งอยู่กับคนรักสามชั่วโมงแต่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปแป๊บเดียว ระหว่างการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอาจจะมีบางช่วงที่มิติเวลาที่ยึดหดนั้นทำให้จิตเห็นภาพหรือสิ่งแวดล้อมที่แปลกออกไปบางคนอาจเห็นอสุรกาย เปรตซึ่งเป็นไปได้ แต่อย่างไปใส่ใจมิติเหล่านั้นเป็นแค่ทางผ่าน
(10.) ความสุขและความแท้จริง
แม้ว่าเราอาจไม่สามารถปฏิบัติได้ถึงขั้นเข้าสู่มรรคญาณ แต่เพียงแค่สามารถกำหนดสติมีชีวิตที่เป็นสมาธิ ผลที่ได้ก็ทำให้เราสามารถดำรงชีวิตในโลกปัจจุบันได้อย่างรู้เท่าทันและมีความสุขอย่างแท้จริงมากกว่าที่จะไปหลงกับความสุขปลอมๆ ซึ่งถูกเร้าด้วยกิเลส ตัณหาและจิตอันเป็นสมาธิ จะเป็นต้นทุนให้เราสามารถเข้าถึงมรรคญาณในชาติภพต่อไป เราทุกคนต้องเคยกระหายน้ำยิ่งกระหายมากยิ่งทรมานพอได้ดื่มน้ำหวานหรือน้ำอัดลมสักขวดจะรู้สึกชื่นใจขึ้นมาทันที ถ้าเกิดมีนักวิทยาศาสตร์สักคนบอกว่ามีวิธีจะทำให้เราไม่ต้องดื่มน้ำไปตลอดชีวิต วิธีนี้จะทำใหร่างกายสามารถดูดซึมไอน้ำจากอากาศเข้าไปในตัวได้เลย แต่นักวิทยาศาสตร์ทางใจคือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพบวิธีทางที่จะทำให้เราเลิกกระหายทางใจไปได้ตลอดชีวิต เราจะพบกับความสุขที่แท้จริง สุขอย่างยิ่ง สุขนิรันดร์
สุกัญญา : ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่าน
- ได้รู้จักนักวิทยาศาสตร์หลายๆ คน และเหตุผลทางวิทยาศาสตร์
- เรียนรู้รับรู้ความรู้สึกที่เป็นนามธรรมของตนเองเพิ่มขึ้น
- ได้รู้จักหลักการแก่นของพุทธศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้
วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553
ปรสบการณ์ต่างแดน น้องอั๋น
สวัสดีครับตอนนี้ก็ได้เวลามาเล่าประสบการณ์ในต่างแดนแล้วหลังจากที่ได้ไปใช้ชีวิตมาได้ก็ร่วมครึ่งปีกับการไปฝึกและร่วมแลกเปลี่ยนในเรื่องของการทำสวนเกษตรอินทรีย์ของประเทศสหรัฐอเมริการัฐที่ได้ไปพักอยู่นั้นก็คือรัฐ อคัลซอ เป็นรัฐที่อยู่แถวๆตอนใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกาสวนมีชื่อว่า ดริปปิ้งสปริง(Dripping Spring Garden)เป็นสวนที่มีพื้นที่ขนาดเล็กไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายสวนมีพื้นที่ทั้งหมด40เอเคอร์แต่ว่าใช้ทำสวนทั้งหมดแค่5เอเคอร์โดยพื้นที่ที่เหลือทั้งหมดใช้เป็นพื้นที่ป่าผลผลิตส่วนมากก็จะเป็นดอกไม้เป็นหลักและในส่วนของพืชผักก็จะเน้นขายให้กับลูกค้าสมาชิก CSA (Community Suported Agriculture)
(นี่เป็นกล่องที่ใช้บรรจุพืชผักสำหรับเอาไปส่งให้กับลูกค้า CSA)
และผลลผลิตที่เป็นดอกไม้ทั้งหมดเราก็จะนำไปขายที่ตลาดในเมืองซึ่งเป็นตลาดที่ผู้ผลิตได้มาซื้อจากผู้บริโภคโดยตรงในหนึ่งสัปดาห์ที่สวนจะไปขายผลผลิตที่ตลาดในเมืองทั้งหมดสามวันคือวัน อังคาร วันพฤหัสและวันเสาร์ซึ่งช่วงวันเสาร์นี่แหละที่อาสาสมัครอย่างพวกผมจะได้ออกไปช่วยขายผลผลิตเพราะว่าวันเสาร์จะมีลูกค้ามามากกว่าปกติ(ซึ่งก็คล้ายๆกับที่แม่ทาที่เกษตรกรจะนำผลผลิตไปขายเองที่ตลาดในเมืองโดยที่ผู้ผลิตจะพบกับผู้บริโภคโดยตรง)
สมาชิกทั้งหมดที่ทำงานร่วมกันในสวนก็มีทั้งหมด6คนอันประกอบไปด้วย ลุงมาร์คและลุงไมค์ทั้งสองคนเป็นเจ้าของสวนและมีอาสาสมัค2คนโดยเป็นคนจากอเมริกาชื่อคริสและแอนโซและอีก2คนมาจากโครงการเมซ่าคือผมกับเทเทจากประเทศไทยกับเปรูการใช้ชีวิตที่นี่เราอยู่กันแบบครอบครัวเราจะช่วยกันเปลี่ยนเวรกันทำอาหารโดยที่ให้แต่ละคนเขียนความสมัคใจเองว่าอยากจะทำอาหารมื้อไหนมันจึงทำให้เราได้กินอาหารที่หลากหลายโดยที่อาหารไทยก็ไม่น้อยหน้าใครเลยเหมือนกันซึ่งปกติแล้วโดยส่วนมากหลักจากที่เราเลิกจากการขายผลผลิตแล้วเจ้าของสวนก็มักจะพาเราไปทานอาหารที่ร้านอาหารไทยอยู่เป็นประจำเราจะทำงานกันตั้งแต่ช่วงแปดโมงเช้าไปจนถึงหนึ่งทุ่มโดยประมาณและช่วงพักกลางวันเราก็จะมีการทำโยคะเพื่อสุขภาพโดยปกติแล้วทุกๆเช้าเขาก็จะมีการนั่งสมาธิและการทำโยคะแบบเบาๆก่อนการรับประทานอาหารเช้า
นี่ก็เป็นตารางของการทำงาน
(6:00-7:00 นั่งสมาธิและทำโยคะแบบเบาๆ)
7:30-8:00 อาหารเช้า
8:30-13:00 ทำงานช่วงเช้า
13:30-15:00 ทำอาหารกลางวันและพักทำโยคะ
15:30 อาหารกลางวัน
16:00-19:00 งานช่วงบ่าย
และวันหยุดของพวกอาสาสมัครอย่างพวกผมก็คือวันอาทิตย์ส่วนมากเราก็มักจะพักที่บ้านในเมืองเป็นบ้านของพี่ชาย คริสหลังจากที่เราเลิกจากตลาดแล้ว คริสก็จะเป็นคนพาไปเที่ยวและทุกๆวันเสาร์เราก็มักจะไปใช้สัญญาณอินเตอร์เนตที่ห้องสมุดและเป็นที่ที่เราสามารถยืมหนังได้อีกด้วยโดยที่เจ้าของส่วนเขาจะทำบัตรสมาชิกให้และหากเจ้าของสวนว่างๆเราก็มักจะไปเยี่ยมชมสวนเกษตรอินทรีย์ของเพื่อนๆลุงมาร์คและลุงไมค์ (นี่เป็นสวนลุงมาตี้คนที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินนี่แหละ)นี่ก็เป็นบางส่วนของการใช้ชีวิตในต่างแดนช่วงเวลาหกเดือนเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงเลยจริงๆครับ
(นี่เป็นกล่องที่ใช้บรรจุพืชผักสำหรับเอาไปส่งให้กับลูกค้า CSA)
และผลลผลิตที่เป็นดอกไม้ทั้งหมดเราก็จะนำไปขายที่ตลาดในเมืองซึ่งเป็นตลาดที่ผู้ผลิตได้มาซื้อจากผู้บริโภคโดยตรงในหนึ่งสัปดาห์ที่สวนจะไปขายผลผลิตที่ตลาดในเมืองทั้งหมดสามวันคือวัน อังคาร วันพฤหัสและวันเสาร์ซึ่งช่วงวันเสาร์นี่แหละที่อาสาสมัครอย่างพวกผมจะได้ออกไปช่วยขายผลผลิตเพราะว่าวันเสาร์จะมีลูกค้ามามากกว่าปกติ(ซึ่งก็คล้ายๆกับที่แม่ทาที่เกษตรกรจะนำผลผลิตไปขายเองที่ตลาดในเมืองโดยที่ผู้ผลิตจะพบกับผู้บริโภคโดยตรง)
สมาชิกทั้งหมดที่ทำงานร่วมกันในสวนก็มีทั้งหมด6คนอันประกอบไปด้วย ลุงมาร์คและลุงไมค์ทั้งสองคนเป็นเจ้าของสวนและมีอาสาสมัค2คนโดยเป็นคนจากอเมริกาชื่อคริสและแอนโซและอีก2คนมาจากโครงการเมซ่าคือผมกับเทเทจากประเทศไทยกับเปรูการใช้ชีวิตที่นี่เราอยู่กันแบบครอบครัวเราจะช่วยกันเปลี่ยนเวรกันทำอาหารโดยที่ให้แต่ละคนเขียนความสมัคใจเองว่าอยากจะทำอาหารมื้อไหนมันจึงทำให้เราได้กินอาหารที่หลากหลายโดยที่อาหารไทยก็ไม่น้อยหน้าใครเลยเหมือนกันซึ่งปกติแล้วโดยส่วนมากหลักจากที่เราเลิกจากการขายผลผลิตแล้วเจ้าของสวนก็มักจะพาเราไปทานอาหารที่ร้านอาหารไทยอยู่เป็นประจำเราจะทำงานกันตั้งแต่ช่วงแปดโมงเช้าไปจนถึงหนึ่งทุ่มโดยประมาณและช่วงพักกลางวันเราก็จะมีการทำโยคะเพื่อสุขภาพโดยปกติแล้วทุกๆเช้าเขาก็จะมีการนั่งสมาธิและการทำโยคะแบบเบาๆก่อนการรับประทานอาหารเช้า
นี่ก็เป็นตารางของการทำงาน
(6:00-7:00 นั่งสมาธิและทำโยคะแบบเบาๆ)
7:30-8:00 อาหารเช้า
8:30-13:00 ทำงานช่วงเช้า
13:30-15:00 ทำอาหารกลางวันและพักทำโยคะ
15:30 อาหารกลางวัน
16:00-19:00 งานช่วงบ่าย
และวันหยุดของพวกอาสาสมัครอย่างพวกผมก็คือวันอาทิตย์ส่วนมากเราก็มักจะพักที่บ้านในเมืองเป็นบ้านของพี่ชาย คริสหลังจากที่เราเลิกจากตลาดแล้ว คริสก็จะเป็นคนพาไปเที่ยวและทุกๆวันเสาร์เราก็มักจะไปใช้สัญญาณอินเตอร์เนตที่ห้องสมุดและเป็นที่ที่เราสามารถยืมหนังได้อีกด้วยโดยที่เจ้าของส่วนเขาจะทำบัตรสมาชิกให้และหากเจ้าของสวนว่างๆเราก็มักจะไปเยี่ยมชมสวนเกษตรอินทรีย์ของเพื่อนๆลุงมาร์คและลุงไมค์ (นี่เป็นสวนลุงมาตี้คนที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินนี่แหละ)นี่ก็เป็นบางส่วนของการใช้ชีวิตในต่างแดนช่วงเวลาหกเดือนเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงเลยจริงๆครับ
วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553
รวยรินกลิ่นชา
เขียนโดย เรืองรอง รุ่งรัศมี
ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านหนังสือเล่มนี้คือ จะมีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับตำนานชา ลักษณะใบชาและการเก็บรักษา ใบชา น้ำที่ใช้ชงชา รูปแบบการดื่มชา การเลือกป้านชา(กาชา) จอกชา คุณโทษของน้ำชา ร้านน้ำชายุคโบราณ-ยุคปัจจุบัน ตลอดจนเรื่องราวของชาที่เกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณี และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน
ชาวจีนมีคำกล่าวโบราณว่า สิ่งสำคัญของชีวิตนั้นมี 7 อย่าง คือ ฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู และชา ทั้งเจ็ดอย่างนี้สำคัญต่อการดำรงชีวิต เพราะล้วนเป็นสิ่งยังชีพทั้งนั้น ฟืนใช้เป็นเชื้อเพลิง ข้าวสาร น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู เป็นสิ่งสำคัญในการปรุงอาหาร ส่วนชาเป็นเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน จะเห็นได้ว่าชาวจีนให้ ความสำคัญกับชาเทียบเท่าอาหารเลยทีเดียว
จากการศึกษาวิเคราะห์ของนักพฤกษศาสตร์พบว่า ต้นชากำเนิดมาในโลกแล้วไม่ต่ำกว่า 60-70 ล้านปี ชาเป็นพืชยืนต้นประเภทมีใบเขียวตลอดปีต้นชาป่าที่ขึ้นตามธรรมชาติสูงถึง15-30เมตรสามารถมี อายุยืนยาวหลายร้อยปีจนกระทั่งถึงพันปี พื้นที่ที่เหมาะกับการปลูกชา คือบริเวณภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ภาคใต้ของจีน โดยเฉพาะบริเวณ มลฑลอวิ๋นหนาน ต่อเนื่องมาจนถึงภาคเหนือของประเทศไทย
คุณสมบัติของชาเกรดดี กำหนดไว้ว่า ต้องเป็นชาใบอ่อน คือส่วนที่เป็นยอดอ่อน 2-3 ใบโตและเต็มใบเก็บเกี่ยวอย่างพิถีพิถัน โดยไม่มีก้านแข็งๆปนมา การเก็บเกี่ยวใบชาเกรดดีจึงต้องใช้มือเด็ด ใบชาเกรดดีราคาแพงเน้นกันขนาดว่าต้องเป็นชาใบสองหรือใบสามที่เด็ดด้วยมือในยามเช้าก่อนใบชาจะต้องแดดกล้า
ชารสเลิศต้องเป็นชา “ชาวสันต์” กล่าวคือ เก็บในเวลาย่ำรุ่งฤดูใบไม้ผลิ แน่นอนชาเกรดนี้ต้องราคาแพงจัดเพราะต้นชาแต่ละต้นจะเก็บเกี่ยวยอดอ่อนเช่นนี้ได้เพียงน้อยนิด เหตุผลที่ต้องพิถีพิถันกันเช่นนี้ เพราะความแก่อ่อนของใบชามีผลต่อสี กลิ่น และรสชาติของน้ำชา การเน้นว่าต้องเก็บเกี่ยวตอนย่ำรุ่ง เพราะเป็นเวลาที่ใบชาสะอาด ไม่มีฝุ่นผง เนื่องจากผ่านการตากน้ำค้างมาทั้งคืน อีกทั้งฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงเวลาที่ใบชาแตกยอดอ่อน แมลงยังไม่มากัดกิน หากใบชามีการปนเปื้อนสารเคมีหรือยากำจัดแมลง นอกจากทำให้รสชาติเสียแล้ว ยังเป็นพิษต่อผู้ดื่มอีกด้วย
น้ำชงชาที่ดีต้องเป็นน้ำสะอาด ไม่มีกลิ่น สี และรสแปลกปลอม ที่สำคัญต้องไม่ใช่น้ำกระด้าง น้ำที่ใช้ชงควรต้มให้เดือดเต็มที่แล้วราไฟ อุณหภูมิน้ำที่เหมาะสมควรอยู่ในราว 90 องศาเซลเซียส ไม่ใช่น้ำที่เดือดพล่าน ต้นชาที่เราเห็นเป็นพุ่มเตี้ยในปัจจุบัน เกิดจากการตัดแต่งเพื่อความสะดวกในการเก็บเกี่ยวชา โดยทั่วไป มักตัดแต่งให้มีลำต้นสูงราว 0.8-1.2 เมตร และสามารถเก็บเกี่ยวได้นาน 50-60 ปี
พัฒนาการเกี่ยวกับชามีมายาวนานนับ 5,000-6,000 ปี มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรตั้งแต่ 200 ปี ก่อนศริสตกาลว่า ชาเป็นหนึ่งในยี่สิบตัวยาสำคัญและบันทึกของจีนโบราณเมื่อ 3,000 กว่าปี ก็มีหลักฐานแสดงว่า ชาวจีนรู้จักปลูกชาและใช้ประโยชน์จากชาเช่นกัน
จากสถิติการสำรวจพื้นที่ประเทศจีนในปัจจุบันพบว่า มีอยู่ 10 มณฑล ที่มีต้นชาป่าขึ้นเองตามธรรมชาติ และค้นพบต้นชาป่าขนาดยักษ์ในสถานที่ 198 แห่ง โดยเฉพาะมณฑลอวิ๋นหนาน แห่งเดียวมีการค้นพบต้นชาป่าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 เมตร จำนวน 10 ต้น
จากการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชา มีข้อมูลยืนยันว่า ใบชาเป็นสินค้าที่มีจำหน่ายในท้องตลาด ตั้งแต่ยุคฮั่นตะวันตกหรือฮั่นยุคแรก (เฉียนฮั่น) ประมาณ 200 ก่อนศริสต์ศักราช – คศ.7 ย่อมแสดงให้เห็นว่า ใบชาน่าจะเป็นสินค้าจำเป็นของชนชั้นกลางและคนระดับล่างโดยทั่วไป เดิมชาวจีนดื่มชาในฐานะเป็นยารักษาโรค โดยนำมาต้มเช่นเดียวกับสมุนไพรและเครื่องยาอื่นๆ ต่อมา พัฒนาเป็นเครื่องดื่มในชีวิตประจำวันของสามัญชน ก่อนกลายเป็นวัฒนธรรมและเครื่องดื่มสะท้อนรสนิยมของชนชั้นสูงในเวลาต่อมา
ตำนานเกี่ยวกับชาของจีนมีมากมาย ที่นำมาอ้างอิงมากที่สุดน่าจะเป็นตำนานเรื่องกษัตริย์ “เสินหนง”
ทรงทดลองเสวยพืชนานาชนิด แต่ละวันได้รับพิษ 72 ชนิด แต่ถอนพิษได้ด้วยใบชา หรือแม้แต่กษัตริย์เฉียนหลงซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในประวัติศาสตร์จีน ก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องชาเหมือนกัน การที่กษัตริย์เฉียนหลงทรงมีพระชนม์ยืนยาวถึง 88 พรรษานั้น กล่าวกันว่านอกจากใช้เครื่องบำรุงบำเรอทั้งหลายแล้ว การเสวยพระสุธารสชาและมีพระอารมณ์ขันก็เป็นสาเหตุสำคัญด้วย ครั้งหนึ่งกษัตริย์เฉียนหลงทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชน เมื่อเดินทางถึงเมืองหางโจว ทรงมีโอกาสเสวยชา “หลงจิ่ง” และรู้สึกพอพระทัยมาก จึงมีพระบัญชาให้ต้นชาทั้ง 18 ต้นนั้นเป็น “ชาพระราชทาน” (อวี้ฉา) ครั้นทรงลิ้มรส “จวินชานอิ๋มเจิน” ก็รับสั่งสรรเสริญไม่ขาดปาก พร้อมทั้งมีพระบัญชาให้ส่งชาต้นนี้เข้าวังถวายเป็นเครื่องบรรณาการปีละ 18 ชั่ง ที่เมืองฉงอาน มณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) ทรงได้ยินกิตติศัพท์ “เสื้อคลุมแดง”(ต้าหงผาว) ซึ่งมีตำนานเรื่องต้าหงผาว ดังนี้
ครั้งหนึ่งเกิดภัยแล้งขึ้นที่เขาอู๋อี๋ซาน ต้นไม้ใบหญ้าพากันแห้งตาย ผู้คนอดอยากยากเข็ญ แม่เฒ่าใจดีผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในเขาอู๋อี๋ซานได้ช่วยเหลือเซียนเฒ่าผู้หนี่ง เมื่อเซียนเฒ่าฟื้น จึงหยิบไม้เท้าของตนปักลงพื้นดิน ไม้นั้นก็งอกงามกลายเป็นต้นชา ต่อมากษัตริย์ทรงรู้เรื่องชาต้นนี้เข้า จึงถอนไปปลูกในพระราชอุทยาน แต่ชาวิเศษต้นนั้นกลับถอนตัวเองหวนกลับไปอยู่ที่เขาอู่อี๋ซานเหมือนเดิม
นักโบราณคดีค้นพบว่า มีการใช้ใบชาในพิธีศพตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยมีหลักฐานจากการขุดค้นสุสานหม่าหวางตุยที่ฉางซา มณทลหูหนาน พบใบชา 1 ลัง ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่าชนชั้นสูงในสมัยโบราณได้ใช้ใบชาเป็นเครื่องส่งวิญญาณด้วย
ประเพณีแต่งงานของชาวจีน มีความสัมพันธ์กับน้ำชาเป็นอย่างยิ่ง ในบันทึก “ชีชิวเล่ยก่าว” ของหลางอิง (ค.ศ. 1368-1843) ระบุว่า “ต้นชานั้นปลูกแล้วไม่เคลื่อนย้ายต้น เมื่อปลูกแล้วจักให้ผลแน่นอน การแต่งงานของคนโบราณจึงกำหนดให้ใช้ชาเป็นของสำคัญในงานพิธี โดยถือเอาความหมายของการปลูกโดยไม่ย้ายต้น” ประเพณีนี้จึงปฏิบัติสืบต่อทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นในขนบประเพณีการแต่งงานจึงใช้ชาเป็นของขวัญในงานพิธี โดยถือเอาความหมายแห่งหลักคุณธรรมเรื่องรักเดียวใจเดียว การไปเยี่ยมเยือนครอบครัวชาวจีน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวในเมืองไทย จีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง ใต้หวัน สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย มักจะได้รับการต้อนรับด้วยน้ำชา ในครอบครัวชาวจีนโบราณ ทุกเช้าบุตรหลานจะยกน้ำชาไปคารวะบิดามารดา ถือเป็นการทักทายหรือรายงานตัวและแสดงความกตัญญูรู้คุณบรรพบุรุษของลูกหลาน แม้เมื่อปู่ย่าตายาย บิดา มารดา ล่วงลับไปแล้ว ก็ยังคงปฏิบัติเช่นนี้ โดยคารวะน้ำชาหน้าแท่นบูชาบรรพบุรุษ
นอกจากชาจะเป็นเครื่องดื่มเพื่อเสพรสอันละเมียดหรือเป็นเครื่องดื่มดับกระหายแล้ว ยังเป็นเครื่องดื่มที่
ใช้ในธรรมเนียมปฏิบัติของชาวจีนด้วย ธรรมเนียมปฏิบัติในปัจจุบัน เมื่ออาคันตุกะมาเยือนก็จะจิบน้ำชากัน ธรรมเนียมนี้ปฏิบัติกันโดยทั่วไป
การรินน้ำชาต้อนรับแขกได้ครบคนในป้านชาเดียวกัน แฝงนัยเจ้าของบ้าน ให้เกียรติกับแขกเท่าเทียมกัน สุราเปี่ยมจอกคือการคารวะ น้ำชาเปี่ยมจอกคือการรังแกคน การรินน้ำชาให้แขกจึงควรรินเต็มจอกแต่พอควร ไม่ควรรินเต็มปริ่มจนล้นออกมา ทั้งนี้เพราะน้ำชาเปี่ยมจอกนั้นร้อนลวกมือ ยกจอกขึ้นดื่มยาก และมีโอกาสหกเลอะเทอะได้มาก แม้สุราจีนบางชนิดจะต้องอุ่นให้ร้อนเมื่อดื่ม แต่ก็ร้อนเพียงอุ่น ไม่ถึงกับลวกมือ นอกจากนี้น้ำชาที่เขารินให้ หากเราไม่ยกดื่มเลยก็เป็นการเสียมารยาท ในการรินน้ำชาต้อนรับแขกนั้น จะต้องรินให้แขกก่อน ห้ามรินน้ำชาให้ตนเองและครอบครัว โดยปล่อยจอกชาของแขกว่างเปล่า เพราะนั่นเป็นการไม่ให้เกียรติแขก จะต้องใช้น้ำที่ต้มจนเดือดแล้วมาชงชา การใช้น้ำต้มไม่เดือดไม่เพียงจะทำให้ใบชาไม่สามารถขับ กลิ่น สี และรสชาติ ได้เต็มที่ ยังเป็นการเสียมารยาท
ในงานเลี้ยงอาหาร น้ำชาที่เสิร์ฟก่อนอาหารควรเป็นชาอ่อนจำพวกชาเขียว หรือชามะลิ ส่วนชาหลังอาหารควรเป็นชารสเข้ม จำพวกอูหลง ชาผูเอ่อ หรือชากวนอิมเหล็ก ป้านชา(กาชา)ที่ถือว่าเป็นป้านชาชั้นดี ทำจากดินของเมืองอี๋ชิง มณทลเจียงชู มีชื่อรียกเฉพาะว่า “จื่อชาหู”หรือ ป้านจื่อชา โดยเรียกตามชื่อดินจื่อชา ซึ่งมีลักษณะเป็นดินสีม่วงแดง เนื้อละเอียด มีทรายปนเล็กน้อย ไม่อมน้ำ
คุณสมบัติสำคัญของดินจื่อชา นอกจากจะช่วยเก็บรักษากลิ่นและรสของน้ำชาได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังไม่ทำให้น้ำชาบูดง่าย เหมือนที่ชงจากป้านชนิดอื่น ป้านชาที่ดี ฝาต้องปิดสนิท พวยกาอยู่ในระดับพอดี เพราะเวลารินชา น้ำชาจะได้ไหลจากปลายพวยกาโดยไม่ไหลย้อน(พวยกา ที่จับ และฝาปิดต้องอยู่ในระนาบเดียวกัน)
ชาน้ำแรกไม่นิยมดื่มกัน ด้วยเชื่อว่ามีฝุ่นผงติดตามใบชา น้ำแรกนี้จึงรินล้างถ้วยชาอีกครั้งหนึ่ง ชาน้ำที่สองถือเป็นน้ำชาที่อร่อยที่สุด เพราะฝุ่น ผง ชะล้างไปในน้ำแรกแล้ว อีกทั้งใบชาก็ได้รับการกระตุ้นด้วยน้ำร้อนให้พองตัว พร้อมจะขับกลิ่น สี และรสชาติอย่างเต็มที่
ชาดอกไม้ ชามะลิ จะชงให้ได้กลิ่นและรสเต็มที่ ก็ต่อเมื่อใช้ภาชนะที่เป็นแก้ว หรือกระเบื้องเคลือบ ทั้งนี้เพราะแก้วหรือกระเบื้องเคลือบ จะรักษากลิ่นหอมของดอกไม้ไว้
ชาแดงหรือชากึ่งหมักนั้น เหมาะจะชงกับป้านดินเผาไม่เคลือบ โดยเฉพาะ ป้านจื่อชา ซึ่งถือว่าเป็นป้านชาชั้นดี เพราะดินจื่อชามีคุณสมบัติพิเศษ เก็บรักษาน้ำชาไม่ให้บูดเสียเร็ว
ชาจีน สามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆได้ 2 ประเภท คือชาหมักและชาไม่หมัก
ชาหมัก หมายถึง ชาที่ผ่านกรรมวิธีการหมักให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี
ชาไม่หมัก หมายถึง ชาที่ผ่านกรรมวิธีทำให้แห้ง
ชาหมักนั้น ให้สี กลิ่น และรสของน้ำชาเข้มข้นกว่าชาไม่หมัก ยิ่งผ่านการหมักนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งให้สีเข้มมากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งในการหมักใบชา ยังอาจผสมใบไม้ หรือดอกไม้ชนิดต่างๆ ที่ให้กลิ่นหอมเข้าไปด้วย ชาไม่หมัก จะผ่านกรรมวิธี ทำให้แห้ง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ชาเขียว” (ลวี่ฉา) นิยมดื่มมากในญี่ปุ่น เป็นชารสอ่อน น้ำชาจะมีสีเหลืองอมเขียว เมื่อชงชาใหม่ๆดมดู จะได้กลิ่นใบชาเป็นอย่างดี ชาเขียวที่ดีต้องให้น้ำชาที่ใส ไม่มีตะกอนหรือฝุ่นผงตกค้าง ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ หลงจิ่ง และปี้ลว๋อซุน ชาหมักโดยสมบรูณ์นั้น เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ชาแดง (หงฉา) เพราะน้ำชาจะมีสีออกแดง ให้รสชาติค่อนข้างจัดจ้าน ชาที่ใช้ทำชาเย็นก็จัดอยู่ในชาตระกูลนี้
ชากึ่งหมัก มีลักษณะคล้ายชาหมัก เพียงแต่ใช้เวลาหมักไม่นานเท่า ให้สี กลิ่นและรสเข้มข้นกว่าชาเขียว แต่เบาบางกว่าชาหมัก ชากึ่งหมักที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางน่าจะเป็นชาอูหลง ซึ่งชาอูหลงนี้ยังแยกย่อยออกเป็นชาหมักนาน ชาหมักปานกลาง และชาหมักน้อย
ชาหมักนาน จะให้สี และรสชาติที่เข้มข้นที่สุด น้ำชาจะออกสีน้ำตาลส้มหรือน้ำตาลแดง ชาหมักนานที่ดี น้ำชาจะใส ไม่ขุ่น หรือมีตะกอนฝุ่นผง อีกทั้งรสชาติต้องไม่ฝาดเฝื่อน หากสังเกตเวลาดื่มชาถุงจะรับรู้รสฝาดเฝื่อน เพระชาถุงทำจากเศษใบชาซึ่งมีทั้งใบชาแก่และก้านใบแข็งๆ เรียกว่าเป็นใบชาเกรดรองที่ไม่เต็มใบ จึงต้องนำมามาบดแล้วบรรจุถุงมิฉะนั้นจะไม่เป็นที่ต้องการของลูกค้า
ชาหมักปานกลาง ที่รู้จักกันทั่วไปคือ กวนอิมเหล็ก (เถี่ยกวนอิม) สุ่ยเซียน ตังติ่ง ให้น้ำชาสีน้ำตาล รสชาติเข้มข้นน้อยกว่าชาหมักนาน คุณสมบัติสำคัญคือ ทำให้ ชุ่มคอ ผู้รู้สอนว่า ชาที่มีคุณภาพดีในกลุ่มนี้จะเหลือความหอมและชุ่มคอแม้ดื่มน้ำชาไปแล้วครู่ใหญ่
สำหรับชาหมักน้อย หรือชาใส (ชิงฉา) จะให้น้ำชาสีเหลืองทอง
ใบชาที่ดีต้องแห้งสนิท ไม่มีกลิ่นไหม้ หรือกลิ่นแปลกปลอม จับแล้วแห้งกรอบ สามารถบี้ให้แหลกได้ ดูที่เป็นใบอ่อนใบใหญ่ๆ แม้จะเป็นใบชาแห้งที่ห่อตัวเป็นเม็ดก็พอดูรู้ได้ โดยดูให้ละเอียดว่าใบชานั้นชื้น จนเกิดเชื้อราบ้างไหม ใบชาที่หยุ่นๆไม่แห้งกรอบ บี้ให้แหลกไม่ได้ อาจเป็นใบชาที่ชื้นและขึ้นราได้ แต่ใช่ว่าใบชาที่มีขนสีขาวๆจะเป็นใบชาขึ้นราเสมอไป ใบชาอ่อนชั้นดีที่มีขนสีขาวละเอียดเป็นขนของใบ แยกแยะได้ด้วยการสัมผัสและดม ถ้ามีกลิ่นอับชื้นและลักษณะใบหยุ่นๆ มีทางเป็นไปได้มากว่าจะเป็นใบชาที่ขึ้นราแล้ว
คนที่ชอบดื่มชามะลิหรือชากลิ่นดอกไม้ มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งในการดูใบชาคือ ชามะลิหรือชากลิ่นดอกไม้ที่ดี ต้องเป็นใบชาที่มีดอกมะลิหรือกลีบดอกไม้ปนอยู่ในปริมาณน้อย ชาดีจะต้องมีสัดส่วนระหว่างใบชาและกลีบดอกไม้ที่เหมาะสม คือต้องมีดอกไม้ผสมไม่เกิน 1 ต่อ 3 ส่วน เพราะชาจะขับกลิ่นดอกไม้หรือดอกมะลิให้หอม และกลิ่นหอมนั้นจะกลับมาเพิ่มรสชาติน้ำชาอีกที
ภาชนะสำหรับบรรจุชาควรเป็นภาชนะที่ทึบแสงและมีฝาปิดสนิท กระป๋องโลหะที่มีฝาปิดครอบตัวกระป๋องใช้เก็บชาได้ดี หรือจะซื้อถ้ำชาที่ทำขายเป็นการเฉพาะก็ได้ พลาสติกเป็นสิ่งต้องห้ามของใบชา อย่าเก็บใบชาในกล่องหรือกระป๋องพลาสติก เพราะใบชาจะดูดกลิ่นพลาสติกเข้าไป ทำให้ใบชาเสียรส ขวดแก้วใสก็ไม่ควรนำมาใช้เก็บใบชา เพราะแสงแดดจะทำปฏิกิริยากับใบชา ทำให้กลิ่นหอมของชาเจือจางลง หากวางไว้ที่แสงแดดส่องแรงๆอาจทำให้ใบชามีกลิ่นแดดได้ กระบอกไม้ไผ่ กระบอกกระดาษแข็ง หรือกล่องไม้ที่ไม่มีกลิ่นและมีฝาปิดสนิท สามารถใช้เก็บใบชาได้ดี การเก็บใบชานั้นไม่ควรเก็บใบชาหลายชนิดปนไว้ในที่เดียวกัน และไม่ควรเก็บใบชาใกล้เครื่องหอมอื่นๆ เช่น แป้ง สบู่ น้ำหอม ลูกเหม็น ฯลฯ เพราะใบชาจะดูดกลิ่นเครื่องหอมเหล่านี้ นอกจากใบชาจะกลัวแดดแล้ว ยังไม่ควรเก็บไว้ในที่มีอุณหภูมิสูง เพราะจะทำให้ใบชาเปลี่ยนคุณสมบัติได้ง่าย ดังนั้น การเก็บใบชาให้คงคุณภาพนานๆจึงมีหลักสำคัญคือ ต้องไม่ให้ใบชาชื้นหรือโดนแสง โดนความร้อน และต้องไม่ให้ใบชาดูดซับกลิ่นอื่นๆไว้
ใบชาที่เหมาะแก่การเก็บคือใบชาประเภทชากึ่งหมัก จำพวกชาอู่หลง ชากวนอิมเหล็ก ชาอู๋อี๋ หรือชาหมัก จำพวกชาผูเอ่อ
ชาอูหลงที่เก็บเกี่ยวในฤดูหนาวจะมีกลิ่นหอมของน้ำผึ้ง เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงจะมีกลิ่นหอมของข้าว
สาลี และเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิจะมีกลิ่นหอมของผลไม้ หากเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูร้อน ไม่เหมาะจะเก็บไว้นานๆ หากจะซื้อชาอู่หลงตามฤดูมาเก็บ ที่เหมาะที่สุดคือชาอู่หลงฤดูใบไม้ร่วง เพราะราคาถูกกว่าชาอูหลงฤดูหนาวราวครึ่งหนึ่ง เมื่อเก็บรักษาไว้ให้ใบชาทำปฏิกิริยาโดยธรรมชาติ จะทำให้คุณภาพชาดีขึ้น
ชาเขียวเป็นชาไม่หมัก นิยมดื่มกันมากในประเทศญี่ปุ่น คุณสมบัติพิเศษของชาชนิดนี้คือ ให้น้ำชาสี
เหลืองอมเขียว มีกลิ่นและรสชัดเจนกว่าใบชาชนิดอื่น กล่าวกันว่าชาเขียวเป็นชาที่จีนผลิตมากที่สุด โดยจำหน่ายแพร่หลายไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก ว่ากันว่าจีนมีส่วนแบ่งการตลาดราวร้อยละ 70
ชาหลงจิ๋ง และชาปี้ลว๋อซุนที่เลื่องชื่อก็จัดอยู่ในประเภทชาเขียวเช่นกัน
สำหรับขั้นตอนการผลิตชาเขียว เมื่อเก็บเกี่ยวใบชาแล้ว ต้องนำไปผ่านกรรมวิธีทำให้กลิ่นเขียวของใบไม้เจือจาง จากนั้นจึงผ่านการนวด ขั้นตอนสุดท้าย คือทำให้ใบแห้ง เพื่อรักษาคุณสมบัติไว้ให้นาน จะเห็นได้ว่าขั้นตอนการผลิตชาเขียวไม่ต้องมีการหมัก การชงชาเขียวควรใช้ภาชนะที่เป็นแก้วหรือกระเบื้องเคลือบเช่นเดียวกับชามะลิ ถ้าใช้ป้านดินเผาไม่เคลือบควรเลือกป้านที่มีเนื้อดินแกร่ง
ชาอูหลงเป็นชาพันธุ์พิเศษพันธุ์หนึ่งของจีน มีหลักฐานชี้ชัดว่าแหล่งกำเนิดของชาพันธุ์นี้คือหมู่บ้าน
ฉ่าวหยางเชียง ที่ภูเขาลว๋อป๋าซาน อำเภอชาเสี้ยน มณฑลฝูเจี้ยน(ฮกเกี้ยน) ท้องถิ่นนี้เป็นเขาสูง หมอกปกคลุมทั้งปี อากาศเย็นชื้น ทิวทัศน์งดงาม ดินดี ไม่แห้งแล้ง ใบชาที่ปลูกจึงให้กลิ่นหอมพิเศษ ชาอูหลงเป็นชาที่นิยมแพร่หลายในไต้หวัน จัดอยู่ในประเภทชากึ่งหมัก ให้กลิ่นและรสนิ่มนวล ส่วนชากวนอิมเหล็ก (เถี่ยกวนอิมหรือทิกวงอิม) ที่คุ้นหูก็จัดอยู่ในตระกูลชาอูหลง แต่ชากวนอิมเหล็กถือกันว่าคือราชาของอูหลง หรือชาอูหลงชั้นดีนั่นเอง
ชากลิ่นดอกไม้ที่ดีต้องเป็นชาหลังฤดูใบไม้ร่วง เพราะจะมีคุณสมบัติดูดซับกลิ่นหอมของดอกไม้เป็นพิเศษ น้ำที่จะชงชาได้อร่อย ควรต้มด้วยไฟแรงๆ คือโหมไฟเร่งให้เดือดอย่างรวดเร็ว ความเดือดของน้ำที่เหมาะ สำหรับชงชา จะต้องเป็นน้ำที่มีพรายผุดขนาดดวงตาของปู จากนั้นต้มต่อไปกระทั่งน้ำเดือดพล่านเป็นพรายผุดขนาดดวงตาของปลา ถือเป็นน้ำที่เหมาะที่สุดสำหรับชงชา และต้องใช้น้ำที่สะอาดไม่ใช่น้ำกระด้าง
ในสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1279-1368) การดื่มชา มี 4 ลักษณะ
มีข้อห้ามสำคัญสำหรับการดื่มชาคือ
1. ไม่ควรดื่มชาในขณะกินยา
2. ไม่ควรดื่มชาก่อนนอนสำหรับผู้ที่นอนหลับยากหรือมีอาการนอนไม่หลับ
3. ไม่ควรดื่มชาที่ร้อนจัด
4. ไม่ควรดื่มชาที่ชงค้างคืนหรือชงนานหลายชั่วโมง
แม้น้ำชาจะมีสรรพคุณหลายประการ เช่น ช่วยให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย กระปรี้กระเปร่า ดับกระหายยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ยับยั้งการแข็งตัวของหลอดเลือด ละลายไขมันและคอเลสเทอ รอล ฯลฯ แต่สำหรับบางคน น้ำชากลับไม่ใช่เครื่องดื่มที่เหมาะสม และยังเกิดโทษต่อบุคคลนั้นได้ เช่น
1. ผู้ที่ไตทำงานบกพร่องหรือมีอาการไตวาย
2. ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้
3. เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ไม่ควรดื่มชา
4. สตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิด
5. สตรีระหว่างมีประจำเดือน สตรีระยะตั้งครรภ์ และแม่ลูกอ่อนที่ให้นมลูก
6. ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ
ข้อห้ามทั้ง 6 ประการนี้ควรถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะสามารถส่งผลเสียที่เห็นได้ชัดเจนในเวลาอัน รวดเร็ว และผลเสียต่อร่างกายนี้อาจสืบเนื่องยาวนานและร้ายแรง
ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านหนังสือเล่มนี้คือ จะมีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับตำนานชา ลักษณะใบชาและการเก็บรักษา ใบชา น้ำที่ใช้ชงชา รูปแบบการดื่มชา การเลือกป้านชา(กาชา) จอกชา คุณโทษของน้ำชา ร้านน้ำชายุคโบราณ-ยุคปัจจุบัน ตลอดจนเรื่องราวของชาที่เกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณี และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน
ชาวจีนมีคำกล่าวโบราณว่า สิ่งสำคัญของชีวิตนั้นมี 7 อย่าง คือ ฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู และชา ทั้งเจ็ดอย่างนี้สำคัญต่อการดำรงชีวิต เพราะล้วนเป็นสิ่งยังชีพทั้งนั้น ฟืนใช้เป็นเชื้อเพลิง ข้าวสาร น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู เป็นสิ่งสำคัญในการปรุงอาหาร ส่วนชาเป็นเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน จะเห็นได้ว่าชาวจีนให้ ความสำคัญกับชาเทียบเท่าอาหารเลยทีเดียว
จากการศึกษาวิเคราะห์ของนักพฤกษศาสตร์พบว่า ต้นชากำเนิดมาในโลกแล้วไม่ต่ำกว่า 60-70 ล้านปี ชาเป็นพืชยืนต้นประเภทมีใบเขียวตลอดปีต้นชาป่าที่ขึ้นตามธรรมชาติสูงถึง15-30เมตรสามารถมี อายุยืนยาวหลายร้อยปีจนกระทั่งถึงพันปี พื้นที่ที่เหมาะกับการปลูกชา คือบริเวณภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ภาคใต้ของจีน โดยเฉพาะบริเวณ มลฑลอวิ๋นหนาน ต่อเนื่องมาจนถึงภาคเหนือของประเทศไทย
คุณสมบัติของชาเกรดดี กำหนดไว้ว่า ต้องเป็นชาใบอ่อน คือส่วนที่เป็นยอดอ่อน 2-3 ใบโตและเต็มใบเก็บเกี่ยวอย่างพิถีพิถัน โดยไม่มีก้านแข็งๆปนมา การเก็บเกี่ยวใบชาเกรดดีจึงต้องใช้มือเด็ด ใบชาเกรดดีราคาแพงเน้นกันขนาดว่าต้องเป็นชาใบสองหรือใบสามที่เด็ดด้วยมือในยามเช้าก่อนใบชาจะต้องแดดกล้า
ชารสเลิศต้องเป็นชา “ชาวสันต์” กล่าวคือ เก็บในเวลาย่ำรุ่งฤดูใบไม้ผลิ แน่นอนชาเกรดนี้ต้องราคาแพงจัดเพราะต้นชาแต่ละต้นจะเก็บเกี่ยวยอดอ่อนเช่นนี้ได้เพียงน้อยนิด เหตุผลที่ต้องพิถีพิถันกันเช่นนี้ เพราะความแก่อ่อนของใบชามีผลต่อสี กลิ่น และรสชาติของน้ำชา การเน้นว่าต้องเก็บเกี่ยวตอนย่ำรุ่ง เพราะเป็นเวลาที่ใบชาสะอาด ไม่มีฝุ่นผง เนื่องจากผ่านการตากน้ำค้างมาทั้งคืน อีกทั้งฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงเวลาที่ใบชาแตกยอดอ่อน แมลงยังไม่มากัดกิน หากใบชามีการปนเปื้อนสารเคมีหรือยากำจัดแมลง นอกจากทำให้รสชาติเสียแล้ว ยังเป็นพิษต่อผู้ดื่มอีกด้วย
น้ำชงชาที่ดีต้องเป็นน้ำสะอาด ไม่มีกลิ่น สี และรสแปลกปลอม ที่สำคัญต้องไม่ใช่น้ำกระด้าง น้ำที่ใช้ชงควรต้มให้เดือดเต็มที่แล้วราไฟ อุณหภูมิน้ำที่เหมาะสมควรอยู่ในราว 90 องศาเซลเซียส ไม่ใช่น้ำที่เดือดพล่าน ต้นชาที่เราเห็นเป็นพุ่มเตี้ยในปัจจุบัน เกิดจากการตัดแต่งเพื่อความสะดวกในการเก็บเกี่ยวชา โดยทั่วไป มักตัดแต่งให้มีลำต้นสูงราว 0.8-1.2 เมตร และสามารถเก็บเกี่ยวได้นาน 50-60 ปี
พัฒนาการเกี่ยวกับชามีมายาวนานนับ 5,000-6,000 ปี มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรตั้งแต่ 200 ปี ก่อนศริสตกาลว่า ชาเป็นหนึ่งในยี่สิบตัวยาสำคัญและบันทึกของจีนโบราณเมื่อ 3,000 กว่าปี ก็มีหลักฐานแสดงว่า ชาวจีนรู้จักปลูกชาและใช้ประโยชน์จากชาเช่นกัน
จากสถิติการสำรวจพื้นที่ประเทศจีนในปัจจุบันพบว่า มีอยู่ 10 มณฑล ที่มีต้นชาป่าขึ้นเองตามธรรมชาติ และค้นพบต้นชาป่าขนาดยักษ์ในสถานที่ 198 แห่ง โดยเฉพาะมณฑลอวิ๋นหนาน แห่งเดียวมีการค้นพบต้นชาป่าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 เมตร จำนวน 10 ต้น
จากการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชา มีข้อมูลยืนยันว่า ใบชาเป็นสินค้าที่มีจำหน่ายในท้องตลาด ตั้งแต่ยุคฮั่นตะวันตกหรือฮั่นยุคแรก (เฉียนฮั่น) ประมาณ 200 ก่อนศริสต์ศักราช – คศ.7 ย่อมแสดงให้เห็นว่า ใบชาน่าจะเป็นสินค้าจำเป็นของชนชั้นกลางและคนระดับล่างโดยทั่วไป เดิมชาวจีนดื่มชาในฐานะเป็นยารักษาโรค โดยนำมาต้มเช่นเดียวกับสมุนไพรและเครื่องยาอื่นๆ ต่อมา พัฒนาเป็นเครื่องดื่มในชีวิตประจำวันของสามัญชน ก่อนกลายเป็นวัฒนธรรมและเครื่องดื่มสะท้อนรสนิยมของชนชั้นสูงในเวลาต่อมา
ตำนานเกี่ยวกับชาของจีนมีมากมาย ที่นำมาอ้างอิงมากที่สุดน่าจะเป็นตำนานเรื่องกษัตริย์ “เสินหนง”
ทรงทดลองเสวยพืชนานาชนิด แต่ละวันได้รับพิษ 72 ชนิด แต่ถอนพิษได้ด้วยใบชา หรือแม้แต่กษัตริย์เฉียนหลงซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในประวัติศาสตร์จีน ก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องชาเหมือนกัน การที่กษัตริย์เฉียนหลงทรงมีพระชนม์ยืนยาวถึง 88 พรรษานั้น กล่าวกันว่านอกจากใช้เครื่องบำรุงบำเรอทั้งหลายแล้ว การเสวยพระสุธารสชาและมีพระอารมณ์ขันก็เป็นสาเหตุสำคัญด้วย ครั้งหนึ่งกษัตริย์เฉียนหลงทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชน เมื่อเดินทางถึงเมืองหางโจว ทรงมีโอกาสเสวยชา “หลงจิ่ง” และรู้สึกพอพระทัยมาก จึงมีพระบัญชาให้ต้นชาทั้ง 18 ต้นนั้นเป็น “ชาพระราชทาน” (อวี้ฉา) ครั้นทรงลิ้มรส “จวินชานอิ๋มเจิน” ก็รับสั่งสรรเสริญไม่ขาดปาก พร้อมทั้งมีพระบัญชาให้ส่งชาต้นนี้เข้าวังถวายเป็นเครื่องบรรณาการปีละ 18 ชั่ง ที่เมืองฉงอาน มณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) ทรงได้ยินกิตติศัพท์ “เสื้อคลุมแดง”(ต้าหงผาว) ซึ่งมีตำนานเรื่องต้าหงผาว ดังนี้
ครั้งหนึ่งเกิดภัยแล้งขึ้นที่เขาอู๋อี๋ซาน ต้นไม้ใบหญ้าพากันแห้งตาย ผู้คนอดอยากยากเข็ญ แม่เฒ่าใจดีผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในเขาอู๋อี๋ซานได้ช่วยเหลือเซียนเฒ่าผู้หนี่ง เมื่อเซียนเฒ่าฟื้น จึงหยิบไม้เท้าของตนปักลงพื้นดิน ไม้นั้นก็งอกงามกลายเป็นต้นชา ต่อมากษัตริย์ทรงรู้เรื่องชาต้นนี้เข้า จึงถอนไปปลูกในพระราชอุทยาน แต่ชาวิเศษต้นนั้นกลับถอนตัวเองหวนกลับไปอยู่ที่เขาอู่อี๋ซานเหมือนเดิม
นักโบราณคดีค้นพบว่า มีการใช้ใบชาในพิธีศพตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยมีหลักฐานจากการขุดค้นสุสานหม่าหวางตุยที่ฉางซา มณทลหูหนาน พบใบชา 1 ลัง ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่าชนชั้นสูงในสมัยโบราณได้ใช้ใบชาเป็นเครื่องส่งวิญญาณด้วย
ประเพณีแต่งงานของชาวจีน มีความสัมพันธ์กับน้ำชาเป็นอย่างยิ่ง ในบันทึก “ชีชิวเล่ยก่าว” ของหลางอิง (ค.ศ. 1368-1843) ระบุว่า “ต้นชานั้นปลูกแล้วไม่เคลื่อนย้ายต้น เมื่อปลูกแล้วจักให้ผลแน่นอน การแต่งงานของคนโบราณจึงกำหนดให้ใช้ชาเป็นของสำคัญในงานพิธี โดยถือเอาความหมายของการปลูกโดยไม่ย้ายต้น” ประเพณีนี้จึงปฏิบัติสืบต่อทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นในขนบประเพณีการแต่งงานจึงใช้ชาเป็นของขวัญในงานพิธี โดยถือเอาความหมายแห่งหลักคุณธรรมเรื่องรักเดียวใจเดียว การไปเยี่ยมเยือนครอบครัวชาวจีน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวในเมืองไทย จีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง ใต้หวัน สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย มักจะได้รับการต้อนรับด้วยน้ำชา ในครอบครัวชาวจีนโบราณ ทุกเช้าบุตรหลานจะยกน้ำชาไปคารวะบิดามารดา ถือเป็นการทักทายหรือรายงานตัวและแสดงความกตัญญูรู้คุณบรรพบุรุษของลูกหลาน แม้เมื่อปู่ย่าตายาย บิดา มารดา ล่วงลับไปแล้ว ก็ยังคงปฏิบัติเช่นนี้ โดยคารวะน้ำชาหน้าแท่นบูชาบรรพบุรุษ
นอกจากชาจะเป็นเครื่องดื่มเพื่อเสพรสอันละเมียดหรือเป็นเครื่องดื่มดับกระหายแล้ว ยังเป็นเครื่องดื่มที่
ใช้ในธรรมเนียมปฏิบัติของชาวจีนด้วย ธรรมเนียมปฏิบัติในปัจจุบัน เมื่ออาคันตุกะมาเยือนก็จะจิบน้ำชากัน ธรรมเนียมนี้ปฏิบัติกันโดยทั่วไป
การรินน้ำชาต้อนรับแขกได้ครบคนในป้านชาเดียวกัน แฝงนัยเจ้าของบ้าน ให้เกียรติกับแขกเท่าเทียมกัน สุราเปี่ยมจอกคือการคารวะ น้ำชาเปี่ยมจอกคือการรังแกคน การรินน้ำชาให้แขกจึงควรรินเต็มจอกแต่พอควร ไม่ควรรินเต็มปริ่มจนล้นออกมา ทั้งนี้เพราะน้ำชาเปี่ยมจอกนั้นร้อนลวกมือ ยกจอกขึ้นดื่มยาก และมีโอกาสหกเลอะเทอะได้มาก แม้สุราจีนบางชนิดจะต้องอุ่นให้ร้อนเมื่อดื่ม แต่ก็ร้อนเพียงอุ่น ไม่ถึงกับลวกมือ นอกจากนี้น้ำชาที่เขารินให้ หากเราไม่ยกดื่มเลยก็เป็นการเสียมารยาท ในการรินน้ำชาต้อนรับแขกนั้น จะต้องรินให้แขกก่อน ห้ามรินน้ำชาให้ตนเองและครอบครัว โดยปล่อยจอกชาของแขกว่างเปล่า เพราะนั่นเป็นการไม่ให้เกียรติแขก จะต้องใช้น้ำที่ต้มจนเดือดแล้วมาชงชา การใช้น้ำต้มไม่เดือดไม่เพียงจะทำให้ใบชาไม่สามารถขับ กลิ่น สี และรสชาติ ได้เต็มที่ ยังเป็นการเสียมารยาท
ในงานเลี้ยงอาหาร น้ำชาที่เสิร์ฟก่อนอาหารควรเป็นชาอ่อนจำพวกชาเขียว หรือชามะลิ ส่วนชาหลังอาหารควรเป็นชารสเข้ม จำพวกอูหลง ชาผูเอ่อ หรือชากวนอิมเหล็ก ป้านชา(กาชา)ที่ถือว่าเป็นป้านชาชั้นดี ทำจากดินของเมืองอี๋ชิง มณทลเจียงชู มีชื่อรียกเฉพาะว่า “จื่อชาหู”หรือ ป้านจื่อชา โดยเรียกตามชื่อดินจื่อชา ซึ่งมีลักษณะเป็นดินสีม่วงแดง เนื้อละเอียด มีทรายปนเล็กน้อย ไม่อมน้ำ
คุณสมบัติสำคัญของดินจื่อชา นอกจากจะช่วยเก็บรักษากลิ่นและรสของน้ำชาได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังไม่ทำให้น้ำชาบูดง่าย เหมือนที่ชงจากป้านชนิดอื่น ป้านชาที่ดี ฝาต้องปิดสนิท พวยกาอยู่ในระดับพอดี เพราะเวลารินชา น้ำชาจะได้ไหลจากปลายพวยกาโดยไม่ไหลย้อน(พวยกา ที่จับ และฝาปิดต้องอยู่ในระนาบเดียวกัน)
ชาน้ำแรกไม่นิยมดื่มกัน ด้วยเชื่อว่ามีฝุ่นผงติดตามใบชา น้ำแรกนี้จึงรินล้างถ้วยชาอีกครั้งหนึ่ง ชาน้ำที่สองถือเป็นน้ำชาที่อร่อยที่สุด เพราะฝุ่น ผง ชะล้างไปในน้ำแรกแล้ว อีกทั้งใบชาก็ได้รับการกระตุ้นด้วยน้ำร้อนให้พองตัว พร้อมจะขับกลิ่น สี และรสชาติอย่างเต็มที่
ชาดอกไม้ ชามะลิ จะชงให้ได้กลิ่นและรสเต็มที่ ก็ต่อเมื่อใช้ภาชนะที่เป็นแก้ว หรือกระเบื้องเคลือบ ทั้งนี้เพราะแก้วหรือกระเบื้องเคลือบ จะรักษากลิ่นหอมของดอกไม้ไว้
ชาแดงหรือชากึ่งหมักนั้น เหมาะจะชงกับป้านดินเผาไม่เคลือบ โดยเฉพาะ ป้านจื่อชา ซึ่งถือว่าเป็นป้านชาชั้นดี เพราะดินจื่อชามีคุณสมบัติพิเศษ เก็บรักษาน้ำชาไม่ให้บูดเสียเร็ว
ชาจีน สามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆได้ 2 ประเภท คือชาหมักและชาไม่หมัก
ชาหมัก หมายถึง ชาที่ผ่านกรรมวิธีการหมักให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี
ชาไม่หมัก หมายถึง ชาที่ผ่านกรรมวิธีทำให้แห้ง
ชาหมักนั้น ให้สี กลิ่น และรสของน้ำชาเข้มข้นกว่าชาไม่หมัก ยิ่งผ่านการหมักนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งให้สีเข้มมากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งในการหมักใบชา ยังอาจผสมใบไม้ หรือดอกไม้ชนิดต่างๆ ที่ให้กลิ่นหอมเข้าไปด้วย ชาไม่หมัก จะผ่านกรรมวิธี ทำให้แห้ง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ชาเขียว” (ลวี่ฉา) นิยมดื่มมากในญี่ปุ่น เป็นชารสอ่อน น้ำชาจะมีสีเหลืองอมเขียว เมื่อชงชาใหม่ๆดมดู จะได้กลิ่นใบชาเป็นอย่างดี ชาเขียวที่ดีต้องให้น้ำชาที่ใส ไม่มีตะกอนหรือฝุ่นผงตกค้าง ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ หลงจิ่ง และปี้ลว๋อซุน ชาหมักโดยสมบรูณ์นั้น เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ชาแดง (หงฉา) เพราะน้ำชาจะมีสีออกแดง ให้รสชาติค่อนข้างจัดจ้าน ชาที่ใช้ทำชาเย็นก็จัดอยู่ในชาตระกูลนี้
ชากึ่งหมัก มีลักษณะคล้ายชาหมัก เพียงแต่ใช้เวลาหมักไม่นานเท่า ให้สี กลิ่นและรสเข้มข้นกว่าชาเขียว แต่เบาบางกว่าชาหมัก ชากึ่งหมักที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางน่าจะเป็นชาอูหลง ซึ่งชาอูหลงนี้ยังแยกย่อยออกเป็นชาหมักนาน ชาหมักปานกลาง และชาหมักน้อย
ชาหมักนาน จะให้สี และรสชาติที่เข้มข้นที่สุด น้ำชาจะออกสีน้ำตาลส้มหรือน้ำตาลแดง ชาหมักนานที่ดี น้ำชาจะใส ไม่ขุ่น หรือมีตะกอนฝุ่นผง อีกทั้งรสชาติต้องไม่ฝาดเฝื่อน หากสังเกตเวลาดื่มชาถุงจะรับรู้รสฝาดเฝื่อน เพระชาถุงทำจากเศษใบชาซึ่งมีทั้งใบชาแก่และก้านใบแข็งๆ เรียกว่าเป็นใบชาเกรดรองที่ไม่เต็มใบ จึงต้องนำมามาบดแล้วบรรจุถุงมิฉะนั้นจะไม่เป็นที่ต้องการของลูกค้า
ชาหมักปานกลาง ที่รู้จักกันทั่วไปคือ กวนอิมเหล็ก (เถี่ยกวนอิม) สุ่ยเซียน ตังติ่ง ให้น้ำชาสีน้ำตาล รสชาติเข้มข้นน้อยกว่าชาหมักนาน คุณสมบัติสำคัญคือ ทำให้ ชุ่มคอ ผู้รู้สอนว่า ชาที่มีคุณภาพดีในกลุ่มนี้จะเหลือความหอมและชุ่มคอแม้ดื่มน้ำชาไปแล้วครู่ใหญ่
สำหรับชาหมักน้อย หรือชาใส (ชิงฉา) จะให้น้ำชาสีเหลืองทอง
ใบชาที่ดีต้องแห้งสนิท ไม่มีกลิ่นไหม้ หรือกลิ่นแปลกปลอม จับแล้วแห้งกรอบ สามารถบี้ให้แหลกได้ ดูที่เป็นใบอ่อนใบใหญ่ๆ แม้จะเป็นใบชาแห้งที่ห่อตัวเป็นเม็ดก็พอดูรู้ได้ โดยดูให้ละเอียดว่าใบชานั้นชื้น จนเกิดเชื้อราบ้างไหม ใบชาที่หยุ่นๆไม่แห้งกรอบ บี้ให้แหลกไม่ได้ อาจเป็นใบชาที่ชื้นและขึ้นราได้ แต่ใช่ว่าใบชาที่มีขนสีขาวๆจะเป็นใบชาขึ้นราเสมอไป ใบชาอ่อนชั้นดีที่มีขนสีขาวละเอียดเป็นขนของใบ แยกแยะได้ด้วยการสัมผัสและดม ถ้ามีกลิ่นอับชื้นและลักษณะใบหยุ่นๆ มีทางเป็นไปได้มากว่าจะเป็นใบชาที่ขึ้นราแล้ว
คนที่ชอบดื่มชามะลิหรือชากลิ่นดอกไม้ มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งในการดูใบชาคือ ชามะลิหรือชากลิ่นดอกไม้ที่ดี ต้องเป็นใบชาที่มีดอกมะลิหรือกลีบดอกไม้ปนอยู่ในปริมาณน้อย ชาดีจะต้องมีสัดส่วนระหว่างใบชาและกลีบดอกไม้ที่เหมาะสม คือต้องมีดอกไม้ผสมไม่เกิน 1 ต่อ 3 ส่วน เพราะชาจะขับกลิ่นดอกไม้หรือดอกมะลิให้หอม และกลิ่นหอมนั้นจะกลับมาเพิ่มรสชาติน้ำชาอีกที
ภาชนะสำหรับบรรจุชาควรเป็นภาชนะที่ทึบแสงและมีฝาปิดสนิท กระป๋องโลหะที่มีฝาปิดครอบตัวกระป๋องใช้เก็บชาได้ดี หรือจะซื้อถ้ำชาที่ทำขายเป็นการเฉพาะก็ได้ พลาสติกเป็นสิ่งต้องห้ามของใบชา อย่าเก็บใบชาในกล่องหรือกระป๋องพลาสติก เพราะใบชาจะดูดกลิ่นพลาสติกเข้าไป ทำให้ใบชาเสียรส ขวดแก้วใสก็ไม่ควรนำมาใช้เก็บใบชา เพราะแสงแดดจะทำปฏิกิริยากับใบชา ทำให้กลิ่นหอมของชาเจือจางลง หากวางไว้ที่แสงแดดส่องแรงๆอาจทำให้ใบชามีกลิ่นแดดได้ กระบอกไม้ไผ่ กระบอกกระดาษแข็ง หรือกล่องไม้ที่ไม่มีกลิ่นและมีฝาปิดสนิท สามารถใช้เก็บใบชาได้ดี การเก็บใบชานั้นไม่ควรเก็บใบชาหลายชนิดปนไว้ในที่เดียวกัน และไม่ควรเก็บใบชาใกล้เครื่องหอมอื่นๆ เช่น แป้ง สบู่ น้ำหอม ลูกเหม็น ฯลฯ เพราะใบชาจะดูดกลิ่นเครื่องหอมเหล่านี้ นอกจากใบชาจะกลัวแดดแล้ว ยังไม่ควรเก็บไว้ในที่มีอุณหภูมิสูง เพราะจะทำให้ใบชาเปลี่ยนคุณสมบัติได้ง่าย ดังนั้น การเก็บใบชาให้คงคุณภาพนานๆจึงมีหลักสำคัญคือ ต้องไม่ให้ใบชาชื้นหรือโดนแสง โดนความร้อน และต้องไม่ให้ใบชาดูดซับกลิ่นอื่นๆไว้
ใบชาที่เหมาะแก่การเก็บคือใบชาประเภทชากึ่งหมัก จำพวกชาอู่หลง ชากวนอิมเหล็ก ชาอู๋อี๋ หรือชาหมัก จำพวกชาผูเอ่อ
ชาอูหลงที่เก็บเกี่ยวในฤดูหนาวจะมีกลิ่นหอมของน้ำผึ้ง เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงจะมีกลิ่นหอมของข้าว
สาลี และเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิจะมีกลิ่นหอมของผลไม้ หากเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูร้อน ไม่เหมาะจะเก็บไว้นานๆ หากจะซื้อชาอู่หลงตามฤดูมาเก็บ ที่เหมาะที่สุดคือชาอู่หลงฤดูใบไม้ร่วง เพราะราคาถูกกว่าชาอูหลงฤดูหนาวราวครึ่งหนึ่ง เมื่อเก็บรักษาไว้ให้ใบชาทำปฏิกิริยาโดยธรรมชาติ จะทำให้คุณภาพชาดีขึ้น
ชาเขียวเป็นชาไม่หมัก นิยมดื่มกันมากในประเทศญี่ปุ่น คุณสมบัติพิเศษของชาชนิดนี้คือ ให้น้ำชาสี
เหลืองอมเขียว มีกลิ่นและรสชัดเจนกว่าใบชาชนิดอื่น กล่าวกันว่าชาเขียวเป็นชาที่จีนผลิตมากที่สุด โดยจำหน่ายแพร่หลายไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก ว่ากันว่าจีนมีส่วนแบ่งการตลาดราวร้อยละ 70
ชาหลงจิ๋ง และชาปี้ลว๋อซุนที่เลื่องชื่อก็จัดอยู่ในประเภทชาเขียวเช่นกัน
สำหรับขั้นตอนการผลิตชาเขียว เมื่อเก็บเกี่ยวใบชาแล้ว ต้องนำไปผ่านกรรมวิธีทำให้กลิ่นเขียวของใบไม้เจือจาง จากนั้นจึงผ่านการนวด ขั้นตอนสุดท้าย คือทำให้ใบแห้ง เพื่อรักษาคุณสมบัติไว้ให้นาน จะเห็นได้ว่าขั้นตอนการผลิตชาเขียวไม่ต้องมีการหมัก การชงชาเขียวควรใช้ภาชนะที่เป็นแก้วหรือกระเบื้องเคลือบเช่นเดียวกับชามะลิ ถ้าใช้ป้านดินเผาไม่เคลือบควรเลือกป้านที่มีเนื้อดินแกร่ง
ชาอูหลงเป็นชาพันธุ์พิเศษพันธุ์หนึ่งของจีน มีหลักฐานชี้ชัดว่าแหล่งกำเนิดของชาพันธุ์นี้คือหมู่บ้าน
ฉ่าวหยางเชียง ที่ภูเขาลว๋อป๋าซาน อำเภอชาเสี้ยน มณฑลฝูเจี้ยน(ฮกเกี้ยน) ท้องถิ่นนี้เป็นเขาสูง หมอกปกคลุมทั้งปี อากาศเย็นชื้น ทิวทัศน์งดงาม ดินดี ไม่แห้งแล้ง ใบชาที่ปลูกจึงให้กลิ่นหอมพิเศษ ชาอูหลงเป็นชาที่นิยมแพร่หลายในไต้หวัน จัดอยู่ในประเภทชากึ่งหมัก ให้กลิ่นและรสนิ่มนวล ส่วนชากวนอิมเหล็ก (เถี่ยกวนอิมหรือทิกวงอิม) ที่คุ้นหูก็จัดอยู่ในตระกูลชาอูหลง แต่ชากวนอิมเหล็กถือกันว่าคือราชาของอูหลง หรือชาอูหลงชั้นดีนั่นเอง
ชากลิ่นดอกไม้ที่ดีต้องเป็นชาหลังฤดูใบไม้ร่วง เพราะจะมีคุณสมบัติดูดซับกลิ่นหอมของดอกไม้เป็นพิเศษ น้ำที่จะชงชาได้อร่อย ควรต้มด้วยไฟแรงๆ คือโหมไฟเร่งให้เดือดอย่างรวดเร็ว ความเดือดของน้ำที่เหมาะ สำหรับชงชา จะต้องเป็นน้ำที่มีพรายผุดขนาดดวงตาของปู จากนั้นต้มต่อไปกระทั่งน้ำเดือดพล่านเป็นพรายผุดขนาดดวงตาของปลา ถือเป็นน้ำที่เหมาะที่สุดสำหรับชงชา และต้องใช้น้ำที่สะอาดไม่ใช่น้ำกระด้าง
ในสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1279-1368) การดื่มชา มี 4 ลักษณะ
- หมิงฉา วิธีการดื่มและชงชาใกล้เคียงรูปแบบปัจจุบัน เริ่มจากเก็บใบชาอ่อนมาทำให้แห้ง ขจัดกลิ่นเหม็นเขียวของใบไม้สด จากนั้นนำมาชงหรือต้ม
- ม่อจื่อฉา เริ่มจากเก็บใบชามาอบแห้ง จากนั้นนำไปบดเป็นผง แต่ไม่อัดเป็นแผ่น นำไปเก็บรักษาในรูปชาผง ชาชนิดนี้มีลักษณะคล้ายคลึงชาญี่ปุ่น
- หมาวฉา เป็นการผสมผลไม้แห้งจำพวก วอลนัท ลูกสน งา เกาลัด ผลชิ่ง เข้าไปในชา ชาลักษณะนี้ค่อนไปในทางใช้กินมากกว่าดื่ม
- ล่าฉา คือชาที่ผ่านกรรมวิธี บีบอัดให้เป็นแผ่น ซึ่งมีขั้นตอนยุ่งยากสิ้นเปลืองทั้งแรงงานและต้นทุน เป็นชายอดนิยมในราชสำนักสมัยราชวงศ์ซ่ง ต่อมากษัตริย์จูหยวนจาง (ค.ศ.1328-1398) ต้นราชวงศ์หมิง ได้ประกาศยกเลิกการทำชาด้วยวิธีนี้ในปี ค.ศ.1391 และยกเลิกการส่งส่วยล่าฉาเข้าถวายต่อราชสำนัก เพราะจูหยวนจางกำเนิดจากสามัญชน จึงพลอยรับรู้และเข้าใจความทุกข์ยากในการทำล่าฉาถวายราชสำนัก
- คุณสมบัติของชา คือช่วยให้อารมณ์แจ่มใส จิตใจกระชุ่มกระชวย ช่วยขับเหงื่อและขับปัสสาวะ
มีข้อห้ามสำคัญสำหรับการดื่มชาคือ
1. ไม่ควรดื่มชาในขณะกินยา
2. ไม่ควรดื่มชาก่อนนอนสำหรับผู้ที่นอนหลับยากหรือมีอาการนอนไม่หลับ
3. ไม่ควรดื่มชาที่ร้อนจัด
4. ไม่ควรดื่มชาที่ชงค้างคืนหรือชงนานหลายชั่วโมง
แม้น้ำชาจะมีสรรพคุณหลายประการ เช่น ช่วยให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย กระปรี้กระเปร่า ดับกระหายยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ยับยั้งการแข็งตัวของหลอดเลือด ละลายไขมันและคอเลสเทอ รอล ฯลฯ แต่สำหรับบางคน น้ำชากลับไม่ใช่เครื่องดื่มที่เหมาะสม และยังเกิดโทษต่อบุคคลนั้นได้ เช่น
1. ผู้ที่ไตทำงานบกพร่องหรือมีอาการไตวาย
2. ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้
3. เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ไม่ควรดื่มชา
4. สตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิด
5. สตรีระหว่างมีประจำเดือน สตรีระยะตั้งครรภ์ และแม่ลูกอ่อนที่ให้นมลูก
6. ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ
ข้อห้ามทั้ง 6 ประการนี้ควรถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะสามารถส่งผลเสียที่เห็นได้ชัดเจนในเวลาอัน รวดเร็ว และผลเสียต่อร่างกายนี้อาจสืบเนื่องยาวนานและร้ายแรง
คู่มือนักส่งเสริมเกษตรอินทรีย์
เขียนโดย วิฑูรย์ ปัญญากุล
องค์ประกอบและกลยุทธ์งานส่งเสริม ประกอบด้วย ปัจจัยและองค์ประกอบในการปรับเปลี่ยนที่เกิดจากแรงผลักดัน แรงบันดาลใจ จูงใจ ภาระหนี้สิน ที่อยู่อาศัย การปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตรวมไปจนถึงประสบการณ์ของเกษตรกร และปัจจัยด้านกลยุทธ์การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ คือ มีกระบวนการในงานส่งเสริม รูปแบบกิจกรรมต่างๆไม่ว่าจะเป็นความรู้ ทั้งวิชาการและปฏิบัติให้แก่เกษตรกร
องค์กรเกษตรกรกับงานส่งเสริม สิ่งสำคัญคือ องค์กรเกษตรกร ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มมีหลักการร่วมกัน คือการมีอุดมการณ์ร่วมกัน มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ร่วมกัน รวมไปจนถึงมีผลประโยชน์ มีบุคลากร (คน) การบริหารจัดการ ทำกิจกรรมร่วมกัน และงบประมาณ
ดังนั้นถ้ามีองค์กรงานเกษตร+งานส่งเสริม หนุนเสริมกิจกรรมดังกล่าวมานี้สามารถบ่งบอกตัวชี้วัดแนวทางงานพัฒนาองค์กรหรือชุมชนนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นความรู้พื้นฐานชุมชนด้านปัจจัยการผลิต คน ตลาด กระบวนการ ผลทางธุรกิจและสังคม
การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม คือการเรียนรู้แบบองค์รวมเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ในลักษณะที่ไม่เป็นทางการเท่าไหร่ มีความทัดเทียมระหว่างผู้จัดการเรียนรู้และผู้เรียนรู้ เช่นเจ้าหน้าที่ส่งเสริมคือผู้จัดการเรียนรู้โดยวิธีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างเกษตรกรด้วยกันเอง มีพื้นฐานที่สำคัญคือ เกษตรกรผู้รู้/แหล่งเรียนรู้/บทบาทนักส่งเสริม/นักวิชาการ/หลักสูตรการเรียนรู้/กระบวนการศึกษา/การพบปะ/สื่อ/การสร้างกระบวนการกลุ่ม
เจ้าหน้าที่ส่งเสริมกับบทบาทผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ ประกอบด้วยสถานที่แวดล้อมที่เหมาะแก่การเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรม กระบวนการแลกเปลี่ยน จับประเด็น สรุปประเด็นและหัวใจสำคัญของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมคือ มีคุณสมบัติของผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ มีทักษะพื้นฐานความรู้โดยเฉพาะเรื่องเกษตร มีทีมผู้จัดกระบวนเช่น วิทยากร การทำงานในลักษณะเป็นทีม บทบาทเสริมอื่นๆที่แตกต่างกันไป
เครื่องมือกระบวนการและกิจกรรม อย่างเช่นการบรรยาย คือสื่ออย่างหนึ่งส่วนมากจะเป็นรูปแบบของงานสัมมนาอบรมที่มีเวลาจำกัด การศึกษาดูงานก็เป็นวิธีในการช่วยกระตุ้นความสนใจให้เกษตรกรได้เป็นอย่างดี รวมไปจนถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แบ่งกลุ่มย่อย การสาธิตให้เกษตรกรได้เห็นวิธีการขั้นตอนปฏิบัติจริงและได้เห็นถึงผลของการที่ได้ปฏิบัติจริงจากการใช้ปัจจัยการผลิตนั้นๆ
เตรียมกระบวนการเรียนรู้และกิจกรรม ประกอบด้วยผู้เข้าร่วม กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะร่วมกระบวนการ การเตรียมเนื้อหาข้อมูลที่ครอบคลุมที่ต้องการให้กลุ่มเป้าหมายได้เรียนรู้ กำหนดกระบวนการ สถานที่ การจัดสถานที่และการจัดการปัญหาที่จะเกิดในการจัดกระบวนการเรียนรู้
กระบวนการงานส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ มีการสำรวจชุมชน เตรียมกลุ่มผู้ผลิต เพื่อเป็นฐานข้อมูลของชุมชน และเป็นแนวทางด้านการผลิต การตลาด การเงิน หลังจากนั้นก็มีการวางแผนโครงการและสร้างกิจกรรมงานส่งเสริมตามแผนโครงการที่กำหนดไว้และการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์รวมไปจนถึงการรับซื้อผลผลิต
สิ่งสำคัญในงานส่งเสริมเกษตรอินทรีย์
องค์ประกอบและกลยุทธ์งานส่งเสริม ประกอบด้วย ปัจจัยและองค์ประกอบในการปรับเปลี่ยนที่เกิดจากแรงผลักดัน แรงบันดาลใจ จูงใจ ภาระหนี้สิน ที่อยู่อาศัย การปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตรวมไปจนถึงประสบการณ์ของเกษตรกร และปัจจัยด้านกลยุทธ์การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ คือ มีกระบวนการในงานส่งเสริม รูปแบบกิจกรรมต่างๆไม่ว่าจะเป็นความรู้ ทั้งวิชาการและปฏิบัติให้แก่เกษตรกร
องค์กรเกษตรกรกับงานส่งเสริม สิ่งสำคัญคือ องค์กรเกษตรกร ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มมีหลักการร่วมกัน คือการมีอุดมการณ์ร่วมกัน มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ร่วมกัน รวมไปจนถึงมีผลประโยชน์ มีบุคลากร (คน) การบริหารจัดการ ทำกิจกรรมร่วมกัน และงบประมาณ
ดังนั้นถ้ามีองค์กรงานเกษตร+งานส่งเสริม หนุนเสริมกิจกรรมดังกล่าวมานี้สามารถบ่งบอกตัวชี้วัดแนวทางงานพัฒนาองค์กรหรือชุมชนนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นความรู้พื้นฐานชุมชนด้านปัจจัยการผลิต คน ตลาด กระบวนการ ผลทางธุรกิจและสังคม
การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม คือการเรียนรู้แบบองค์รวมเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ในลักษณะที่ไม่เป็นทางการเท่าไหร่ มีความทัดเทียมระหว่างผู้จัดการเรียนรู้และผู้เรียนรู้ เช่นเจ้าหน้าที่ส่งเสริมคือผู้จัดการเรียนรู้โดยวิธีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างเกษตรกรด้วยกันเอง มีพื้นฐานที่สำคัญคือ เกษตรกรผู้รู้/แหล่งเรียนรู้/บทบาทนักส่งเสริม/นักวิชาการ/หลักสูตรการเรียนรู้/กระบวนการศึกษา/การพบปะ/สื่อ/การสร้างกระบวนการกลุ่ม
เจ้าหน้าที่ส่งเสริมกับบทบาทผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ ประกอบด้วยสถานที่แวดล้อมที่เหมาะแก่การเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรม กระบวนการแลกเปลี่ยน จับประเด็น สรุปประเด็นและหัวใจสำคัญของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมคือ มีคุณสมบัติของผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ มีทักษะพื้นฐานความรู้โดยเฉพาะเรื่องเกษตร มีทีมผู้จัดกระบวนเช่น วิทยากร การทำงานในลักษณะเป็นทีม บทบาทเสริมอื่นๆที่แตกต่างกันไป
เครื่องมือกระบวนการและกิจกรรม อย่างเช่นการบรรยาย คือสื่ออย่างหนึ่งส่วนมากจะเป็นรูปแบบของงานสัมมนาอบรมที่มีเวลาจำกัด การศึกษาดูงานก็เป็นวิธีในการช่วยกระตุ้นความสนใจให้เกษตรกรได้เป็นอย่างดี รวมไปจนถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แบ่งกลุ่มย่อย การสาธิตให้เกษตรกรได้เห็นวิธีการขั้นตอนปฏิบัติจริงและได้เห็นถึงผลของการที่ได้ปฏิบัติจริงจากการใช้ปัจจัยการผลิตนั้นๆ
เตรียมกระบวนการเรียนรู้และกิจกรรม ประกอบด้วยผู้เข้าร่วม กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะร่วมกระบวนการ การเตรียมเนื้อหาข้อมูลที่ครอบคลุมที่ต้องการให้กลุ่มเป้าหมายได้เรียนรู้ กำหนดกระบวนการ สถานที่ การจัดสถานที่และการจัดการปัญหาที่จะเกิดในการจัดกระบวนการเรียนรู้
กระบวนการงานส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ มีการสำรวจชุมชน เตรียมกลุ่มผู้ผลิต เพื่อเป็นฐานข้อมูลของชุมชน และเป็นแนวทางด้านการผลิต การตลาด การเงิน หลังจากนั้นก็มีการวางแผนโครงการและสร้างกิจกรรมงานส่งเสริมตามแผนโครงการที่กำหนดไว้และการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์รวมไปจนถึงการรับซื้อผลผลิต
สิ่งสำคัญในงานส่งเสริมเกษตรอินทรีย์
- ต้องมีบุคลากร(เจ้าหน้าที่ส่งเสริม)ที่มีความรู้ ในเรื่องเกษตร
- มีพื้นที่เกษตร/องค์กร/กลุ่ม/เกษตรกรที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน
สิ่งที่ชุมชนได้รับ
ได้องค์ความรู้ที่เกิดจากงานส่งเสริม ทั้งในส่วน เจ้าหน้าที่ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์และเกษตรกรผู้ปฎิบัติ จนสามรถนำไปใช้ประโยชน์ในชุมชนนั้นๆได้ประสบผลสำเร็จจริงและนำไปสู่ความยั่งยืนในระบบแบบแผนของเกษตรอินทรีย์สู่เกษตรกรรมยั่งยืน
ลูกอีสาน
เขียนโดย คำพูน บุญทวี
หนังสือเรื่องลูกอีสานเล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคนอีสานในสมัยที่ยังขาดความเจริญทางวัตถุทุกๆ ด้าน ความแห้งแล้งทางดินฟ้าอากาศ ความอดอยากดิ้นร้นเพื่อความอยู่รอดทางสังคมและครอบครัว ในสมัยนั้นผู้เขียนเองยังเป็นเด็กเล็กเพิ่งรู้เดียงสา ทุกคนในครอบครัวต้องช่วยกันหาอยู่หากิน (ภาษาอีสาน) ไม่ว่าจะเป็นการหาปลา เพื่อนำมาทำเป็นปลาแห้ง, ปลาส้ม, ปลาร้า (ปลาแดก) เพื่อเก็บไว้บริโภคในฤดูที่แห้งแล้งขาดน้ำ ในฤดูกาลที่ฝนไม่ตก นอกจากนี้ยังเก็บไว้เพื่อแลกเปลี่ยน เกลือ น้ำตาลกรวด (น้ำตาลอ้อย) ในสมัยนั้นเงินทองแทบจะหาไม่ได้เลย ไม่มีการจ้างแรงงานในหมู่บ้าน เงินก็เลยดูแทบจะไม่มีความหมายสำหรับความเป็นอยู่ในชุมชนบ้านนอก ในฤดูฝนชาวอีสานพากันทำไร่ทำนา ใช้ควาย (กระบือ) ไถนา ชาวนายังไม่รู้จักปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงใดๆ ทั้งสิ้น ทำนาแต่พอกิน ไม่มีคนรับซื้อข้าว นอกเหนือฤดูฝนจะไม่มีการทำไร่อย่างอื่นอีก หลังทำนาเสร็จ เด็กๆ จะพากันไปจับกะปอม (กิ่งกา) และพากันไปจับแย้ มาทำเป็นอาหาร เช่น ก้อยแย้ ก้อยกะปอง เป็นอาหารที่สุดยอดในปัจจุบัน และยังมีอีกมากมายหลายอย่างที่ชาวบ้านชาวอีสานหามาเพื่อมาทำเป็นอาหาร เช่น ลาบนกคุ่ม, อ่อมพังพอน, คั่วงูสิง, อ่อมหนู ฯลฯ สารพัดสารสารเพที่ชาวอีสานนำมาประกอบเป็นอาหารเพื่อเลี้ยงชีพ
ในสมัยนั้นความสะดวกสบายเครื่องใช้ไม้สอยหายากนัก ความเจริญไม่มีเลย ไม่มีโรงเรียนประชาบาล จะมีก็แต่โรงเรียนวัดที่มีพระเป็นครูสอน พออ่านออกเขียนได้ ส่วนมาเด็กจะอยู่บ้านช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน ความอดอยากความแห้งแล้งมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ชาวบ้านบางส่วนต้องพากันย้ายบ้าน ไปทำมาหากินถิ่นอื่นที่มีความอุดมสมบูรณ์กว่า ดั่งคำอีสานที่เล่าต่อกันมาว่า “ดินดำน้ำชุ่ม ปลากุ่มบ้อน คือแข่แก่งหาง” แต่ในที่สุดธรรมชาติก็ไม่เคยละทิ้งผู้ที่ทุกข์ยากตรากตรำกรำแดดอย่างชาวนา พอถึงฤดูกาลทำนาก็ดลบันดาลให้ฟ้าหลังฝนเพื่อให้ชาวนาและชาวโลกได้มีอาหาร มีข้าวกินตลอด ดังนั้น ชาวนาอีสานจึงมีบุญคุณที่อุตสาห์ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ตรากตรำทำนาเพื่อเลี้ยงคนส่วนมาของประเทศ
หนังสือเรื่องลูกอีสานสอนให้ผู้ที่ได้อ่าน มีความสำนึกถึงบรรพบุรุษของคนอีสานที่อดทนต่อความยากลำบากมาแต่โบราณ ตั้งแต่การทำไร่ทำนา สร้างบ้านสร้างชุมชน ตั้งแต่สังคมเล็กๆ จนเป็นสังคมที่ใหญ่โต มีความเจริญแทบจะทุกด้าน สอนให้รู้จักกับความขยันหมั่นเพียรในการทำงาน และสอนให้ผู้อ่านรู้จักรักถิ่นฐานบ้านเกิดมากยิ่งขึ้น
หนังสือเรื่องลูกอีสานเล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคนอีสานในสมัยที่ยังขาดความเจริญทางวัตถุทุกๆ ด้าน ความแห้งแล้งทางดินฟ้าอากาศ ความอดอยากดิ้นร้นเพื่อความอยู่รอดทางสังคมและครอบครัว ในสมัยนั้นผู้เขียนเองยังเป็นเด็กเล็กเพิ่งรู้เดียงสา ทุกคนในครอบครัวต้องช่วยกันหาอยู่หากิน (ภาษาอีสาน) ไม่ว่าจะเป็นการหาปลา เพื่อนำมาทำเป็นปลาแห้ง, ปลาส้ม, ปลาร้า (ปลาแดก) เพื่อเก็บไว้บริโภคในฤดูที่แห้งแล้งขาดน้ำ ในฤดูกาลที่ฝนไม่ตก นอกจากนี้ยังเก็บไว้เพื่อแลกเปลี่ยน เกลือ น้ำตาลกรวด (น้ำตาลอ้อย) ในสมัยนั้นเงินทองแทบจะหาไม่ได้เลย ไม่มีการจ้างแรงงานในหมู่บ้าน เงินก็เลยดูแทบจะไม่มีความหมายสำหรับความเป็นอยู่ในชุมชนบ้านนอก ในฤดูฝนชาวอีสานพากันทำไร่ทำนา ใช้ควาย (กระบือ) ไถนา ชาวนายังไม่รู้จักปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงใดๆ ทั้งสิ้น ทำนาแต่พอกิน ไม่มีคนรับซื้อข้าว นอกเหนือฤดูฝนจะไม่มีการทำไร่อย่างอื่นอีก หลังทำนาเสร็จ เด็กๆ จะพากันไปจับกะปอม (กิ่งกา) และพากันไปจับแย้ มาทำเป็นอาหาร เช่น ก้อยแย้ ก้อยกะปอง เป็นอาหารที่สุดยอดในปัจจุบัน และยังมีอีกมากมายหลายอย่างที่ชาวบ้านชาวอีสานหามาเพื่อมาทำเป็นอาหาร เช่น ลาบนกคุ่ม, อ่อมพังพอน, คั่วงูสิง, อ่อมหนู ฯลฯ สารพัดสารสารเพที่ชาวอีสานนำมาประกอบเป็นอาหารเพื่อเลี้ยงชีพ
ในสมัยนั้นความสะดวกสบายเครื่องใช้ไม้สอยหายากนัก ความเจริญไม่มีเลย ไม่มีโรงเรียนประชาบาล จะมีก็แต่โรงเรียนวัดที่มีพระเป็นครูสอน พออ่านออกเขียนได้ ส่วนมาเด็กจะอยู่บ้านช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน ความอดอยากความแห้งแล้งมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ชาวบ้านบางส่วนต้องพากันย้ายบ้าน ไปทำมาหากินถิ่นอื่นที่มีความอุดมสมบูรณ์กว่า ดั่งคำอีสานที่เล่าต่อกันมาว่า “ดินดำน้ำชุ่ม ปลากุ่มบ้อน คือแข่แก่งหาง” แต่ในที่สุดธรรมชาติก็ไม่เคยละทิ้งผู้ที่ทุกข์ยากตรากตรำกรำแดดอย่างชาวนา พอถึงฤดูกาลทำนาก็ดลบันดาลให้ฟ้าหลังฝนเพื่อให้ชาวนาและชาวโลกได้มีอาหาร มีข้าวกินตลอด ดังนั้น ชาวนาอีสานจึงมีบุญคุณที่อุตสาห์ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ตรากตรำทำนาเพื่อเลี้ยงคนส่วนมาของประเทศ
หนังสือเรื่องลูกอีสานสอนให้ผู้ที่ได้อ่าน มีความสำนึกถึงบรรพบุรุษของคนอีสานที่อดทนต่อความยากลำบากมาแต่โบราณ ตั้งแต่การทำไร่ทำนา สร้างบ้านสร้างชุมชน ตั้งแต่สังคมเล็กๆ จนเป็นสังคมที่ใหญ่โต มีความเจริญแทบจะทุกด้าน สอนให้รู้จักกับความขยันหมั่นเพียรในการทำงาน และสอนให้ผู้อ่านรู้จักรักถิ่นฐานบ้านเกิดมากยิ่งขึ้น
สร้างงานมัลติมีเดียเพื่อการนำเสนออย่างมืออาชีพ
เขียนโดย ชาลี กาญจนรัตน์
จำนวน 208 หน้า
สื่อมัลติมีเดียเป็นสื่อที่มีภาพและเสียงเป็นองค์ประกอบสำคัญ สื่อที่ไร้เสียงจะดูจืดชืดไร้ชีวิตชีวา ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าหัวใจของการผลิตสื่อมัลติมีเดียก็คือเสียงนั่นเอง รายละเอียดในบทเริ่มแรกของหนังสื่อนี้จึงให้ความรู้เรื่องการบันทึกเสียงก่อนและตามด้วยขั้นตอนการสร้างงานนำเสนอ
ขบวนการบันทึกเสียงแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. แบบอะนาล็อก (Analog sound recording system) เป็นแบบดังเดิม ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้วจนถึงเลิกใช้ไปแล้ว เมื่อเทียบกับการบันทึกเสียงแบบดิจิตอล ตัดต่อยากต้องใช้เครื่องมือและบุคคลากรที่มีความรู้เฉพาะค่าใช้จ่ายจึงสูง Mic(ไมโครโฟน) Tape recorder (เครื่องบันทึกเสียง) Cassett Tape (เทปเสียง)
2.แบบดิจิตอล ( Digital Sound Recording ) โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมสำหรับการบันทึกเสียง เช่น Sound Recorder ของไมโครซอฟต์, Adobe Audition 2.0 เป็นต้น ซึ่งการบันทึกเสียงแบบดิจิตอลนี้ทำง่าย ดัดแปลง ตกแต่ง ตัดต่อ เพิ่มเสียงดนตรีเป็นพื้นหลังได้ ปรับปรุงแก้ไขไฟล์เสียงได้
Mic(ไมโครโฟน) Digital recorder (โปรแกรมคอมพิวเตอร์) Audio file (.MP3 .WAV)
เรื่องของไฟล์เสียง (Audio file)
- .CDA (CD-Audio) Sampling Rate 44,100 Hz เป็นไฟล์มาตรฐานเสียงคุณภาพที่ดีเป็นธรรมชาติ อยู่ในแผ่น CD เพลงที่ค่ายเพลงต่างๆ ทำขาย เมื่อนำมาใช้กับเครื่องคอมฯ จะมองเห็นข้อมูลเสียงในรูป Audio Track
- .WAV ข้อดีใช้กับโปรแกรมมัลติมีเดียได้ทุกประเภท ข้อเสียมีขนาดไฟล์ใหญ่ ตามการตั้งค่า Sampling Rate
- .MP3, .MP4 เป็นไฟล์ที่ผ่านการเข้ารหัสเพื่อบีบอัดให้มีขนาดเล็ก คุณภาพเสียงก็จะต่ำไปด้วย
- .WMV, .WMA เป็นไฟล์เสียงที่ได้จาก Window Media Audio ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า .mp3 และ .ra ในที่ขนาดของไฟล์เล็กกว่าประมาณครึ่งหนึ่ง ปัจจุบันมีโปรแกรมหลายโปรแกรมที่สามารถเล่นไฟล์นี้ได้
- .RA ใช้สำหรับชมภาพและเสียงบนอินเตอร์เน็ต โดยไม่ต้องรอให้การดาวน์โหลดข้อมูลเสร็จสิ้น
- .OGG คล้ายๆ mp3 แต่ไม่นิยมใช้เพราะเป็นไฟล์เสียงใหม่คนยังไม่ค่อยรู้จัก ใช้เทคโนโลยีบีบอัดแบบใหม่ มีขนาดไฟล์เล็กกว่าและให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า mp3
อุปกรณ์การบันทึกเสียงแบบดิจิตอลทั่วไปมี 2 ประเภท
- Microphone Dynamic Microphone อาศัยการทำงานของขดลวดผ่านสนามแม่เหล็กเพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ดี ข้อเสียมีความไวต่ำ จะต้องพูดใกล้ๆ ไมโครโฟนมีชนิดที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือไมโครโฟนชนิดไดนามิก (Dynamic) ซึ่งจะให้เสียงดีกว่า ดังนั้นจึงจะต้องใช้อะแดปเตอร์แจ็ค ( Adapter Jack) ใช้สำหรับต่อแจ็คไมค์ขนาดใหญ่ให้เป็นขนาดเล็กเพื่อให้สามารถเสียบเข้าของไมค์ของซาวการ์ดได้
- Elected Condenser Microphone ราคาถูกกว่าเริ่มต้นตั้งแต่ร้อยบาท ใช้กับคอมพิวเตอร์ ตัวแจ็คออกแบบให้ทำงานอาศัยหลักของประจุไฟฟ้า ช่องเสียบเดียวกันไมค์จะเป็นสีชมพูหรือแดงซึ่งเป็นสีมาตรฐาน ( ช่องสีเขียวเสียบลำโพง สีฟ้าช่อง Line in เสียบอุปกรณ์ต่อพ่วง เช่น เครื่องผสมสัญญาณเสียง (Mixer) ซึ่งจะช่วยให้เสียงที่บันทึกได้มีคุณภาพดีขึ้น (ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร)
หนังสือนี้ให้รายละเอียดพร้อมภาพประกอบต่อในเรื่องการต่อหรือเสียบสายสัญญาณต่างๆ วิธีการต่อสายไมโครโฟนผ่านเครื่องผสมสัญญาณเสียง เพื่อให้เราสามารถลงมือปฏิบัติได้จริง การกำหนดสัญญาณขาเข้าสำหรับการบันทึกเสียงจากไมโครโฟน การเพิ่มความแรงของสัญญาณไมโครโฟน และการกำหนดสัญญาณขาเข้าสำหรับการบันทึกเสียงจากเรื่องผสมสัญญาณเสียง
คำแนะนำที่ควรนำมาปรับใช้
- เสียงดนตรีที่ใช้ประกอบเสียงบรรยายควรมีความดังน้อยกว่าเสียงบรรยาย
- เสียงดนตรีที่เลือกใช้ควรเป็นเสียงบรรเลง แต่ไม่ได้เป็นข้อกำหนดตายตัว บางครั้งอาจเลือกดนตรีที่มีเสียงร้องด้วยก็ได้ ไม่ผิดกติกาแต่ประการใด
- ควรบันทึกเสียงบรรบายและเสียงดนตรีไว้ล่วงหน้าก่อนทำงานผสมเสียง โดยบันทึกไว้ในรูปแบบไฟล์ที่มีนาสกุลเป็น .wav
- การเพิ่มดนตรีเข้ามาในเสียงบรรยายไม่ทำให้ขนาดไฟล์เพิ่มขึ้น แต่จะช่วยเพิ่มสีสันให้กับงานที่ใช้ไฟล์เสียงนั้น ทำให้ชิ้นงานนั้นน่าสนใจมีชีวิตชีวา
- การเลือกรูปแบบ ( Format ) และองค์ประกอบ (Attributes) ของไฟล์เสียงควรพิจารณาให้เหมาะสมกับงานที่จะนำไปใช้ ดังนี้
o คุณภาพเสียงดีมาก เลือกรูปแบบเป็น PCM (Wave Files : WAV) เลือกองค์ประกอบเป็น CD Quality (44,100 kHz, 16 Bit, Stereo)
o คุณภาพเสียงพอใช้ได้ เลือกรูปแบบเป็น PCM (Wave Files : WAV) เลือกองค์ประกอบเป็น Radio Quality (22,050 kHz, 8 Bit, Mono)
o ประหยัดเนื้อที่ ใช้หน่วยความจำน้อยที่สุด เลือกรูปแบบเป็น MPEG Layer-3 (MP3 Files : MP3) เลือกองค์ประกอบเป็น 56 kBit/s (24,000 kHz, 8 Bit, Mono)
- ถ้าต้องการบันทึกเสียงบรรยายพร้อมเสียงดนตรีประกอบโดยตรงก็สามารถทำได้โดยการเลือก Input เป็น Stereo Mix หรือ What U Hear (ขึ้นอยู่กับประเภทซาวด์การ์ด) แล้วบันทึกโดยการเปิดเพลงจากแผ่นซีดีรอม พร้อมกับการบรรยายโดยใช้ไมโครโฟน การปรับระดับเสียงในการบันทึกจะต้องปรับจาก Volume Control
- โปรแกรม Sound Recorder สามารถบันทึกเสียงในรูปแบบไฟล์ .mp3 ได้ โดยที่ไฟล์ .mp3 สามารถนำไปใส่ไว้ในเอกสาร Microsoft Word หรือ Power Point ก็ได้ (ไฟล์ .mp3 ที่สร้างจากโปรแกรมอื่นๆ จะไม่สามารถนำมาใช้กัน Sound Recorder, Microsoft Word หรือ Power Point ได้)
การสร้างงานมัลติมีเดียแบบมืออาชีพนี้ให้ขั้นตอนการเรียนรู้ไว้ทั้งหมด 7 บท จากบทที่ 4 ไปจะเป็นตัวอย่างการปฏิบัติจริงด้วยรูปภาพประกอบโดยใช้งานแต่ละโปรแกรม คือ การบันทึกเสียงแบบดิจิตอลโดยใช้โปรแกรม About Audition 2.0, การสร้างงานนำเสนอโดยใช้โปรแกรม ProShow Glod 2.6 เนื้อหาในเรื่องการใส่ภาพและปรับแต่งเสียง การปรับเวลาให้ภาพและเสียงตรงกัน การใส่ Motion Effect การสร้าง Output File เป็น .EXE, VCD และ DVD การสร้างงานนำเสนอแบบ Music Slide Show พร้อมตัวอย่างการนำเสนอ, การสร้างงานนำเสนอและสื่อการสอนแบบมัลติมีเดีย โดยใช้โปรแกรม Camtasia Studio 4.0, การผลิตสื่อมัลติมีเดียประเภทวีดีโอ โดยใช้โปรแกรม Ulead VideoStudio 10
สิ่งที่ได้จากการอ่าน
ความเพลิดเพลินที่ตอบสนองความอยากรู้ความสนใจส่วนตัว ต่อยอดความรู้เดิมๆ ให้ชัดเจนขึ้นความรู้เรื่องการบันทึกเสียงแบบดิจิตอลมาประยุกต์ใช้ในการผลิตสื่อมัลติมีเดีย ถ้าเราได้ลองผลิตชิ้นงานขึ้นมาบ้างก็จะช่วยพัฒนาความเข้าใจจากหนังสือนี้ได้มากขึ้น ทั้งในด้านทฤษฏีและปฏิบัติ เนื้อหาบางตอนในหนังสือนี้อาจจะเข้าใจยากบ้างเพราะเราไม่คุ้นชินกับชื่อเรียก และการสรุปเนื้อหาข้างบนนี้อาจจะเข้าใจยากบ้างสำหรับเพื่อนที่ยังไม่สนใจในเรื่องนี้ ท้ายที่สุดหนังสือเล่มนี้ให้ความรู้พร้อมภาพประกอบดีมาก ซึ่งบวกกับการยื่นข้อเสนอโปรแกรมการทำงานให้เราเลือกใช้ นี้เป็นวัตถุประสงค์ร่วมในการเขียนหนังสือด้านนี้ โดยเป็นหนึ่งในหลายๆ วิธีที่ที่ให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจศึกษาทดลองและใช้งานจริง
จำนวน 208 หน้า
สื่อมัลติมีเดียเป็นสื่อที่มีภาพและเสียงเป็นองค์ประกอบสำคัญ สื่อที่ไร้เสียงจะดูจืดชืดไร้ชีวิตชีวา ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าหัวใจของการผลิตสื่อมัลติมีเดียก็คือเสียงนั่นเอง รายละเอียดในบทเริ่มแรกของหนังสื่อนี้จึงให้ความรู้เรื่องการบันทึกเสียงก่อนและตามด้วยขั้นตอนการสร้างงานนำเสนอ
ขบวนการบันทึกเสียงแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. แบบอะนาล็อก (Analog sound recording system) เป็นแบบดังเดิม ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้วจนถึงเลิกใช้ไปแล้ว เมื่อเทียบกับการบันทึกเสียงแบบดิจิตอล ตัดต่อยากต้องใช้เครื่องมือและบุคคลากรที่มีความรู้เฉพาะค่าใช้จ่ายจึงสูง Mic(ไมโครโฟน) Tape recorder (เครื่องบันทึกเสียง) Cassett Tape (เทปเสียง)
2.แบบดิจิตอล ( Digital Sound Recording ) โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมสำหรับการบันทึกเสียง เช่น Sound Recorder ของไมโครซอฟต์, Adobe Audition 2.0 เป็นต้น ซึ่งการบันทึกเสียงแบบดิจิตอลนี้ทำง่าย ดัดแปลง ตกแต่ง ตัดต่อ เพิ่มเสียงดนตรีเป็นพื้นหลังได้ ปรับปรุงแก้ไขไฟล์เสียงได้
Mic(ไมโครโฟน) Digital recorder (โปรแกรมคอมพิวเตอร์) Audio file (.MP3 .WAV)
เรื่องของไฟล์เสียง (Audio file)
- .CDA (CD-Audio) Sampling Rate 44,100 Hz เป็นไฟล์มาตรฐานเสียงคุณภาพที่ดีเป็นธรรมชาติ อยู่ในแผ่น CD เพลงที่ค่ายเพลงต่างๆ ทำขาย เมื่อนำมาใช้กับเครื่องคอมฯ จะมองเห็นข้อมูลเสียงในรูป Audio Track
- .WAV ข้อดีใช้กับโปรแกรมมัลติมีเดียได้ทุกประเภท ข้อเสียมีขนาดไฟล์ใหญ่ ตามการตั้งค่า Sampling Rate
- .MP3, .MP4 เป็นไฟล์ที่ผ่านการเข้ารหัสเพื่อบีบอัดให้มีขนาดเล็ก คุณภาพเสียงก็จะต่ำไปด้วย
- .WMV, .WMA เป็นไฟล์เสียงที่ได้จาก Window Media Audio ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า .mp3 และ .ra ในที่ขนาดของไฟล์เล็กกว่าประมาณครึ่งหนึ่ง ปัจจุบันมีโปรแกรมหลายโปรแกรมที่สามารถเล่นไฟล์นี้ได้
- .RA ใช้สำหรับชมภาพและเสียงบนอินเตอร์เน็ต โดยไม่ต้องรอให้การดาวน์โหลดข้อมูลเสร็จสิ้น
- .OGG คล้ายๆ mp3 แต่ไม่นิยมใช้เพราะเป็นไฟล์เสียงใหม่คนยังไม่ค่อยรู้จัก ใช้เทคโนโลยีบีบอัดแบบใหม่ มีขนาดไฟล์เล็กกว่าและให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า mp3
อุปกรณ์การบันทึกเสียงแบบดิจิตอลทั่วไปมี 2 ประเภท
- Microphone Dynamic Microphone อาศัยการทำงานของขดลวดผ่านสนามแม่เหล็กเพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ดี ข้อเสียมีความไวต่ำ จะต้องพูดใกล้ๆ ไมโครโฟนมีชนิดที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือไมโครโฟนชนิดไดนามิก (Dynamic) ซึ่งจะให้เสียงดีกว่า ดังนั้นจึงจะต้องใช้อะแดปเตอร์แจ็ค ( Adapter Jack) ใช้สำหรับต่อแจ็คไมค์ขนาดใหญ่ให้เป็นขนาดเล็กเพื่อให้สามารถเสียบเข้าของไมค์ของซาวการ์ดได้
- Elected Condenser Microphone ราคาถูกกว่าเริ่มต้นตั้งแต่ร้อยบาท ใช้กับคอมพิวเตอร์ ตัวแจ็คออกแบบให้ทำงานอาศัยหลักของประจุไฟฟ้า ช่องเสียบเดียวกันไมค์จะเป็นสีชมพูหรือแดงซึ่งเป็นสีมาตรฐาน ( ช่องสีเขียวเสียบลำโพง สีฟ้าช่อง Line in เสียบอุปกรณ์ต่อพ่วง เช่น เครื่องผสมสัญญาณเสียง (Mixer) ซึ่งจะช่วยให้เสียงที่บันทึกได้มีคุณภาพดีขึ้น (ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร)
หนังสือนี้ให้รายละเอียดพร้อมภาพประกอบต่อในเรื่องการต่อหรือเสียบสายสัญญาณต่างๆ วิธีการต่อสายไมโครโฟนผ่านเครื่องผสมสัญญาณเสียง เพื่อให้เราสามารถลงมือปฏิบัติได้จริง การกำหนดสัญญาณขาเข้าสำหรับการบันทึกเสียงจากไมโครโฟน การเพิ่มความแรงของสัญญาณไมโครโฟน และการกำหนดสัญญาณขาเข้าสำหรับการบันทึกเสียงจากเรื่องผสมสัญญาณเสียง
คำแนะนำที่ควรนำมาปรับใช้
- เสียงดนตรีที่ใช้ประกอบเสียงบรรยายควรมีความดังน้อยกว่าเสียงบรรยาย
- เสียงดนตรีที่เลือกใช้ควรเป็นเสียงบรรเลง แต่ไม่ได้เป็นข้อกำหนดตายตัว บางครั้งอาจเลือกดนตรีที่มีเสียงร้องด้วยก็ได้ ไม่ผิดกติกาแต่ประการใด
- ควรบันทึกเสียงบรรบายและเสียงดนตรีไว้ล่วงหน้าก่อนทำงานผสมเสียง โดยบันทึกไว้ในรูปแบบไฟล์ที่มีนาสกุลเป็น .wav
- การเพิ่มดนตรีเข้ามาในเสียงบรรยายไม่ทำให้ขนาดไฟล์เพิ่มขึ้น แต่จะช่วยเพิ่มสีสันให้กับงานที่ใช้ไฟล์เสียงนั้น ทำให้ชิ้นงานนั้นน่าสนใจมีชีวิตชีวา
- การเลือกรูปแบบ ( Format ) และองค์ประกอบ (Attributes) ของไฟล์เสียงควรพิจารณาให้เหมาะสมกับงานที่จะนำไปใช้ ดังนี้
o คุณภาพเสียงดีมาก เลือกรูปแบบเป็น PCM (Wave Files : WAV) เลือกองค์ประกอบเป็น CD Quality (44,100 kHz, 16 Bit, Stereo)
o คุณภาพเสียงพอใช้ได้ เลือกรูปแบบเป็น PCM (Wave Files : WAV) เลือกองค์ประกอบเป็น Radio Quality (22,050 kHz, 8 Bit, Mono)
o ประหยัดเนื้อที่ ใช้หน่วยความจำน้อยที่สุด เลือกรูปแบบเป็น MPEG Layer-3 (MP3 Files : MP3) เลือกองค์ประกอบเป็น 56 kBit/s (24,000 kHz, 8 Bit, Mono)
- ถ้าต้องการบันทึกเสียงบรรยายพร้อมเสียงดนตรีประกอบโดยตรงก็สามารถทำได้โดยการเลือก Input เป็น Stereo Mix หรือ What U Hear (ขึ้นอยู่กับประเภทซาวด์การ์ด) แล้วบันทึกโดยการเปิดเพลงจากแผ่นซีดีรอม พร้อมกับการบรรยายโดยใช้ไมโครโฟน การปรับระดับเสียงในการบันทึกจะต้องปรับจาก Volume Control
- โปรแกรม Sound Recorder สามารถบันทึกเสียงในรูปแบบไฟล์ .mp3 ได้ โดยที่ไฟล์ .mp3 สามารถนำไปใส่ไว้ในเอกสาร Microsoft Word หรือ Power Point ก็ได้ (ไฟล์ .mp3 ที่สร้างจากโปรแกรมอื่นๆ จะไม่สามารถนำมาใช้กัน Sound Recorder, Microsoft Word หรือ Power Point ได้)
การสร้างงานมัลติมีเดียแบบมืออาชีพนี้ให้ขั้นตอนการเรียนรู้ไว้ทั้งหมด 7 บท จากบทที่ 4 ไปจะเป็นตัวอย่างการปฏิบัติจริงด้วยรูปภาพประกอบโดยใช้งานแต่ละโปรแกรม คือ การบันทึกเสียงแบบดิจิตอลโดยใช้โปรแกรม About Audition 2.0, การสร้างงานนำเสนอโดยใช้โปรแกรม ProShow Glod 2.6 เนื้อหาในเรื่องการใส่ภาพและปรับแต่งเสียง การปรับเวลาให้ภาพและเสียงตรงกัน การใส่ Motion Effect การสร้าง Output File เป็น .EXE, VCD และ DVD การสร้างงานนำเสนอแบบ Music Slide Show พร้อมตัวอย่างการนำเสนอ, การสร้างงานนำเสนอและสื่อการสอนแบบมัลติมีเดีย โดยใช้โปรแกรม Camtasia Studio 4.0, การผลิตสื่อมัลติมีเดียประเภทวีดีโอ โดยใช้โปรแกรม Ulead VideoStudio 10
สิ่งที่ได้จากการอ่าน
ความเพลิดเพลินที่ตอบสนองความอยากรู้ความสนใจส่วนตัว ต่อยอดความรู้เดิมๆ ให้ชัดเจนขึ้นความรู้เรื่องการบันทึกเสียงแบบดิจิตอลมาประยุกต์ใช้ในการผลิตสื่อมัลติมีเดีย ถ้าเราได้ลองผลิตชิ้นงานขึ้นมาบ้างก็จะช่วยพัฒนาความเข้าใจจากหนังสือนี้ได้มากขึ้น ทั้งในด้านทฤษฏีและปฏิบัติ เนื้อหาบางตอนในหนังสือนี้อาจจะเข้าใจยากบ้างเพราะเราไม่คุ้นชินกับชื่อเรียก และการสรุปเนื้อหาข้างบนนี้อาจจะเข้าใจยากบ้างสำหรับเพื่อนที่ยังไม่สนใจในเรื่องนี้ ท้ายที่สุดหนังสือเล่มนี้ให้ความรู้พร้อมภาพประกอบดีมาก ซึ่งบวกกับการยื่นข้อเสนอโปรแกรมการทำงานให้เราเลือกใช้ นี้เป็นวัตถุประสงค์ร่วมในการเขียนหนังสือด้านนี้ โดยเป็นหนึ่งในหลายๆ วิธีที่ที่ให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจศึกษาทดลองและใช้งานจริง
คุณค่าผักพื้นบ้านในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน เรื่องราวเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่
เขียนโดย นาถพงค์ พัฒนพันธ์ชัย และ
สมใจ สิงห์สา
หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมกรณีศึกษาของเกษตรกร ที่ผลิตพืชผักพื้นบ้าน เพื่อเลี้ยงตนเอง ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบการผลิตเพื่อบริโภคภายในครอบครัว หรือการผลิตเพื่อสร้างรายได้ให้กับตนเอง และคุณจะพบว่า พืชพื้นบ้านนับเป็นของขวัญที่ธรรมชาติมอบให้กับเรามาช้านาน ไม่ว่าจะใช้เป็นอาหาร เป็นยารักษาโรค เป็นที่อยู่อาศัย เป็นร่มเงาให้ความสวยงาม การทำเกษตรที่ผ่านมาเราไม่เคยต้องใช้เงินในการซื้อหาเมล็ดพันธุ์มาปลูก ในอดีตเกษตกรมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในเมล็ดพันธุ์น้อยมาก เพราะส่วนใหญ่ก็จะเก็บรักษาเมล็ดพันธ์ไว้ใช้กันเองในท้องถิ่น ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างคนในชุมชน ซึ่งใครมีเมล็ดพันธุ์อะไรก็จะเก็บรักษาพันธุ์นั้นไว้ใช้ต่อ ๆ ไป และที่สำคัญพืชพื้นบ้านยังมีความทนทานต่อโรคและแมลงได้เป็นอย่างนี้ เพราะการเกษตรที่ผ่านไม่จำเป็นต้องพึ่งสารเคมีและปุ๋ยมากมายเท่ากับการปลูกพืชพันธุ์ปรับปรุงในปัจจุบัน
หลากหลายประสบการณ์อันทรงคุณค่าไม่ว่าจะเป็น ผักหอมเป ที่สร้างรายได้ประจำให้กับครอบครัวหนึ่งได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ผักแป้น “ไม่มีโรคไม่มีแมลง ไม่ต้องฉีดยา ปลูกได้ทั้งปี นับว่าเป็นผักที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง” พร้อมกันนี้ยังมีเทคนิดการปลูกและดูแลผักแป้นที่แสนง่าย หากไม่เชื่อก็ต้องอ่านดูแล้วจะรู้ว่า ผักแป้นปลูกก็ง่าย ขายก็คล่องจริง ๆ ข่าแดง ออกหน่อทั้งปี ไม่เหมือนข่าชนิดอื่น ๆ ที่ออกเฉพาะหน้าฝน จึงทำให้สามารถสร้างรายได้เลี้ยงตนเองได้ตลอดปี และการดูแลก็ไม่ได้เรื่องมากอย่างที่คิด ในนี้ยังรวบรวมเทคนิดการปลูก การดูแล การเก็บเกี่ยวไว้ให้แล้วเสร็จ บวมเหลี่ยม สามารถให้ผลผลิตได้อย่างสม่ำเสมอ เพียงแค่รดน้ำก็จะแตกเครือใหม่ให้ผลผลิตได้ ซึ่งต่างจากบวมทั่วไปที่ให้ผลได้ชั่วคราว จึงเป็นพืชที่ปลูกง่ายและใครก็ปลูกได้ ไม่ต้องใช้เทคนิดพิเศษอะไร แค่รดน้ำบ้างก็เก็บผลได้แล้ว ถั่วฝักยาว พันธุ์พื้นเมืองที่โด่งดังในวงการบันเทิง “ถั่วศรราม” ถั่วพันธุ์พื้นบ้าน ที่ปลูกในหน้าฝนจะเจริญเติบโตได้ดี ไม่ต้องดูแลมาก และปลูกได้ทุกสภาพอากาศ แต่ห้ามปลูกใต้ร่มไม้ เพราะจะไม่เป็นฝัก และว่ากันว่าขายงานจนไม่ต้องไปถึงตลาดก็หมดได้ ผักชีลาว ปลูกง่าย ไม่มีโรคแมลง ไม่เป็นเพลี้ย ไม่ต้องดูแลมาก เทคนิคอันละเล็กละน้อยในการดูแลผักชีลาว คือ ดินปลูกควรเป็นดินร่วนปนทราย มีความชื้นพอดี เพราะหากชื้นมากผักจะเหลือง แห้งเกินไปผักจะไม่งาม ชอบแสงแดด พริกขาว ปลูกอย่างผสมผสาน เกื้อกูลผักอื่น ๆ ในแปลง เพราะกลิ่นของพริกที่ปลูกเป็นการป้องกันศัตรูพืชให้ผักอื่นไปด้วยในตัว
นอกเหนือจากพันธุ์พืชพื้นบ้านที่ปลูกง่ายแล้ว ยังมืเทคนิคในการดูแลพืชแบบต่าง ๆ หลากหลายวิธี ที่ได้มีการทดลองใช้แล้วประสบผลสำเร็จ โดยที่เราไม่ต้องมาลองผิดลองถูกเอง ก็ประมาณว่าเรียนรู้จากประสบการณ์ผู้อื่นมาเป็นครูของเราเอง เห็นผลจริง การเขียนก็ง่ายต่อการทำความเข้าใจ สำหรับคนปลูกพืชไม่เป็นแล้ว หากได้อ่านแล้วทำความเข้าใจแล้วหล่ะก้อบอกได้เลย ปลูกผักพื้นบ้านง่ายนิดเดียว ยังไม่หมดเท่านั้น ในหนังสือเล่มนี้ยังมีเมนูอาหารที่ทำจากผักพื้นบ้านและยังมีคุณค่าทางโภชนาการให้เรา ๆ ได้รู้อีกนะ ต้องบอกว่าเขาเขียนได้ดีจริง ๆ
สมใจ สิงห์สา
หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมกรณีศึกษาของเกษตรกร ที่ผลิตพืชผักพื้นบ้าน เพื่อเลี้ยงตนเอง ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบการผลิตเพื่อบริโภคภายในครอบครัว หรือการผลิตเพื่อสร้างรายได้ให้กับตนเอง และคุณจะพบว่า พืชพื้นบ้านนับเป็นของขวัญที่ธรรมชาติมอบให้กับเรามาช้านาน ไม่ว่าจะใช้เป็นอาหาร เป็นยารักษาโรค เป็นที่อยู่อาศัย เป็นร่มเงาให้ความสวยงาม การทำเกษตรที่ผ่านมาเราไม่เคยต้องใช้เงินในการซื้อหาเมล็ดพันธุ์มาปลูก ในอดีตเกษตกรมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในเมล็ดพันธุ์น้อยมาก เพราะส่วนใหญ่ก็จะเก็บรักษาเมล็ดพันธ์ไว้ใช้กันเองในท้องถิ่น ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างคนในชุมชน ซึ่งใครมีเมล็ดพันธุ์อะไรก็จะเก็บรักษาพันธุ์นั้นไว้ใช้ต่อ ๆ ไป และที่สำคัญพืชพื้นบ้านยังมีความทนทานต่อโรคและแมลงได้เป็นอย่างนี้ เพราะการเกษตรที่ผ่านไม่จำเป็นต้องพึ่งสารเคมีและปุ๋ยมากมายเท่ากับการปลูกพืชพันธุ์ปรับปรุงในปัจจุบัน
หลากหลายประสบการณ์อันทรงคุณค่าไม่ว่าจะเป็น ผักหอมเป ที่สร้างรายได้ประจำให้กับครอบครัวหนึ่งได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ผักแป้น “ไม่มีโรคไม่มีแมลง ไม่ต้องฉีดยา ปลูกได้ทั้งปี นับว่าเป็นผักที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง” พร้อมกันนี้ยังมีเทคนิดการปลูกและดูแลผักแป้นที่แสนง่าย หากไม่เชื่อก็ต้องอ่านดูแล้วจะรู้ว่า ผักแป้นปลูกก็ง่าย ขายก็คล่องจริง ๆ ข่าแดง ออกหน่อทั้งปี ไม่เหมือนข่าชนิดอื่น ๆ ที่ออกเฉพาะหน้าฝน จึงทำให้สามารถสร้างรายได้เลี้ยงตนเองได้ตลอดปี และการดูแลก็ไม่ได้เรื่องมากอย่างที่คิด ในนี้ยังรวบรวมเทคนิดการปลูก การดูแล การเก็บเกี่ยวไว้ให้แล้วเสร็จ บวมเหลี่ยม สามารถให้ผลผลิตได้อย่างสม่ำเสมอ เพียงแค่รดน้ำก็จะแตกเครือใหม่ให้ผลผลิตได้ ซึ่งต่างจากบวมทั่วไปที่ให้ผลได้ชั่วคราว จึงเป็นพืชที่ปลูกง่ายและใครก็ปลูกได้ ไม่ต้องใช้เทคนิดพิเศษอะไร แค่รดน้ำบ้างก็เก็บผลได้แล้ว ถั่วฝักยาว พันธุ์พื้นเมืองที่โด่งดังในวงการบันเทิง “ถั่วศรราม” ถั่วพันธุ์พื้นบ้าน ที่ปลูกในหน้าฝนจะเจริญเติบโตได้ดี ไม่ต้องดูแลมาก และปลูกได้ทุกสภาพอากาศ แต่ห้ามปลูกใต้ร่มไม้ เพราะจะไม่เป็นฝัก และว่ากันว่าขายงานจนไม่ต้องไปถึงตลาดก็หมดได้ ผักชีลาว ปลูกง่าย ไม่มีโรคแมลง ไม่เป็นเพลี้ย ไม่ต้องดูแลมาก เทคนิคอันละเล็กละน้อยในการดูแลผักชีลาว คือ ดินปลูกควรเป็นดินร่วนปนทราย มีความชื้นพอดี เพราะหากชื้นมากผักจะเหลือง แห้งเกินไปผักจะไม่งาม ชอบแสงแดด พริกขาว ปลูกอย่างผสมผสาน เกื้อกูลผักอื่น ๆ ในแปลง เพราะกลิ่นของพริกที่ปลูกเป็นการป้องกันศัตรูพืชให้ผักอื่นไปด้วยในตัว
นอกเหนือจากพันธุ์พืชพื้นบ้านที่ปลูกง่ายแล้ว ยังมืเทคนิคในการดูแลพืชแบบต่าง ๆ หลากหลายวิธี ที่ได้มีการทดลองใช้แล้วประสบผลสำเร็จ โดยที่เราไม่ต้องมาลองผิดลองถูกเอง ก็ประมาณว่าเรียนรู้จากประสบการณ์ผู้อื่นมาเป็นครูของเราเอง เห็นผลจริง การเขียนก็ง่ายต่อการทำความเข้าใจ สำหรับคนปลูกพืชไม่เป็นแล้ว หากได้อ่านแล้วทำความเข้าใจแล้วหล่ะก้อบอกได้เลย ปลูกผักพื้นบ้านง่ายนิดเดียว ยังไม่หมดเท่านั้น ในหนังสือเล่มนี้ยังมีเมนูอาหารที่ทำจากผักพื้นบ้านและยังมีคุณค่าทางโภชนาการให้เรา ๆ ได้รู้อีกนะ ต้องบอกว่าเขาเขียนได้ดีจริง ๆ
สามก๊ก
ศูนย์เกษตรอินทรีย์ จ.ยโสธร
มีเพื่อนพ้องน้องพี่หลายคนบอกเล่าและชวนให้อ่านสามก๊ก ก็ยืมอ่านบ้าง วางบ้างตามอัธยาศัย... แต่ก็ยังไม่เคยยอมซื้ออ่านสักที เพราะราคาแพง จนหลานสาวอายุสิบสี่อ่านจบแล้วหลายรอบ บอกว่าชอบจูล่งมากจนใช้นามปากกาว่า “สุภาพบุรุษแห่งเสียงสาน” ในการเริ่มเขียนหนังสือ มาชวนอ่านและชวนคุยเรื่องราวต่างๆ ในสามก๊ก และคุณวิชัย พิมพ์ทอง ก็บอกว่าสามก๊กเป็นหนังสือที่อยากอ่านมากที่สุด ปีนี้เผอิญไปเดินดูหนังสือเจอตอนที่เขาลดราคา 20 เปอร์เซ็นต์ และเป็นหนังสือฉบับแปลใหม่ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เลยคิดว่าต้องซื้ออ่านอย่างจริงจังเสียที ฉบับที่อ่านครั้งนี้เป็นฉบับแปลใหม่ โดย วรรณไว พัธโนทัย แปลจากต้นฉบับภาษาจีนของหลอกว้านจง ที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมส่วนที่ผิดและส่วนที่ขาดหายไป ของฉบับที่แปลโดยเจ้าพระยาพระคลังหน อ่านแล้วรู้สึกว่าต้องตั้งใจศึกษาแง่มุมและข้อคิดหลายด้านจากสามก๊ก ก็อยากเชิญชวนให้ลองอ่านดู มีคำกล่าวที่ว่า “ดูหนัง ดูละคร แล้วกลับมาย้อนดูตัว” เมื่ออ่านวรรณกรรมแล้วก็น่าจะย้อนมองตนด้วยเช่นกัน
เรื่องย่อสามก๊ก (www.wikipedia.org/wiki/สามก๊ก) เป็นเรื่องตอนที่แผ่นดินจีนแบ่งแยกออกเป็นสามก๊กใหญ่ๆ นับตั้งแต่ สมัยพระเจ้าเลนเต้ กษัตริย์ราชวงศ์ฮั่น ครองราชเมื่อ พ.ศ. 711 พระเจ้าเลนเต้เป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอ ไม่สนพระทัยที่จะบริหารบ้านเมืองมัวแต่แสวงหาความสุขสำราญส่วนพระองค์ ปล่อยให้ขันทีทั้งสิบว่าราชการตามความพอใจ จนขุนนางและประชาชนได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว พระเจ้าเลนเต้มีโอรสสองพระองค์ต่างชนนีกัน จึงเป็นเหตุให้เกิดความยุ่งยากในการสืบราชสมบัติ ครั้นพระเจ้าเลนเต้สิ้นพระชนม์ โอรสองค์ใหญ่คือ หองจูเปียน ซึ่งขณะนั้นยังทรงพระเยาว์อยู่ได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ต่อมา โดยมีนางโฮเฮาพระมารดาเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่ในราชสำนักก็ยังวุ่นวายจากพวกขันทีทั้งสิบอยู่ โฮจิ๋นพี่ชายของนางโฮเฮา จึงเชิญตั๋งโต๊ะมาช่วยกำจัดพวกขันที
เมื่อเหตุการณ์เรียบร้อยเป็นปกติแล้ว ตั๋งโต๊ะก็ยึดอำนาจถอดถอนหองจูเปียงออก โดยให้เอาสุราผสมยาพิษกรอกจนสิ้นพระชนม์ จากนั้นก็สถาปนาหองจูเหียบขึ้นเป็นกษัตริย์ มีพระนามว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วตั๋งโต๊ะก็ตั้งตนเป็นพระมหาอุปราช มีฐานะเป็นบิดาบุญธรรมของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถืออำนาจบาทใหญ่กระทำการทุจริต พวกขุนนางทั้งหลายจึงคิดที่จะกำจัด ตั๋งโต๊ะ แต่ก็ไม่สำเร็จ จนอ้องอุ้นได้วางแผนส่งนางเตียวเสี้ยน ซึ่งเป็นบุตรสาวบุญธรรมไปเป็นภรรยาตั๋งโต๊ะ ให้นางใช้อุบายและมารยาหญิงทำให้ตั๋งโต๊ะผิดใจกับลิโป้ผู้เป็นทหารเอก จนกระทั่งลิโป้ฆ่าตั๋งโต๊ะตาย แต่อ้องอุ้นก็ไม่สามารถจัดการบ้านเมืองให้เรียบร้อยได้ ในที่สุดอ้องอุ้นก็ถูกลิฉุยกับกุยกีพรรคพวกของตั๋งโต๊ะฆ่า แล้วลิฉุยกับกุยกีก็บังคับพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่ใต้อำนาจ มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการบริหารบ้านเมือง พระเจ้าเหี้ยนเต้คับแค้นใจมากจึงมีรับสั่ง เรียกโจโฉมาช่วยกำจัด ลิฉุย กุยกี และพรรคพวก โจโฉยึดอำนาจในเมืองหลวงไว้ได้แล้วกำเริบ ตั้งตนเองเป็นมหาอุปราชควบคุมพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่ใต้อำนาจ ข่มเหงพวกขุนนางที่สุจริตและเหล่าราษฎร พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงใช้พระโลหิตเขียนหนังสือลับไปขอร้องให้ขุนนางที่จงรักภักดีช่วยกำจัดโจโฉแต่ถูกโจโฉจับได้ ขุนนางเหล่านั้นก็ถูกฆ่าตายหมดแม้แต่นางฮกเฮาพระมเหสีของพระองค์ก็ถูกจับไปฆ่าเช่นกัน พวกเจ้าเมืองต่างๆ ได้ทราบพฤติการณ์อันเลวทรามของโจโฉก็ไม่พอใจ คิดจะช่วยเหลือพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงพากันกระด้างกระเดื่องขึ้น โจโฉก็ให้จัดกองทัพไปปราบปราม สงครามจึงเกิดขึ้น โจโฉสามารถปราบเมืองต่างๆ ได้สำเร็จ แต่ไม่อาจปราบเล่าปี่ เจ้าเมืองเสฉวน และซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งได้
เล่าปี่เป็นเชื้อสายพระราชวงศ์ฮั่นแต่ยากจนอนาถา ได้คนมีฝีมือไว้เป็นทหารหลายคน แต่มีกำลังไพร่พลน้อยต้องคอยหลบหนีฝ่ายศัตรูอยู่เสมอ จนกระทั่งได้ขงเบ้งมาเป็นที่ปรึกษาจึงสามารถตั้งตนเป็นเจ้าเมืองเสฉวนได้ ส่วนซุนกวนเป็นเจ้าเมืองกังตั๋งโดยการสืบสกุล เป็นคนดีมีศีลธรรม ปกครองบ้านเมืองด้วยความเป็นธรรม จึงมีคนเคารพนับถือเข้ามาเป็นพวกมายมาย เมื่อโจโฉตาย โจผีบุตรชายของโจโฉครองตำแหน่งมหาอุปราชแทนแล้วต่อมาก็กบฏ ปลดพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากบัลลังก์ แล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ มีพระนามว่าพระเจ้าอ้วนโซ่ ตั้งราชวงศ์ขึ้นใหม่ คือ ราชวงศ์วุย เล่าปี่ถือว่าตนเองเป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่น ไม่ยอมรับพระเจ้าโจผีเป็นกษัตริย์ จึงตั้งตัวเองเป็นกษัตริย์สืบราชวงศ์ฮั่นใช้เมืองเสฉวนเป็นราชธานี ซุนกวนก็ไม่ยอมขึ้นกับพระเจ้าโจผีหรือเล่าปี่ ก็ตั้งตัวเป็นกษัตริย์บ้างมีเมืองกังตั๋งเป็นราชธานี
ประเทศจีนขณะนั้น จึงแยกเป็น 3 อาณาจักร หรือเรียกว่า สามก๊ก อาณาจักร ของเล่าปี่ เรียกว่า "จ๊กก๊ก" อาณาจักรของพระเจ้าซุนกวน เรียกว่า "ง่อก๊ก" และอาณาจักรของพระเจ้าโจผี เรียกว่า "วุยก๊ก"
ต่อมาเมื่อพระเจ้าเล่าปี่ พระเจ้าซุนกวน และพระเจ้าโจผีสิ้นพระชนม์แล้ว เชื้อสายที่สืบราชสมบัติต่อมาก็อ่อนแอลง สุมาเจียวซึ่งเป็นมหาอุปราชของวุยก๊กสามารถจับตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนมาเป็นเชลยได้ จึงรวมอาณาจักรจ๊กก๊กเข้ากับวุยก๊กได้ พอสุมาเจียวตายแล้ว สุมาเอี๋ยน ผู้เป็นบุตรชายสืบตำแหน่งแทน และได้ชิงราชสมบัติของวุยก๊กจากพระเจ้าโจฮวน แล้วตั้งตนเองเป็นกษัตริย์แทน ตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้น เรียกว่า ราชวงศ์จิ๋น พระเจ้าสุมาเอี๋ยนสามารถปราบพระเจ้าซุนโฮแห่งง่อก๊กให้ยอมสวามิภักดิ์ได้ แผ่นดินจีนทั้ง 3 อาณาจักรก็รวมกันเป็นอาณาจักรเดียว เรียกว่า เมืองไต้จิ๋น สงครามที่ดำเนินมานานก็สงบลงอย่างเด็ดขาด
สุดท้ายสามก๊กก็กลับเข้ารวมเป็นก๊กเดียวอยู่ในเมืองจิ้นราชอาณาจักรของพระเจ้าสมาเอี๋ยน และนี่ก็สมดั่งที่ผู้เขียนว่าไว้ในตอนต้นว่า “ธรรมดาสรรพสิ่งในใต้ฟ้าเมื่อแยกกันนานๆ ก็กลับเข้ารวมกันและเมื่อรวมกันนานๆ ก็กลับแยกกันอีก” ด้วยประการฉะนี้ อ่านจบสามก๊กจบแล้ว จะรู้จักตน และรู้จักคน.......
เรื่องสามก๊กนี้เรียกได้ว่านักอ่าน นักบริหาร นักปกครอง ส่วนใหญ่จะต้องรู้จักหรือคุ้นกับ วรรณกรรมชิ้นนี้ดี เพราะเป็นวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ที่มีคำกล่าวว่าดีที่สุดในโลก แฝงไปด้วยข้อคิดสอนใจต่างๆ นานา สามารถประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ปัญหาต่างๆ ได้ดี ในทุกยุคทุกสมัย แม้กระทั่งสถานการณ์ปัญหาทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ศิลปะและกลยุทธ์ต่างๆ จะสามารถพบเห็นได้จากเรื่องนี้โดยตลอด ไม่ว่าเป็นศิลปะการใช้คน กลยุทธ์การเป็นผู้นำ บทวิเคราะห์ สถานการณ์ต่างๆ จนมีคนกล่าวไว้ว่า "ผู้ใดอ่านสามก๊กจบสามหน คบไม่ได้" หรือวลีอมตะที่ว่า “อย่าพึ่งคิดทำการใหญ่ ถ้ายังไม่ได้อ่านสามก๊ก” หรือมีบางคนบอกว่าอยากเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองไทยช่วงนี้และช่วงต่อไป ก็ต้องอ่านสามก๊ก ในหนังสือฉบับแปลใหม่ คุณวรรณไว ได้กล่าวไว้ว่า “แม้จะอ่านสามครั้ง ขอจงเอาแต่ส่วนดีส่วนคุณธรรม สักสามเท่าตัว ก็จะเป็นคนที่น่าคบหาสมาคมด้วยยิ่งกว่าสามเท่าแน่นอน” จะจริงแท้แค่ไหน ก็ลองอ่านดูเองก็แล้วกัน
เดอะท็อปซีเคร็ต 2
โดย ทันตแพทย์สม สุจีรา
หนังสือเดอะท็อปซีเคร็ต 2 ความลับสู่ความสำเร็จ ผู้เขียนได้วิเคราะห์ความสำคัญของสมองซีกซ้าย ซีกขวา กำลังของสติและความรู้สึก ซึ่งนำไปสู่การเปิดเผยความลับสู่ความสำเร็จทั้งด้าน การเรียน การงาน การเงิน ธุรกิจ และชีวิต พร้อมทั้งยกตัวอย่างและแนวทางการปฏิบัติที่ตรง กระจ่าง ชัดเจนและเหมาะจะนำไปปรับใช้กับชีวิตเป็น อย่างยิ่ง แล้วจะรู้ว่าชีวิตนั้น หากมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วการบรรลุเป้าหมายนั้นไม่ยากเลยขอเพียงลงมือทำอย่างจริงจัง แต่สิ่งที่ยากที่สุดอยู่ที่การไม่เริ่มต้นลงมือทำต่างหาก
ความลับของสมอง
มนุษย์เราทุกคนเกิดมาจะมีโครงสร้างสมองเหมือนกัน ขนาดเท่า ๆ กัน จำนวนเซลล์ประสาทไม่แตกตางกัน แต่สิ่งที่ทำให้บางคนฉลาดมาก เรียนเก่ง ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นเพราะพวกเขารู้ความลับของการใช้สมองบางส่วนที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ โดยอาจจะเป็นผลมาจาก พันธุกรรม การเลี้ยงดู พรสวรรค์ การศึกษา ฯลฯ ในทางพระพุทธศาสนาบอกว่า เกิดจากเจตสิก อันเป็นพลังมาจากกรรมเก่า รวมกลุ่มขึ้นเป็นองค์ประกอบของดวงจิต มารับอารมณ์ (เวทนา ตัณหา)อารมณ์เหล่านี้จะไปเหนี่ยวนำให้สมองส่วนที่ต้องการใช้เริ่มทำงานเกิดเป็นฉันทะ (ความชอบ ความถนัด ความพอใจ)
สำหรับนักวิทยาศาสตร์ วงการแพทย์ และวงการจิตวิทยาที่ไม่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ จึงเน้นเรื่องการศึกษาวิจัยเชิงกายภาพของสมองทั้งระบบการส่งสัญญาณประสาทและการทำงานของสมองส่วนต่าง ๆ
สมองของมนุษย์แบ่งออกเป็นสองซีก เหมือนส้มโอกลีบใหญ่ ๆ ที่นำมาประกบกันถ้าดูภายนอกจะบอกได้ว่า สมองทั้งสองเหมือนกัน ดูสมมาตร กลมกลืนและขนาดเท่ากันวงการแพทย์ทราบมานานแล้วว่า สมองแต่ละซีกจะควบคุมและรับสัมผัสร่างกายด้านตรงข้ามคือสมองซีกซ้ายทำหน้าที่ควบคุมและรับสัมผัสร่างกายด้านขวา ทั้งตา หู จมูก แขน ขา ฯลฯ ส่วนสมองซีกขวาก็จะส่งเส้นประสาทไข้วไปยังร่างกายด้านซ้ายดังนั้นถ้าเรามองด้านตาซ้าย สัญญาณภาพส่วนใหญ่จะถูกส่งไปที่สมองซีกขวาในทางตรงกันข้าม ถ้าเราเอาหูขวาฟัง สัญญาณเสียงจะส่งไปที่สมองซึกซ้าย
การทำงานของสมอง
- ปาฏิหารย์จากสมองซีกขวา
สมองซีกขวาจะทำงานได้เร็วกว่าสมองซีกซ้ายหลายเท่าการตัดสินใจฉับไว เช่น ขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วแล้วสุนัขวิ่งตัดหน้ากะทันหัน สมองซีกซ้ายจะคิดเชิงตรรกะว่าจะทำอย่างไร ถ้าชนแล้วจะบาปไหม จะหักหลบซ้ายหรือขวาดี มีเสาไฟฟ้าข้างทางหรือไม่ แต่การคิดวิเคราะห์เชิงเหตุผลอย่างละเอียดใช้ไม่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ไหวพริบปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยได้การตัดสิน ใจต้องเกิดขึ้นในเสี่ยววินาที ถ้าเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการตัดสินใจแบบนี้ มาก่อน จะทำให้สมองซีกขวาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น คนทั่วไปจะเรียกการทำงานของสมองซีกขวาว่า ไหวพริบ ปฏิภาณ ความคิดสร้างสรรค์ การหยั่งรู้ สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับการนึกคิดตรึกตรองหาเหตุผลแบบซีกซ้าย แต่การทำงานของมันรวดเร็ว ถูกต้อง และแน่นอนเพราะทำงานในระดับที่ละเอียดและซับซ้อนมากลงลึกถึงจิตใต้สำนึก
จากการตรวจวัดสมองด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กพบว่าผู้ที่ใช้สมองซีกซ้ายมากเกินไป เมื่อผิดพลาดล้มเหลวในชีวิต จะเกิดอาการโรคประสาทย้ำคิดย้ำทำ มองตัวเองในแง่ร้าย ตำหนิความบกพร่องตัวเอง มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตายสูงมาก ส่วนสมองซีกขวาอยู่เหนือขอบเขตของตรรกะเหตุผล ดังนั้นมันจะแสดงผลออกมาในรูปของสัญชาตญาณ การหยั่งรู้หรือความรู้สึกสังหรณ์ ซึ่งไม่มีเหตุผล แต่ถ้าตัดสินใจไปตามนั้นแล้วถูกต้อง กระบวนการนี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยชีววิทยา คืออยู่นอกเหนือความสามารถของวิทยาศาสตร์ที่จะอธิบาย
- การวิเคราะห์แบบองค์รวม
สมองซีกซ้ายจะทำงานโดยเรียนรู้จากส่วนย่อยไปหาส่วนใหญ่ แต่สมองซีกขวาจะกลับกัน มันจะมององค์รวม คือส่วนใหญ่ก่อนแล้วค่อยไปหาส่วนย่อย เพราะการพบหลักใหญ่เป็นเรื่องสำคัญกว่าเพราะจะมองเห็นองค์ประกอบทั้งหมดได้ เห็นจุดสำคัญทุกจุดถ้าอยากลงไปหาส่วนย่อยที่จุดไหนก็ไม่ใช่เรื่องยาก
อัจฉริยะของโลกล้วนคิดย้อนกลับจากองค์รวมก่อนแล้วค่อยมาแยกย่อย ทั้งไอน์สไตน์ นิวตัน เช่นเกลันเจโล อัจฉริยะด้านศิลปะ มีคนถามว่าทำไมแกะสลักรูปปั้นเดวิดได้งดงามหัศจรรย์ เขาตอบว่า ตอนที่หินก้อนใหญ่อยู่ตรงหน้าเขาเห็นรูปเดวิดอยู่ในหินก้อนนั้นแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือสกัดส่วนที่ไม่ใช่เดวิดออกไป จะเห็นได้ว่าเขาใช้สมองซีกขวาจิตนาการถึงองค์รวมก่อน แล้วจึงค่อยส่งสัญญาณไปที่สมองซีกซ้ายให้หาเครื่องมือ หาวิธีสกัดไปตามจิตนาการนั้น
- สมองซีกขวากับการวางแผน
การวางแผนหรือวางลำดับงานเป็นเรื่องสำคัญ การที่จะวางแผนได้อย่างแยบยล หรือจัดลำดับงานได้อย่างซับซ้อน ต้องเข้าใจองค์ประกอบโดยรวมเสียก่อน การรู้รอบก่อนรู้ลึกเป็นเรื่องสำคัญ คนคิดการณ์ใหญ่ต้องคิดใหญ่ และบางครั้งต้องรู้จักสละผลประโยชน์ส่วนย่อยเพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า คิดเล็กคิดน้อยจะพลาดเป้าหมายที่สำคัญไป ทักษะในการตัดสินใจที่แท้จริงต้องมองเห็นภาพรวม เห็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้วเท่านั้น การตัดสินใจใด ๆ มาจากข้อมูลที่แยกย่อยจะมีโอกาสผิดพลาดสูงมาก
- การพัฒนาสมองซีกขวา
คลื่นสมองทั้งสองซีกของมนุษย์จะมีความถี่เป็นอิสระต่อกัน แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่า การนั่งสมาธิ จะทำให้เกิดการปรับของความถี่คลื่นสมองซีกซ้ายและซีกขวา ให้ขึ้นลงในจังหวะเดียวกัน การปฏิบัติธรรมฝึกเจริญสติ เป็นการพัฒนาสมองซีกขวาที่ดีที่สุด สมองซีกขวาไม่ชอบความซ้ำซาก จำเจ ดังนั้นการเปลี่ยนวิธีการดำรงชีวิตประจำวันก็มีส่วนช่วยพัฒนาสมองซีกนี้ เช่น เปลี่ยนตำแหน่งที่นั่งทำงาน เข้าร่วมกิจกรรมแปลก ๆ ใหม่ ๆ
- จุดอ่อนของสมองซีกขวา
ข้อพึงระวังในการใช้สมองซีกขวาคือ กำจัดอารมณ์เชิงลบออกไปจากสมองเสียก่อนจะตัดสินใจ เพราะถ้าปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำ ไม่ว่าโกรธ กลัว หงุดหงิด อคติ อิจฉาริษยา ตระหนี่ คับข้องใจ ฯลฯ เกิดขึ้น การตัดสินใจด้วยสมองซีกขวาจะอันตรายกว่าการติดสินใจด้วยสมองซีกซ้ายมาก อารมณ์จะเป็นตัวเหนี่ยวนำ ทำให้เกิดการติดสินใจผิดไปแบบชนิดที่เรียกว่าคนละขั้วเลยทีเดียว
กำลังของสติ
สมองของมนุษย์ทั้งสองซีกสามารถความคุมและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ด้วย กำลังสติ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดมีสมองซีกเหมือนกับมนุษย์แต่สิ่งที่ทำให้สัตว์เหล่านั้นไม่สามารถใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ก็เพราะว่าพวกมันขาด สติสัมปชัญญะ
สติ คือความระลึกได้ถึงสิ่งที่ทำ คำที่พูด และเรื่องที่คิดทั้งที่เคยทำมาแล้ว และจะทำในอนาคตส่วนสัมปชัญญะหมายถึง ความรู้ตัว ถึงสิ่งที่เป็นไปในปัจจุบัน รู้ว่ากำลังทำ กำลังพูดหรือกำลังคิดอะไร สติทำให้ฉุดคิดขึ้นได้ รับรู้อารมณ์ เกิดการยับยั้งชั่งใจไม่เผลอ เช่นขณะเกิดวิกฤติ สติจะทำให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที
สติเป็นเจตสิกที่คุณสมบัติพิเศษ คือมันสามารถควบคุมทิศทางของจิตได้ เปรียบ จิตเป็นเรือสติก็คือหางเสือที่ติดเรือนั้นจะมีกำลังมากเพียงใด แต่ถ้าขาดหางเสือก็ไม่มีประโยชน์
การจะกำหนดสติจนเกิดปัญญาเข้าใจในความจริงแท้ของธรรมชาติต้องฝึกใช้สติจับที่อาการไม่ใช่รูป เช่นถ้ามีรสกระทบที่ลิ้นให้กำหนดเพียงแค่อาการขณะกระทบ ไม่แยกว่าเปรี้ยว หวาน เค็ม เพราะสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งสมมติที่มนุษย์ตั้งขึ้นมา เรียกเมื่อรับรู้ ผ่านผัสสะทางทวาร 6 หากปราศจากทวาร 6 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเหล่านี้ก็ไม่มีอยู่จริง ดังนั้นถ้าต้องการเข้าถึงความจริงแท้ต้องพยายามตัดสิ่งสมมติที่ฝังอยู่ในสมองออกให้หมด
เคล็ดลับในการพัฒนาประสิทธิภาพของสมองซีกขวาก็คือ การฝึกสติจับที่อาการ เพราะสมองซีกนี้จะทำหน้าที่รับรู้เกี่ยวกับการสัมผัส การเคลื่อนไหว อาการ ลีลา ท่าทาง และสิ่งที่เป็นนามธรรม
เคล็ดลับการจับจิต
เราทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่า งามจับใจ หรืองามจับจิต สองคำนี้มีความหมายต่างกัน งามจับใจคือความรู้สึกทางใจ ยินดี พอใจ ชอบ เกิดความสุขเมื่อได้เห็น ส่วนงามจับจิตเป็นความรู้สึกทางจิตซึ่งหมายความว่าหลังจากได้เห็นจะเกิดราคะ รัก หลง บูชา อิจฉาริษยาฯลฯ มีอารมณ์ต่างกันไป การฝึกสติที่สำคัญอีกสองฐานคือ การตั้งสติ เฝ้าดูความรู้สึกทางใจและจิต
การกำหนดสติไปที่จิตขณะรับอารมณ์ก็เป็นการฝึกเจริญสติ เพราะกลุ่มดวงจิตจะผุดขึ้นมาสร้างอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ มากมายเช่น ตื่นเต้น โกธร เกลียด ดีใจ เสียใจ อิจฉาริษยา แค้น อาฆาต หัวใจสำคัญของการกำหนดสติอยู่ที่ความต่อเนื่อง เมื่อมองความรู้สึกอย่างต่อเนื่องโดยปราศจากการต่อต้าน กลับจะทำให้สามารถความคุมมันได้ การตั้งสติตามดูจิตอย่างจดจ่อจริง ๆ โดยไม่คิดไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นก็คือความรู้สึกนั้นๆ จะค่อย ๆ เลือนหายไปเอง เคล็ดลับก็คือ อย่าอยากให้มันหาย เพราะถ้ายิ่งอยากมันจะยิ่งไม่หาย แต่ความรู้สึกเหล่านี้มันขี้อาย พอรู้ว่าเราจ้องอยู่ มันจะหลบไปทันที แล้วค่อย ๆ ผลุบ ๆ โผล่ ๆ รอออกมาตอนที่เราขาดสติ
จุดสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการฝึกสติคือ อย่าตั้งใจเพ่งจนเกินไป หรือพยายามฝืนความรู้สึก ฝืนความคิดตนเอง อย่าพยายามไปกด ไปบังคับ หรือเปลี่ยนแปลงความคิดเพราะจะไม่เข้าใจธรรมชาติตามแบบฉบับของตน
วิปัสสนาคือการตั้งสติเฝ้าดู แค่รู้เฉยๆ ไม่ต้องไปทำอะไร เพียงแต่รู้ตามอาการที่เกิดขึ้นและเข้าใจธรรมชาติของมันทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาย่อมไม่เที่ยงเสมอ พยายามจับความไม่เที่ยงให้ได้ถ้ารู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกเมื่อไร ก็คือความสามารถในการความคุมสมองซีกขวา
การพัฒนาความรู้สึก
1. จงเปลี่ยนความอยากให้เป็นความเชื่อแล้วเมื่อนั้นแรงบันดาลใจจะบังเกิด
2. การศึกษาหาความรู้จะทำให้ความคิดเปลี่ยนแต่ความรู้สึกไม่เปลี่ยน ต้องใช้สตินำความคิดเข้าไปเปลี่ยนความรู้สึก
3. ถ้าคุณเชื่อและรับความรู้สึกราวกับว่ามันเป็นเช่นนั้น กาย จิตใต้สำนึกและพลังจักวาลจะเหนี่ยวนำสิ่งนั้นให้เกิดขึ้นจริง
4. ความรู้สึกเชิงลบทุกชนิดไม่เป็นผลดีกับชีวิตไม่ต้องไปทำลาย เพียงแต่กำหนดสติเฝ้าดูให้รู้เท่ากัน
5. การคิดบวกคือจุดเริ่มต้นของการสร้างความรู้สึกดี ๆ
6. คนที่จับความรู้สึกได้จะไม่ทำร้ายจิตใจของคนอื่น และจะไม่ทำอย่างที่ตนเองเคยรู้สึกไม่ดีกับคนอื่น ๆ
7. การลอกความคิดดี ๆ เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์แต่การลอกความรู้สึกดี ๆ มีแต่จะก้าวหน้า
8. ถ้าคุณรู้สึกเหงา ให้คิดว่าไม่เหงา เป็นการใช้สมองซีกซ้ายมาเปลี่ยนความรู้สึก
สรุปความลับนั่นก็คือ
• เมื่อใดที่เราสร้างภาพแห่งอนาคตได้ชัดเจนเท่ากับภาพในอดีต เหมือนกับว่าเคยผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว รู้สึกว่าเกิดขึ้นจริงแน่นอน เมื่อนั้นเราก็จะสามารถกำหนดอนาคตให้เป็นดั่งภาพในจินตนาการได้
• เคล็ดลับของอัจฉริยะ คือการสร้างภาพที่ชัดเจนขึ้นในใจก่อนเสมอ
• มนุษย์มีสิ่งล้ำค่าอย่างหนึ่งนั่นคือ "สติสัมปชัญญะ" ที่คอยควบคุมดูแลอารมณ์ ความรู้สึก ตลอดไปถึงความคิด
• ความคิด ส่งผลต่อเซลล์ทุกเซลล์ในทุกระบบของร่างกาย และสามารถส่งผลไปถึงเซลล์ของคนอื่นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ในระบบประสาท ดังนั้น จงพยายามคิดบวกอยู่เสมอ
• การ "ให้" คือการเพิ่ม ให้บวก..บวกในตัวคุณก็จะเพิ่ม ให้ลบ ลบในตัวคุณก็จะเพิ่ม เช่น ยิ่งให้ยิ่งเก่ง ยิ่งสอนยิ่งรู้ ยิ่งเรียนยิ่งฉลาด ยิ่งบริจาคยิ่งรวย
• จักรวาลมีคลื่นความถี่ ตัวเราเปรียบเสมือนจอรับภาพ ถ้าต้องการภาพชีวิตแบบไหน ก็เพียงแต่ปรับความถี่ของจอรับภาพให้ตรงกับคลื่นความถี่ของจักรวาล
• จิตใต้สำนึก คือฐานข้อมูลของความคิด และความรู้สึกที่เกิดขึ้นซ้ำกันบ่อยๆจนตกตะกอนแล้ว
• เมื่อเราฝึกคิดบวกจนเป็นนิสัย จิตใต้สำนึกก็จะบันดาลให้สิ่งที่เราคิดเกิดขึ้นจริง แล้วจะพบว่าสิ่งดีๆเข้ามาสู่ชีวิตเรามากมายอย่างไม่น่าเชื่อ
• จิตใต้สำนึกทำงานแม้ในขณะหลับ ดังนั้น ในแต่ละวันควรระลึกถึงสิ่งดีๆที่ได้ทำลงไปก่อนล้มตัวลงนอน เพื่อจะได้ตื่นเช้าวันใหม่ด้วยความสดชื่น สมองแจ่มใส
• จิตใต้สำนึกมีพลังอำนาจมากว่าจิตสำนึกหลายหมื่นหลายแสนเท่า การทำงานของจิตใต้สำนึกอยู่เหนือมิติที่สี่
• จิตใต้สำนึก เป็นสิ่งที่เราสั่งสมไว้ในภวังคจิตมานานหลายภพหลายชาติ รวมทั้งชาติปัจจุบัน จึงทำให้เรามีพื้นฐานจิต อุปนิสัย หรือจริตที่แตกต่างจากคนอื่น ตามประสบการณ์ที่เราสั่งสมมา
• ทุกครั้งที่ทำความดี จงจดจำความรู้สึกดีดีนั้นไว้ ให้ประทับอยู่ในใจเรา สิ่งนี้จะเป็นพลังให้เรามีกำลังใจที่จะทำความดีอยู่อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญกว่านั้น พลังนี้จะดึงดูดสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นในชีวิตเราอย่างน่าอัศจรรย์
• กฎลับ 4ข้อ หนึ่ง.. ตั้งจิตอธิษฐานขอโดยปราศจากความอยาก เพื่อป้องกันความกระวนกระวายสอง.. มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราขอว่าเป็นจริงได้โดยไม่มีข้อลังเลสงสัย สาม..จินตนาการภาพแห่งความรู้สึกว่าสิ่งนั้นได้มาแล้วด้วยความรู้สึกปรีดาและมีความสุข สี่..เตรียมความพร้อมทั้งกายและใจ
• อย่าอธิษฐานขอที่เป้าหมาย แต่ให้ขอสิ่งที่จะทำไปให้ถึงเป้าหมายแทน เช่นขอให้มีพลังแรงกายแรงใจ มีสติปัญญาให้ไปถึงเป้าหมายนั้น เป็นต้น
• ความกลัวเป็นตัวขัดขวางศักยภาพของจิตอย่างรุนแรง ทำลายสุขภาพทั้งกายและใจ
• ความกลัวจัดเป็นความคิดด้านลบ เมื่อกลัวบ่อยๆ จิตใต้สำนึกจะบันทึกภาพนั้น แล้วเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นจริง
• เมื่อใดเรามีสติ ความคิดลบที่เกิดขึ้นในสมองจะไม่มีทางหลุดฝังลงไปในจิตใต้สำนึกได้
• เผชิญกับคนคิดลบ ต้องสร้างพลังบวกให้มากๆ(คบคนพาล พาลพาไปหาผิด)..แต่ยิ่งคบคนที่คิดบวก.บวกในตัวเราก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น(คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล)
• ถ้าเราคิดดี..สิ่งดีๆจะเข้ามาในชีวิต ถ้าเราคิดลบ สิ่งที่ไม่ดีก็จะเข้ามาในชีวิต
• เมื่อชีวิตพบกับอุปสรรค จงคิดบวก มองวิกฤตเป็นโอกาส เราก็จะมีพลังด้านบวกเพิ่มขึ้น มีความหวังและนั่นก็หมายถึงสิ่งดีๆ.ก็จะเข้ามาในชีวิตต่อไป
• การหัวเราะ จะทำให้คลื่นรังสีออร่ารอบๆตัวเป็นสีสดใส คลื่นบวกของสิ่งแวดล้อมจะมาออรอบๆตัวเรา เสียงหัวเราะมีพลังดึงดูดสูงมาก และมันสามารถดึงพลังคลื่นบวกแห่งจักรวาลเข้ามาสู่ตัวเรา
• ความรู้สึก "พอ" จะทำให้ชีวิตมีความสุข และเกิดความรู้สึกอยากแบ่งปันให้ผู้อื่น ความรู้สึกนี้จะเป็นพลังดึงดูดที่ทรงอานุภาพและเป็นทางลัดที่ง่ายที่สุดในการที่จะนำความมั่งคั่งมาสู่ตัวเรา
• จงแผ่เมตตาให้ทุกสรรพสิ่ง เพราะมีการทดลองพบว่ามีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพุ่งออกมาจากร่างกายขณะทีแผ่เมตตา
• จงมีสติทุกครั้งที่ระลึกและรู้สึกตัว ให้เข้าไปดูความรู้สึกและปรับให้เป็นบวกเสมอ
• ความรู้สึกเป็นกรรมเก่า ความคิดคือกรรมปัจจุบัน การจะตัดความรู้สึกต้องระดมพลังความคิดบวกให้เข้มข้น แล้วบีบอัด จนกลายเป็นความรู้สึกเชิงบวก จึงจะสามารถนำไปตัดความรู้สึกลบได้ (ระงับได้ด้วยการเจริญสติ)
• หมั่นใช้ปัญญาวิเคราะห์ความรู้สึก ว่าจะเหนี่ยวนำให้ความคิดเป็นบวกหรือลบ
• การคิดลบจะเกิดเป็นความรู้สึกฝังอยู่ในจิต เป็นกรรมติดตัว แต่ถ้าคิดบวก ก็จะเป็นการสกัดไม่ให้กรรมใหม่เกิดขึ้นอีก
• จงคิดบวกเสมอไม่ว่าสถานการณ์ใด คิดแต่สิ่งดีๆทำแต่สิ่งดีๆ แล้วจิตใต้สำนึกจะดึงดูดสิ่งที่ดีๆเหมือนกันเข้ามา ชีวิตเราก็จะไปสู่สิ่งที่ดี
• สิ่งที่สกัดกิเลสตัณหาได้มีเพียงสิ่งเดียวคือ "สติสัมปชัญญะ" เพราะเป็นตัวเฝ้าทวารทั้งขาเข้าและออก
• ในที่สุดเราก็จะรู้ว่า ทุกสิ่งแม้แต่ความรู้สึกก็ไม่มีอยู่จริง เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เหมือนฟองสบู่ที่เกิดดับภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะพยายามเปิดเผยความลับที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จแตกต่างกัน โดยเขียนขึ้นจากประสบการณ์จริง รวมกับความรู้ทางด้านแพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวัตศาสตร์ จิตวิทยา บริหารธุรกิจ และพุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นหนังสือที่รวมเอาศาสตร์หลาย ๆ สาขามาใช้ในการอธิบายอย่างผสมกลมกลืน
หนังสือเดอะท็อปซีเคร็ต 2 ความลับสู่ความสำเร็จ ผู้เขียนได้วิเคราะห์ความสำคัญของสมองซีกซ้าย ซีกขวา กำลังของสติและความรู้สึก ซึ่งนำไปสู่การเปิดเผยความลับสู่ความสำเร็จทั้งด้าน การเรียน การงาน การเงิน ธุรกิจ และชีวิต พร้อมทั้งยกตัวอย่างและแนวทางการปฏิบัติที่ตรง กระจ่าง ชัดเจนและเหมาะจะนำไปปรับใช้กับชีวิตเป็น อย่างยิ่ง แล้วจะรู้ว่าชีวิตนั้น หากมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วการบรรลุเป้าหมายนั้นไม่ยากเลยขอเพียงลงมือทำอย่างจริงจัง แต่สิ่งที่ยากที่สุดอยู่ที่การไม่เริ่มต้นลงมือทำต่างหาก
ความลับของสมอง
มนุษย์เราทุกคนเกิดมาจะมีโครงสร้างสมองเหมือนกัน ขนาดเท่า ๆ กัน จำนวนเซลล์ประสาทไม่แตกตางกัน แต่สิ่งที่ทำให้บางคนฉลาดมาก เรียนเก่ง ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นเพราะพวกเขารู้ความลับของการใช้สมองบางส่วนที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ โดยอาจจะเป็นผลมาจาก พันธุกรรม การเลี้ยงดู พรสวรรค์ การศึกษา ฯลฯ ในทางพระพุทธศาสนาบอกว่า เกิดจากเจตสิก อันเป็นพลังมาจากกรรมเก่า รวมกลุ่มขึ้นเป็นองค์ประกอบของดวงจิต มารับอารมณ์ (เวทนา ตัณหา)อารมณ์เหล่านี้จะไปเหนี่ยวนำให้สมองส่วนที่ต้องการใช้เริ่มทำงานเกิดเป็นฉันทะ (ความชอบ ความถนัด ความพอใจ)
สำหรับนักวิทยาศาสตร์ วงการแพทย์ และวงการจิตวิทยาที่ไม่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ จึงเน้นเรื่องการศึกษาวิจัยเชิงกายภาพของสมองทั้งระบบการส่งสัญญาณประสาทและการทำงานของสมองส่วนต่าง ๆ
สมองของมนุษย์แบ่งออกเป็นสองซีก เหมือนส้มโอกลีบใหญ่ ๆ ที่นำมาประกบกันถ้าดูภายนอกจะบอกได้ว่า สมองทั้งสองเหมือนกัน ดูสมมาตร กลมกลืนและขนาดเท่ากันวงการแพทย์ทราบมานานแล้วว่า สมองแต่ละซีกจะควบคุมและรับสัมผัสร่างกายด้านตรงข้ามคือสมองซีกซ้ายทำหน้าที่ควบคุมและรับสัมผัสร่างกายด้านขวา ทั้งตา หู จมูก แขน ขา ฯลฯ ส่วนสมองซีกขวาก็จะส่งเส้นประสาทไข้วไปยังร่างกายด้านซ้ายดังนั้นถ้าเรามองด้านตาซ้าย สัญญาณภาพส่วนใหญ่จะถูกส่งไปที่สมองซีกขวาในทางตรงกันข้าม ถ้าเราเอาหูขวาฟัง สัญญาณเสียงจะส่งไปที่สมองซึกซ้าย
การทำงานของสมอง
- ปาฏิหารย์จากสมองซีกขวา
สมองซีกขวาจะทำงานได้เร็วกว่าสมองซีกซ้ายหลายเท่าการตัดสินใจฉับไว เช่น ขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วแล้วสุนัขวิ่งตัดหน้ากะทันหัน สมองซีกซ้ายจะคิดเชิงตรรกะว่าจะทำอย่างไร ถ้าชนแล้วจะบาปไหม จะหักหลบซ้ายหรือขวาดี มีเสาไฟฟ้าข้างทางหรือไม่ แต่การคิดวิเคราะห์เชิงเหตุผลอย่างละเอียดใช้ไม่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ไหวพริบปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยได้การตัดสิน ใจต้องเกิดขึ้นในเสี่ยววินาที ถ้าเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการตัดสินใจแบบนี้ มาก่อน จะทำให้สมองซีกขวาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น คนทั่วไปจะเรียกการทำงานของสมองซีกขวาว่า ไหวพริบ ปฏิภาณ ความคิดสร้างสรรค์ การหยั่งรู้ สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับการนึกคิดตรึกตรองหาเหตุผลแบบซีกซ้าย แต่การทำงานของมันรวดเร็ว ถูกต้อง และแน่นอนเพราะทำงานในระดับที่ละเอียดและซับซ้อนมากลงลึกถึงจิตใต้สำนึก
จากการตรวจวัดสมองด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กพบว่าผู้ที่ใช้สมองซีกซ้ายมากเกินไป เมื่อผิดพลาดล้มเหลวในชีวิต จะเกิดอาการโรคประสาทย้ำคิดย้ำทำ มองตัวเองในแง่ร้าย ตำหนิความบกพร่องตัวเอง มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตายสูงมาก ส่วนสมองซีกขวาอยู่เหนือขอบเขตของตรรกะเหตุผล ดังนั้นมันจะแสดงผลออกมาในรูปของสัญชาตญาณ การหยั่งรู้หรือความรู้สึกสังหรณ์ ซึ่งไม่มีเหตุผล แต่ถ้าตัดสินใจไปตามนั้นแล้วถูกต้อง กระบวนการนี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยชีววิทยา คืออยู่นอกเหนือความสามารถของวิทยาศาสตร์ที่จะอธิบาย
- การวิเคราะห์แบบองค์รวม
สมองซีกซ้ายจะทำงานโดยเรียนรู้จากส่วนย่อยไปหาส่วนใหญ่ แต่สมองซีกขวาจะกลับกัน มันจะมององค์รวม คือส่วนใหญ่ก่อนแล้วค่อยไปหาส่วนย่อย เพราะการพบหลักใหญ่เป็นเรื่องสำคัญกว่าเพราะจะมองเห็นองค์ประกอบทั้งหมดได้ เห็นจุดสำคัญทุกจุดถ้าอยากลงไปหาส่วนย่อยที่จุดไหนก็ไม่ใช่เรื่องยาก
อัจฉริยะของโลกล้วนคิดย้อนกลับจากองค์รวมก่อนแล้วค่อยมาแยกย่อย ทั้งไอน์สไตน์ นิวตัน เช่นเกลันเจโล อัจฉริยะด้านศิลปะ มีคนถามว่าทำไมแกะสลักรูปปั้นเดวิดได้งดงามหัศจรรย์ เขาตอบว่า ตอนที่หินก้อนใหญ่อยู่ตรงหน้าเขาเห็นรูปเดวิดอยู่ในหินก้อนนั้นแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือสกัดส่วนที่ไม่ใช่เดวิดออกไป จะเห็นได้ว่าเขาใช้สมองซีกขวาจิตนาการถึงองค์รวมก่อน แล้วจึงค่อยส่งสัญญาณไปที่สมองซีกซ้ายให้หาเครื่องมือ หาวิธีสกัดไปตามจิตนาการนั้น
- สมองซีกขวากับการวางแผน
การวางแผนหรือวางลำดับงานเป็นเรื่องสำคัญ การที่จะวางแผนได้อย่างแยบยล หรือจัดลำดับงานได้อย่างซับซ้อน ต้องเข้าใจองค์ประกอบโดยรวมเสียก่อน การรู้รอบก่อนรู้ลึกเป็นเรื่องสำคัญ คนคิดการณ์ใหญ่ต้องคิดใหญ่ และบางครั้งต้องรู้จักสละผลประโยชน์ส่วนย่อยเพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า คิดเล็กคิดน้อยจะพลาดเป้าหมายที่สำคัญไป ทักษะในการตัดสินใจที่แท้จริงต้องมองเห็นภาพรวม เห็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้วเท่านั้น การตัดสินใจใด ๆ มาจากข้อมูลที่แยกย่อยจะมีโอกาสผิดพลาดสูงมาก
- การพัฒนาสมองซีกขวา
คลื่นสมองทั้งสองซีกของมนุษย์จะมีความถี่เป็นอิสระต่อกัน แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่า การนั่งสมาธิ จะทำให้เกิดการปรับของความถี่คลื่นสมองซีกซ้ายและซีกขวา ให้ขึ้นลงในจังหวะเดียวกัน การปฏิบัติธรรมฝึกเจริญสติ เป็นการพัฒนาสมองซีกขวาที่ดีที่สุด สมองซีกขวาไม่ชอบความซ้ำซาก จำเจ ดังนั้นการเปลี่ยนวิธีการดำรงชีวิตประจำวันก็มีส่วนช่วยพัฒนาสมองซีกนี้ เช่น เปลี่ยนตำแหน่งที่นั่งทำงาน เข้าร่วมกิจกรรมแปลก ๆ ใหม่ ๆ
- จุดอ่อนของสมองซีกขวา
ข้อพึงระวังในการใช้สมองซีกขวาคือ กำจัดอารมณ์เชิงลบออกไปจากสมองเสียก่อนจะตัดสินใจ เพราะถ้าปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำ ไม่ว่าโกรธ กลัว หงุดหงิด อคติ อิจฉาริษยา ตระหนี่ คับข้องใจ ฯลฯ เกิดขึ้น การตัดสินใจด้วยสมองซีกขวาจะอันตรายกว่าการติดสินใจด้วยสมองซีกซ้ายมาก อารมณ์จะเป็นตัวเหนี่ยวนำ ทำให้เกิดการติดสินใจผิดไปแบบชนิดที่เรียกว่าคนละขั้วเลยทีเดียว
กำลังของสติ
สมองของมนุษย์ทั้งสองซีกสามารถความคุมและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ด้วย กำลังสติ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดมีสมองซีกเหมือนกับมนุษย์แต่สิ่งที่ทำให้สัตว์เหล่านั้นไม่สามารถใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ก็เพราะว่าพวกมันขาด สติสัมปชัญญะ
สติ คือความระลึกได้ถึงสิ่งที่ทำ คำที่พูด และเรื่องที่คิดทั้งที่เคยทำมาแล้ว และจะทำในอนาคตส่วนสัมปชัญญะหมายถึง ความรู้ตัว ถึงสิ่งที่เป็นไปในปัจจุบัน รู้ว่ากำลังทำ กำลังพูดหรือกำลังคิดอะไร สติทำให้ฉุดคิดขึ้นได้ รับรู้อารมณ์ เกิดการยับยั้งชั่งใจไม่เผลอ เช่นขณะเกิดวิกฤติ สติจะทำให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที
สติเป็นเจตสิกที่คุณสมบัติพิเศษ คือมันสามารถควบคุมทิศทางของจิตได้ เปรียบ จิตเป็นเรือสติก็คือหางเสือที่ติดเรือนั้นจะมีกำลังมากเพียงใด แต่ถ้าขาดหางเสือก็ไม่มีประโยชน์
การจะกำหนดสติจนเกิดปัญญาเข้าใจในความจริงแท้ของธรรมชาติต้องฝึกใช้สติจับที่อาการไม่ใช่รูป เช่นถ้ามีรสกระทบที่ลิ้นให้กำหนดเพียงแค่อาการขณะกระทบ ไม่แยกว่าเปรี้ยว หวาน เค็ม เพราะสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งสมมติที่มนุษย์ตั้งขึ้นมา เรียกเมื่อรับรู้ ผ่านผัสสะทางทวาร 6 หากปราศจากทวาร 6 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเหล่านี้ก็ไม่มีอยู่จริง ดังนั้นถ้าต้องการเข้าถึงความจริงแท้ต้องพยายามตัดสิ่งสมมติที่ฝังอยู่ในสมองออกให้หมด
เคล็ดลับในการพัฒนาประสิทธิภาพของสมองซีกขวาก็คือ การฝึกสติจับที่อาการ เพราะสมองซีกนี้จะทำหน้าที่รับรู้เกี่ยวกับการสัมผัส การเคลื่อนไหว อาการ ลีลา ท่าทาง และสิ่งที่เป็นนามธรรม
เคล็ดลับการจับจิต
เราทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่า งามจับใจ หรืองามจับจิต สองคำนี้มีความหมายต่างกัน งามจับใจคือความรู้สึกทางใจ ยินดี พอใจ ชอบ เกิดความสุขเมื่อได้เห็น ส่วนงามจับจิตเป็นความรู้สึกทางจิตซึ่งหมายความว่าหลังจากได้เห็นจะเกิดราคะ รัก หลง บูชา อิจฉาริษยาฯลฯ มีอารมณ์ต่างกันไป การฝึกสติที่สำคัญอีกสองฐานคือ การตั้งสติ เฝ้าดูความรู้สึกทางใจและจิต
การกำหนดสติไปที่จิตขณะรับอารมณ์ก็เป็นการฝึกเจริญสติ เพราะกลุ่มดวงจิตจะผุดขึ้นมาสร้างอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ มากมายเช่น ตื่นเต้น โกธร เกลียด ดีใจ เสียใจ อิจฉาริษยา แค้น อาฆาต หัวใจสำคัญของการกำหนดสติอยู่ที่ความต่อเนื่อง เมื่อมองความรู้สึกอย่างต่อเนื่องโดยปราศจากการต่อต้าน กลับจะทำให้สามารถความคุมมันได้ การตั้งสติตามดูจิตอย่างจดจ่อจริง ๆ โดยไม่คิดไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นก็คือความรู้สึกนั้นๆ จะค่อย ๆ เลือนหายไปเอง เคล็ดลับก็คือ อย่าอยากให้มันหาย เพราะถ้ายิ่งอยากมันจะยิ่งไม่หาย แต่ความรู้สึกเหล่านี้มันขี้อาย พอรู้ว่าเราจ้องอยู่ มันจะหลบไปทันที แล้วค่อย ๆ ผลุบ ๆ โผล่ ๆ รอออกมาตอนที่เราขาดสติ
จุดสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการฝึกสติคือ อย่าตั้งใจเพ่งจนเกินไป หรือพยายามฝืนความรู้สึก ฝืนความคิดตนเอง อย่าพยายามไปกด ไปบังคับ หรือเปลี่ยนแปลงความคิดเพราะจะไม่เข้าใจธรรมชาติตามแบบฉบับของตน
วิปัสสนาคือการตั้งสติเฝ้าดู แค่รู้เฉยๆ ไม่ต้องไปทำอะไร เพียงแต่รู้ตามอาการที่เกิดขึ้นและเข้าใจธรรมชาติของมันทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาย่อมไม่เที่ยงเสมอ พยายามจับความไม่เที่ยงให้ได้ถ้ารู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกเมื่อไร ก็คือความสามารถในการความคุมสมองซีกขวา
การพัฒนาความรู้สึก
1. จงเปลี่ยนความอยากให้เป็นความเชื่อแล้วเมื่อนั้นแรงบันดาลใจจะบังเกิด
2. การศึกษาหาความรู้จะทำให้ความคิดเปลี่ยนแต่ความรู้สึกไม่เปลี่ยน ต้องใช้สตินำความคิดเข้าไปเปลี่ยนความรู้สึก
3. ถ้าคุณเชื่อและรับความรู้สึกราวกับว่ามันเป็นเช่นนั้น กาย จิตใต้สำนึกและพลังจักวาลจะเหนี่ยวนำสิ่งนั้นให้เกิดขึ้นจริง
4. ความรู้สึกเชิงลบทุกชนิดไม่เป็นผลดีกับชีวิตไม่ต้องไปทำลาย เพียงแต่กำหนดสติเฝ้าดูให้รู้เท่ากัน
5. การคิดบวกคือจุดเริ่มต้นของการสร้างความรู้สึกดี ๆ
6. คนที่จับความรู้สึกได้จะไม่ทำร้ายจิตใจของคนอื่น และจะไม่ทำอย่างที่ตนเองเคยรู้สึกไม่ดีกับคนอื่น ๆ
7. การลอกความคิดดี ๆ เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์แต่การลอกความรู้สึกดี ๆ มีแต่จะก้าวหน้า
8. ถ้าคุณรู้สึกเหงา ให้คิดว่าไม่เหงา เป็นการใช้สมองซีกซ้ายมาเปลี่ยนความรู้สึก
สรุปความลับนั่นก็คือ
• เมื่อใดที่เราสร้างภาพแห่งอนาคตได้ชัดเจนเท่ากับภาพในอดีต เหมือนกับว่าเคยผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว รู้สึกว่าเกิดขึ้นจริงแน่นอน เมื่อนั้นเราก็จะสามารถกำหนดอนาคตให้เป็นดั่งภาพในจินตนาการได้
• เคล็ดลับของอัจฉริยะ คือการสร้างภาพที่ชัดเจนขึ้นในใจก่อนเสมอ
• มนุษย์มีสิ่งล้ำค่าอย่างหนึ่งนั่นคือ "สติสัมปชัญญะ" ที่คอยควบคุมดูแลอารมณ์ ความรู้สึก ตลอดไปถึงความคิด
• ความคิด ส่งผลต่อเซลล์ทุกเซลล์ในทุกระบบของร่างกาย และสามารถส่งผลไปถึงเซลล์ของคนอื่นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ในระบบประสาท ดังนั้น จงพยายามคิดบวกอยู่เสมอ
• การ "ให้" คือการเพิ่ม ให้บวก..บวกในตัวคุณก็จะเพิ่ม ให้ลบ ลบในตัวคุณก็จะเพิ่ม เช่น ยิ่งให้ยิ่งเก่ง ยิ่งสอนยิ่งรู้ ยิ่งเรียนยิ่งฉลาด ยิ่งบริจาคยิ่งรวย
• จักรวาลมีคลื่นความถี่ ตัวเราเปรียบเสมือนจอรับภาพ ถ้าต้องการภาพชีวิตแบบไหน ก็เพียงแต่ปรับความถี่ของจอรับภาพให้ตรงกับคลื่นความถี่ของจักรวาล
• จิตใต้สำนึก คือฐานข้อมูลของความคิด และความรู้สึกที่เกิดขึ้นซ้ำกันบ่อยๆจนตกตะกอนแล้ว
• เมื่อเราฝึกคิดบวกจนเป็นนิสัย จิตใต้สำนึกก็จะบันดาลให้สิ่งที่เราคิดเกิดขึ้นจริง แล้วจะพบว่าสิ่งดีๆเข้ามาสู่ชีวิตเรามากมายอย่างไม่น่าเชื่อ
• จิตใต้สำนึกทำงานแม้ในขณะหลับ ดังนั้น ในแต่ละวันควรระลึกถึงสิ่งดีๆที่ได้ทำลงไปก่อนล้มตัวลงนอน เพื่อจะได้ตื่นเช้าวันใหม่ด้วยความสดชื่น สมองแจ่มใส
• จิตใต้สำนึกมีพลังอำนาจมากว่าจิตสำนึกหลายหมื่นหลายแสนเท่า การทำงานของจิตใต้สำนึกอยู่เหนือมิติที่สี่
• จิตใต้สำนึก เป็นสิ่งที่เราสั่งสมไว้ในภวังคจิตมานานหลายภพหลายชาติ รวมทั้งชาติปัจจุบัน จึงทำให้เรามีพื้นฐานจิต อุปนิสัย หรือจริตที่แตกต่างจากคนอื่น ตามประสบการณ์ที่เราสั่งสมมา
• ทุกครั้งที่ทำความดี จงจดจำความรู้สึกดีดีนั้นไว้ ให้ประทับอยู่ในใจเรา สิ่งนี้จะเป็นพลังให้เรามีกำลังใจที่จะทำความดีอยู่อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญกว่านั้น พลังนี้จะดึงดูดสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นในชีวิตเราอย่างน่าอัศจรรย์
• กฎลับ 4ข้อ หนึ่ง.. ตั้งจิตอธิษฐานขอโดยปราศจากความอยาก เพื่อป้องกันความกระวนกระวายสอง.. มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราขอว่าเป็นจริงได้โดยไม่มีข้อลังเลสงสัย สาม..จินตนาการภาพแห่งความรู้สึกว่าสิ่งนั้นได้มาแล้วด้วยความรู้สึกปรีดาและมีความสุข สี่..เตรียมความพร้อมทั้งกายและใจ
• อย่าอธิษฐานขอที่เป้าหมาย แต่ให้ขอสิ่งที่จะทำไปให้ถึงเป้าหมายแทน เช่นขอให้มีพลังแรงกายแรงใจ มีสติปัญญาให้ไปถึงเป้าหมายนั้น เป็นต้น
• ความกลัวเป็นตัวขัดขวางศักยภาพของจิตอย่างรุนแรง ทำลายสุขภาพทั้งกายและใจ
• ความกลัวจัดเป็นความคิดด้านลบ เมื่อกลัวบ่อยๆ จิตใต้สำนึกจะบันทึกภาพนั้น แล้วเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นจริง
• เมื่อใดเรามีสติ ความคิดลบที่เกิดขึ้นในสมองจะไม่มีทางหลุดฝังลงไปในจิตใต้สำนึกได้
• เผชิญกับคนคิดลบ ต้องสร้างพลังบวกให้มากๆ(คบคนพาล พาลพาไปหาผิด)..แต่ยิ่งคบคนที่คิดบวก.บวกในตัวเราก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น(คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล)
• ถ้าเราคิดดี..สิ่งดีๆจะเข้ามาในชีวิต ถ้าเราคิดลบ สิ่งที่ไม่ดีก็จะเข้ามาในชีวิต
• เมื่อชีวิตพบกับอุปสรรค จงคิดบวก มองวิกฤตเป็นโอกาส เราก็จะมีพลังด้านบวกเพิ่มขึ้น มีความหวังและนั่นก็หมายถึงสิ่งดีๆ.ก็จะเข้ามาในชีวิตต่อไป
• การหัวเราะ จะทำให้คลื่นรังสีออร่ารอบๆตัวเป็นสีสดใส คลื่นบวกของสิ่งแวดล้อมจะมาออรอบๆตัวเรา เสียงหัวเราะมีพลังดึงดูดสูงมาก และมันสามารถดึงพลังคลื่นบวกแห่งจักรวาลเข้ามาสู่ตัวเรา
• ความรู้สึก "พอ" จะทำให้ชีวิตมีความสุข และเกิดความรู้สึกอยากแบ่งปันให้ผู้อื่น ความรู้สึกนี้จะเป็นพลังดึงดูดที่ทรงอานุภาพและเป็นทางลัดที่ง่ายที่สุดในการที่จะนำความมั่งคั่งมาสู่ตัวเรา
• จงแผ่เมตตาให้ทุกสรรพสิ่ง เพราะมีการทดลองพบว่ามีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพุ่งออกมาจากร่างกายขณะทีแผ่เมตตา
• จงมีสติทุกครั้งที่ระลึกและรู้สึกตัว ให้เข้าไปดูความรู้สึกและปรับให้เป็นบวกเสมอ
• ความรู้สึกเป็นกรรมเก่า ความคิดคือกรรมปัจจุบัน การจะตัดความรู้สึกต้องระดมพลังความคิดบวกให้เข้มข้น แล้วบีบอัด จนกลายเป็นความรู้สึกเชิงบวก จึงจะสามารถนำไปตัดความรู้สึกลบได้ (ระงับได้ด้วยการเจริญสติ)
• หมั่นใช้ปัญญาวิเคราะห์ความรู้สึก ว่าจะเหนี่ยวนำให้ความคิดเป็นบวกหรือลบ
• การคิดลบจะเกิดเป็นความรู้สึกฝังอยู่ในจิต เป็นกรรมติดตัว แต่ถ้าคิดบวก ก็จะเป็นการสกัดไม่ให้กรรมใหม่เกิดขึ้นอีก
• จงคิดบวกเสมอไม่ว่าสถานการณ์ใด คิดแต่สิ่งดีๆทำแต่สิ่งดีๆ แล้วจิตใต้สำนึกจะดึงดูดสิ่งที่ดีๆเหมือนกันเข้ามา ชีวิตเราก็จะไปสู่สิ่งที่ดี
• สิ่งที่สกัดกิเลสตัณหาได้มีเพียงสิ่งเดียวคือ "สติสัมปชัญญะ" เพราะเป็นตัวเฝ้าทวารทั้งขาเข้าและออก
• ในที่สุดเราก็จะรู้ว่า ทุกสิ่งแม้แต่ความรู้สึกก็ไม่มีอยู่จริง เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เหมือนฟองสบู่ที่เกิดดับภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
หนังสือเรื่องวิถีเรียบง่าย ชีวิตนอกกรอบ (คอก) เมื่อวันที่ระบอบเศรษฐกิจไม่สามารถตอบโจทย์ชีวิตได้
เขียนโดย พงษ์ ผาวิจิตร
สำนักพิมพ์ busy-day
เป็นหนังสือที่เขียนจากประสบการณ์ตรงบวกกับการหาคำอธิบายเพิ่มเติมจากทฤษฎี และทันสถานการณ์ปัจจุบันของโลก ทำให้รู้เท่าทันเข้าใจ กับสถานการณ์ของโลก เป็นการเรียนรู้ชีวิตเพื่อ สังเคราะห์ความรู้ใหม่เพื่อแก้ปัญหาใหม่ ช่วยสะท้อนแนวคิดและให้แง่คิดในการดำเนินชีวิต ในเรื่องวิถีชีวิตเรียบง่าย ซึ่งหลายๆคนอาจให้ความหมายที่แตกต่างกันไปแต่ในหนังสือเล่มนี้ได้เอาความหมายของ นักเขียนชื่อว่า ดูแอน เอลจิน (Duane Elgin) ซึ่งเป็นนักคิด นักกิจกรรมในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และเรื่องอนาคตศาสตร์ โดยให้คำจำกัดความง่ายๆว่า
วิถีชีวิตเรียบง่ายคือ การใช้ชีวิตเรียบง่ายภายนอก แต่ร่ำรวย หรูหรา ภายใน (Living in a way that is outwardly simply and inwardly rich) ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า การใช้ชีวิตเรียบง่าย จะต้องเป็นอยู่อย่างอัตคัต ขัดสน ยากจน แต่เป็นการอยู่อย่างมีสติ ใช้เท่าที่ต้องใช้ และไม่ไขว่คว้าหาสิ่งที่ไม่จำเป็นให้ปวดหัว
ในการเลือกอย่างเรียบง่าย โดยเลือกสิ่งที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและทรัพยากรที่เรามีอยู่ และไม่ต้องเลือกมาก เลือกเอาอันที่เป็นหลักๆในชีวิต แล้วลงไปในรายละเอียดของมันให้ลึกที่สุดจริงจังที่สุด
อันแรกคือให้กลับไปทบทวนชีวิตประจำวันในด้านต่างๆทั้งการกินอยู่ การเดินทาง การทำมาหากิน ความอยากทั้งหลาย เป็นต้น
- การเข้าใจคนอื่นอย่างง่ายๆ ไม่ต้องไปตีความให้ยุ่งยาก
- การเลือกที่อยู่ติดดิน เดินเท้าเปล่า ใช้พลังงานเท่าที่จำเป็น ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อโลก
- การตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเรา และหัดทักษะบางอย่างที่จะทำให้เราใช้ชีวิตพึ่งพาตนเองได้ และบางทักษะที่สามารถหาเงินมาจุนเจือตัวเองได้ เช่นการปลูกผักกินเอง งานซ่อมแซมเครื่องใช้ในบ้าน
- การกลับไปสู่รากเดิมของมนุษย์ที่มาจากธรรมชาติ
- การพัฒนาชีวิตในด้านจิตวิญญานด้วยการนั่งสมาธิ
- การตัดสิ่งรบกวนใจเราทั้งที่เป็นวัตถุหรือไม่ก็ตาม ให้เน้นแต่แก่นที่เป็นสาระสำคัญ คือทำให้ชีวิตประจำวันง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้
เหล่านี้คือปฐมบทสำหรับผู้แสวงหาความเรียบง่าย
วิถีชีวิตเรียบง่าย (Volunteer Simplicity) ไม่ใช่การหันหลังกลับไปสู่ธรรมชาติแบบดั้งเดิม การอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ก็ทำได้ ไม่ถึงกับทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ถึงกับอดอยากหรือต้องทรมานตนเอง และก็ไม่ใช่ห่วงโซ่ของการพัฒนาทางสังคมที่อยู่สูงสุด ไม่ใช่ปรัชญาชีวิตที่สูงส่งอะไรทั้งสิ้น แต่อาศัยเพียงจิตสำนึกในการพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมกับเราที่สุดในห้วงเวลาหนึ่งๆ ดังที่อัลเบิรต์ ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า
“ เราไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยหลักการที่เป็นต้นเหตุของปัญหา” ดังนั้นวิกฤตเศรษฐกิจในชีวิต จึงแก้ไม่ได้ด้วยระบอบเศรษฐกิจ แต่ถ้าเราปรับวิถีชีวิตบางส่วนของเราออกนอกระบอบเศรษฐกิจชีวิตก็จะง่ายขึ้น
สำนักพิมพ์ busy-day
เป็นหนังสือที่เขียนจากประสบการณ์ตรงบวกกับการหาคำอธิบายเพิ่มเติมจากทฤษฎี และทันสถานการณ์ปัจจุบันของโลก ทำให้รู้เท่าทันเข้าใจ กับสถานการณ์ของโลก เป็นการเรียนรู้ชีวิตเพื่อ สังเคราะห์ความรู้ใหม่เพื่อแก้ปัญหาใหม่ ช่วยสะท้อนแนวคิดและให้แง่คิดในการดำเนินชีวิต ในเรื่องวิถีชีวิตเรียบง่าย ซึ่งหลายๆคนอาจให้ความหมายที่แตกต่างกันไปแต่ในหนังสือเล่มนี้ได้เอาความหมายของ นักเขียนชื่อว่า ดูแอน เอลจิน (Duane Elgin) ซึ่งเป็นนักคิด นักกิจกรรมในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และเรื่องอนาคตศาสตร์ โดยให้คำจำกัดความง่ายๆว่า
วิถีชีวิตเรียบง่ายคือ การใช้ชีวิตเรียบง่ายภายนอก แต่ร่ำรวย หรูหรา ภายใน (Living in a way that is outwardly simply and inwardly rich) ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า การใช้ชีวิตเรียบง่าย จะต้องเป็นอยู่อย่างอัตคัต ขัดสน ยากจน แต่เป็นการอยู่อย่างมีสติ ใช้เท่าที่ต้องใช้ และไม่ไขว่คว้าหาสิ่งที่ไม่จำเป็นให้ปวดหัว
ในการเลือกอย่างเรียบง่าย โดยเลือกสิ่งที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและทรัพยากรที่เรามีอยู่ และไม่ต้องเลือกมาก เลือกเอาอันที่เป็นหลักๆในชีวิต แล้วลงไปในรายละเอียดของมันให้ลึกที่สุดจริงจังที่สุด
อันแรกคือให้กลับไปทบทวนชีวิตประจำวันในด้านต่างๆทั้งการกินอยู่ การเดินทาง การทำมาหากิน ความอยากทั้งหลาย เป็นต้น
- การเข้าใจคนอื่นอย่างง่ายๆ ไม่ต้องไปตีความให้ยุ่งยาก
- การเลือกที่อยู่ติดดิน เดินเท้าเปล่า ใช้พลังงานเท่าที่จำเป็น ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อโลก
- การตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเรา และหัดทักษะบางอย่างที่จะทำให้เราใช้ชีวิตพึ่งพาตนเองได้ และบางทักษะที่สามารถหาเงินมาจุนเจือตัวเองได้ เช่นการปลูกผักกินเอง งานซ่อมแซมเครื่องใช้ในบ้าน
- การกลับไปสู่รากเดิมของมนุษย์ที่มาจากธรรมชาติ
- การพัฒนาชีวิตในด้านจิตวิญญานด้วยการนั่งสมาธิ
- การตัดสิ่งรบกวนใจเราทั้งที่เป็นวัตถุหรือไม่ก็ตาม ให้เน้นแต่แก่นที่เป็นสาระสำคัญ คือทำให้ชีวิตประจำวันง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้
เหล่านี้คือปฐมบทสำหรับผู้แสวงหาความเรียบง่าย
วิถีชีวิตเรียบง่าย (Volunteer Simplicity) ไม่ใช่การหันหลังกลับไปสู่ธรรมชาติแบบดั้งเดิม การอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ก็ทำได้ ไม่ถึงกับทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ถึงกับอดอยากหรือต้องทรมานตนเอง และก็ไม่ใช่ห่วงโซ่ของการพัฒนาทางสังคมที่อยู่สูงสุด ไม่ใช่ปรัชญาชีวิตที่สูงส่งอะไรทั้งสิ้น แต่อาศัยเพียงจิตสำนึกในการพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมกับเราที่สุดในห้วงเวลาหนึ่งๆ ดังที่อัลเบิรต์ ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า
“ เราไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยหลักการที่เป็นต้นเหตุของปัญหา” ดังนั้นวิกฤตเศรษฐกิจในชีวิต จึงแก้ไม่ได้ด้วยระบอบเศรษฐกิจ แต่ถ้าเราปรับวิถีชีวิตบางส่วนของเราออกนอกระบอบเศรษฐกิจชีวิตก็จะง่ายขึ้น
สู่สำนึกธรรมชาติ เกษตรกรรมนิเวศในเขตร้อน
ชื่อผู้เขียน ซิมเป มูรากามิ
ชื่อผู้แปล ดิสทัต โรจนาลักษณ์
ซิมเป มูรากามิ เป็นชาวบังคลาเทศ ทำงานเป็นอาสาสมัครในหน่วยงาน NGO ในบังคลาเทศ
ทำงานเกี่ยวกับการทดลองและอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ซิมเป มูรากามิ ได้เข้าร่วมในงานสัมมนาที่ไร่ของ ฟูกูโอกะ เมื่อปี 2532 และได้นำเอาวิธีการทำเกษตรในแบบของ ฟูกูโอกะ มาใช้ในบังคลาเทศ ลักษณะของภูมิประเทศจะอยู่ในเขตร้อน ทำให้วิธีการทำเกษตรในแบบของ ฟูกูโอกะที่นำมาใช้นั้นมีปัญหาเพราะสภาพภูมิประเทศที่ต่างกัน จึงทดลองและเรียนรู้ธรรมชาติเพื่อหาความเหมาะสมกับการทำเกษตรในเขตร้อน
ในการทำการเกษตรนั้นเป็นประดิษฐกรรมที่มนุษย์เราสร้างขึ้นเพื่อเรียนแบบธรรมชาติ แต่ไม่สามารถเรียนแบบระบบของธรรมชาติได้ ซึ่งการเรียนแบบนี้เองก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมายที่ไม่เกิดในป่าธรรมชาติจริง ทำให้การทำการเกษตรได้ผลผลิตไม่คุ้มค่ากับการลงทุน สิ่งสำคัญในการทำการเกษตรนั้นคือต้องเคารพกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ปัญหาของการทำการเกษตรที่เกิดขึ้นนั้น เพราะมนุษย์นั้นเพิกเฉยไม่เคารพกฎเกณฑ์ธรรมชาติ เราจะต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์ธรรมชาติ และแยกหรือหาความต่างระหว่างเกษตรกรรมกับธรรมชาติให้ได้ จากนั้นค่อยปรับเปลี่ยนและปรับปรุงการเกษตรให้ได้คล้ายคลึงธรรมชาติมากที่สุด ปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะค่อยๆลดลงและ หมดไปในการทำการเกษตร
กฎข้อสำคัญสำหรับเกษตรกรรม
1. แสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานสำคัญในการผลิตคาร์โบไฮเดรท การใช้ประโยชน์สูงสุดจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการผลิตทางการเกษตร
2. พืชสีเขียวเท่านั้นที่สามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตคาร์โบไฮเดรท การใช้ประโยชน์นี้จะทำได้มากน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนของพืชสีเขียว
3. แหล่งที่มาของความสมบูรณ์ของดินคือ อินทรียวัตถุที่มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่ การป้อนอินทรีวัตถุให้กับดินจึงจำเป็นอย่างมากในการเกษตร
4. สิ่งมีชีวิตทั้งมวลมีความสัมพันธ์ต่อกันในธรรมชาติ
ในการทำเกษตรกรรมให้ได้ผลคุ้มค่ากับการลงทุนนั้นจะต้องมีการนำกฎทั้ง 4 ข้อ นั้นมาใช้ในการทำการเกษตรให้ได้มากที่สุด จะต้องมีการศึกษาทดลองเพื่อให้เกิดความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่การผลิต และจะเห็นได้ว่าความแตกต่างในแต่เขตของระบบนิเวศนั้น จะต้องมีวิธีการทำเกษตรที่แตกต่างกันเพื่อความสมดุลของแต่ละระบบนิเวศนั้นๆ ระบบนิเวศในเขตร้อนมีลักษณะที่รุนแรงแต่มีดุลยภาพที่ละเอียดอ่อน เกษตรกรจะต้องรีบสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสม สามารถที่จะนำพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติให้ได้เต็มที่ และต้องไม่ทำลายสมดุลทางนิเวศนั้น ถ้าหากเราสร้างระบบนิเวศในเขตร้อนได้เหมาะสมผลิตผลทางการเกษตรจะสูงกว่าเขตอบอุ่นมาก
เกษตรกรรมเป็นประดิษฐกรรมที่มนุษย์เราสร้างแต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เกษตรกรรมไม่ได้อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติสอนเราว่าอารยธรรมต่างๆรุ่งเรืองแล้วดับไปเพราะความล้มเหลวในการปฏิบัติต่อธรรมชาติ อารยธรรมสามารถผสมพันธุ์พืชได้สำเร็จ แต่ทิ้งทะเลทรายไว้ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในอดีตและยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน ป่าธรรมชาติถูกมนุษย์ทำลายและการทำเกษตรที่ไม่เหมาะสมทำลายระบบนิเวศ เกิดปัญหากับสิ่งแวดล้อม มนุษย์เราควรจะเข้าใจได้แล้วว่าการทำการเกษตรตามแบบแผนที่ไม่ถูกต้อง จะทำลายรากฐานในระบบนิเวศอันเป็นรากฐานของมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายมากในระบบนิเวศเขตร้อน
ดิน คือ วัตถุธรรมชาติที่เกิดจากการแปรสภาพทางกายภาพและทางเคมีของหิน และแร่ธาตุต่าง ๆ รวมตัวกับอินทรียวัตถุ ที่สลายตัวจากซากพืชและซากสัตว์ ดินประกอบด้วยแร่ธาตุที่เป็นของแข็ง อินทรียวัตถุ น้ำ และอากาศที่มีสัดส่วนแตกต่างกันออกไป การเกิดขึ้นของดินเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำร่วมกันของปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพภูมิอากาศ พืช และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ต่อวัตถุต้นกำเนิดของดิน ในสภาพพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้น “ดิน” ในที่แห่งหนึ่งจึงอาจเหมือนหรือต่างไปจากดินในที่อีกแห่งหนึ่งได้ ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของปัจจัยเหล่านี้ ซึ่งมีความมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละบริเวณส่งผลให้ดินมีลักษณะเด่นเฉพาะตัว และเมื่อปัจจัยเปลี่ยนไป ดินจะมีลักษณะหรือสมบัติต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป น้ำในดิน น้ำในดิน คือ น้ำที่อยู่ในช่องว่างระหว่างเม็ดดิน มีความสำคัญมากต่อการปลูกพืช เนื่องจากน้ำในดินมีสารละลายของเกลือแร่ธาตุอาหารของพืช ดังนั้น จึงมักเรียกน้ำในดินว่า สารละลายดิน ซึ่งพืชจะดูดเข้าไปทางรากเพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ภายในพืช ถ้าปริมาณน้ำในดินลดลงถึงจุด ๆ หนึ่ง จนรากพืชไม่สามารถดูดน้ำขึ้นไปได้ พืชจะแสดงอาการเหี่ยวเฉาและตายในที่สุด แต่ถ้าปริมาณน้ำในดินมีมากเกินไปจะมีผลทำให้ปริมาณช่องว่างในดินลดลงไปด้วย เนื่องจากน้ำไปแทรกอยู่ตามรูพรุนของดิน รากพืชจะขาดออกซิเจนสำหรับหายใจ เมื่อปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน ๆ พืชก็จะตายเช่นเดียวกัน อากาศในดิน อากาศในดินอยู่ในช่องว่างระหว่างเม็ดดินในส่วนที่ไม่มีน้ำ อากาศในดินมีส่วนประกอบแตกต่างไปจากอากาศในชั้นบรรยากาศ เนื่องจากปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นองค์ประกอบของอากาศในดินมีมากกว่าในชั้นบรรยากาศและปริมาณของก๊าซออกซิเจนของอากาศในดินมีน้อยกว่าในชั้นบรรยากาศ ซึ่งรากพืชจะใช้เฉพาะก๊าซออกซิเจนเท่านั้นสำหรับการหายใจและการแพร่กระจาย ขยายเซลล์ของรากพืช ดังนั้นจึงต้องมีการจัดการให้ดินมีช่องว่างสำหรับระบายอากาศ
โดยสรุปจึงอาจกล่าวได้ว่า ดินเป็นผลลัพธ์โดยตรงของหิน แร่ ที่สลายตัวผุพังแล้ว ทับถมกันเกิดเป็นวัตถุต้นกำเนิดดิน เมื่อผสมคลุกเคล้ากับอินทรียวัตถุ และผ่านกระบวนการทางดิน จะปรากฏลักษณะและเกิดเป็นชั้นดินต่างๆ ขึ้น ซึ่งเราสามารถประเมินคุณสมบัติและจำแนกดินออกเป็นชนิดๆ ได้โดยการศึกษาลักษณะ และชั้นดินต่างๆ ที่เรียงต่อเนื่องกันจากข้างบนลงไปข้างล่างจนถึงชั้นหินที่สลายตัวหรือชั้นของวัตถุอื่นๆ
ปัญหาของเกษตรกรรมเคมี เป็นผลเสียหายร้ายแรงกับชาวไร่ชาวนาเป็นการทำลายและต่อต้านธรรมชาติโดยสิ้นเชิง เกิดปัญหาผลพวงมากมายหลายประการ ดินเสื่อมโทรม ต้นทุนสูง ปัญหาศัตรูพืช ปัญหาธรรมชาติ มลพิษในสิ่งแวดล้อม และยังมีปัญหาอื่นๆที่จะตามมาอีกมากมาย ปัญหาทางนิเวศวิทยาที่กล่าวมานั้นเกิดขึ้นเพราะการใช้ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลงในการทำการเกษตร การใช้สารเคมีในการเกษตรเราจะพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นทีละประเด็น
ดินเสื่อมโทรม เมื่อมีการใช้สารเคมีปัญหาแรกที่ต้องพบคือดินเสื่อมโทรม เพราะขาดแคลนอินทรีวัตถุในดิน ฮิวมัสลดลง และจุลินทรีย์ลดลงหรือถูกทำลาย ความสมดุลทางเคมีและชีววิทยาในดิน ค่าความเป็นกรด – ด่าง เสียสมดุล ธาตุอาหารหลักของพืชปลดปล่อยออกมาให้พืชนำไปใช้ได้ยากขึ้น พืชที่ปลูกไม่สมบูรณ์ผลผลิตลดลง โครงสร้างดินถูกทำลาย ความสามารถในการกักเก็บน้ำลดลง ความสามารถในการตรึงธาตุอาหารลดลง จุลินทรีย์ลดลง
ปัญหาศัตรูพืช ดินเสื่อมคือดินอ่อนแอเมื่อดินอ่อนแอ พืชก็อ่อนแอและถูกแมลงศัตรูพืชทำลายเสียหาย เกษตรกรใช้ยาฆ่าแมลง แมลงศัตรูธรรมชาติก็ตายด้วย ความสมดุลระบบนิเวศของแมลงเปลี่ยน ทำให้เกิดโรคระบาดกับพืชผลทางการเกษตร
คุณภาพของอาหารด้อยลง การใช้ปุ๋ยและสารเคมีต่างๆ กับพืชที่ปลูก ผลผลิตที่ได้ทั้งคุณภาพและคุณค่าทางอาหารจะลดลง ทั้งรสชาติ การเก็บรักษายาก คุณสมบัติทางยาลดลง วิตามิน โปรตีน และแร่ธาตุ จะน้อยกว่าวิธีการปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี และไม่คำนึงถึงสุขภาพของผู้บริโภค
มลพิษในดิน น้ำ อากาศ และผลผลิต เมื่อใช้สารเคมีในการเกษตร เป็นการสร้างมลพิษในสิ่งแวดล้อมเพราะสารพิษเหล่านั้นจะตกค้างนานกว่า 10 ปี และปนเปื้อนในผลผลิตเมื่อบริโภคก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพเกิดการสะสมในร่างกายทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดการเสื่อมสูญของเมล็ดพันธุ์พื้นเมืองเพราะการส่งเสริมผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ตอบสนองสารเคมีต่างๆ เพื่อให้ได้ผลผลิตสูง ปลูกพืชเชิงเดี่ยวทำให้เกิดความไม่สมดุลทางนิเวศ
หลักการเกษตรกรรม เมื่อเราเข้าใจเกษตรกรรมเคมีแล้วเข้าใจถึงผลกระทบจากการใช้สารเคมี เราจะต้องเปลี่ยนมาทำเกษตรกรรมธรรมชาติ ต้องอาศัยป่าธรรมชาติเป็นพื้นฐาน เรียนรู้ระบบนิเวศจากป่า ปลูกพืชให้หลากหลาย ผสมผสาน พืชหมุนเวียน ไม้ยืนต้น และเลี้ยงสัตว์เพื่อการเกื้อกูลกัน สร้างดินให้มีชีวิต เปรียบเสมือนการสร้างบ้านให้จุลินทรีย์ นำมูลสัตว์ใส่ในดิน เศษซากพืชซากสัตว์ที่ผ่านการหมักและที่สำคัญจะต้องไม่นำสารพิษใส่ลงในดิโดยเด็ดขาด เท่านี้ก็เป็นการสร้างดินให้มีชีวิต
หลักการบำรุงดินและอนุรักษ์ดิน การปรับปรุงบำรุงดิน การเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดิน เช่น การใส่ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยคอก การปลูกพืชตระกูลถั่ว การใส่ปูนขาวในดินที่เป็นกรด การแก้ไขพื้นที่ดินเค็มด้วยการระบายน้ำเข้าที่ดิน เป็นต้น
การป้องกันการเสื่อมโทรมของดิน ได้แก่ การปลูกพืชคลุมดิน การปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชบังลม การไถพรวนตามแนวระดับ การทำคันดินป้องกันการไหลชะล้างหน้าดิน รวมทั้งการไม่เผาป่าหรือการทำไร่เลื่อนลอย
การให้ความชุ่มชื้นแก่ดิน การระบายน้ำในดินที่มีน้ำขังออกการจัดส่งเข้าสู่ที่ดินและการใช้วัสดุ เช่น หญ้าหรือฟางคลุมหน้าดินจะช่วยให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการพังทลายหรือการสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ของหน้าดินนั้น จะทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ติดตามมา เช่น ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ทำให้เกษตรกรต้องซื้อปุ๋ยเคมีมาบำรุงดินเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล ตะกอนดินที่ถูกชะล้างทำให้แม่น้ำและปากแม่น้ำตื้นเขิน ต้องขุดลอกใช้เงินเป็นจำนวนมาก เราจึงควรป้องกันไม่ให้ดินพังทลายหรือเสื่อมโทรมซึ่งสามารถกระทำได้ด้วยการอนุรักษ์ดิน การใช้ที่ดินอย่างถูกต้องเหมาะสม การปลูกพืชควรต้องคำนึงถึงชนิดของพืชที่เหมาะสมกับคุณสมบัติของดิน การปลูกพืชและการไถพรวนตามแนวระดับเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน นอกจากนี้ควรจะสงวนรักษาที่ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ไว้ใช้ในกิจการอื่น ๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ที่อยู่อาศัย เพราะที่ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์และเหมาะสมในการเพาะปลูกมีอยู่จำนวนน้อย
สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายต้องอาศัยดินในการยังชีพและการเจริญเติบโต ถ้าปราศจากดินก็แทบจะกล่าวได้ว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่ในโลกนี้เลย ดินเป็นที่มาของปัจจัย 4 อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคของมนุษย์ ซึ่งอาจเป็นการได้มาโดยทางตรง หรือทางอ้อมก็ได้ พืชต้องอาศัยดินในการเจริญเติบโต ตั้งแต่เริ่มงอกออกจากเมล็ด จนกระทั่งโตให้ดอกให้ผล เนื่องจากดินเป็นสิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งที่ควบคุมหรือ กำหนดการเจริญเติบโตของพืช ดังนั้นในการปลูกพืช จึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของดิน
สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดการปลูกพืชต่างระดับ ควรปลูกพืชชนิดใด สารที่ใช้ไล่แมลง การปลูกพืชแนวกันลมให้ได้ผลคุมค่าและอื่นๆที่เป็นประโยชน์อีกมากมาย สามารถหาได้ในหนังสือสู่สำนึกธรรมชาติ เป็นแนวคิดเกษตรกรรมธรรมชาติสู่การปฏิบัติ โดยยึดหลักของธรรมชาติเป็นที่ตั้ง
ซิมเป มูรากามิ เป็นชาวบังคลาเทศ ทำงานเป็นอาสาสมัครในหน่วยงาน NGO ในบังคลาเทศ
ทำงานเกี่ยวกับการทดลองและอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ซิมเป มูรากามิ ได้เข้าร่วมในงานสัมมนาที่ไร่ของ ฟูกูโอกะ เมื่อปี 2532 และได้นำเอาวิธีการทำเกษตรในแบบของ ฟูกูโอกะ มาใช้ในบังคลาเทศ ลักษณะของภูมิประเทศจะอยู่ในเขตร้อน ทำให้วิธีการทำเกษตรในแบบของ ฟูกูโอกะที่นำมาใช้นั้นมีปัญหาเพราะสภาพภูมิประเทศที่ต่างกัน จึงทดลองและเรียนรู้ธรรมชาติเพื่อหาความเหมาะสมกับการทำเกษตรในเขตร้อน
ในการทำการเกษตรนั้นเป็นประดิษฐกรรมที่มนุษย์เราสร้างขึ้นเพื่อเรียนแบบธรรมชาติ แต่ไม่สามารถเรียนแบบระบบของธรรมชาติได้ ซึ่งการเรียนแบบนี้เองก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมายที่ไม่เกิดในป่าธรรมชาติจริง ทำให้การทำการเกษตรได้ผลผลิตไม่คุ้มค่ากับการลงทุน สิ่งสำคัญในการทำการเกษตรนั้นคือต้องเคารพกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ปัญหาของการทำการเกษตรที่เกิดขึ้นนั้น เพราะมนุษย์นั้นเพิกเฉยไม่เคารพกฎเกณฑ์ธรรมชาติ เราจะต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์ธรรมชาติ และแยกหรือหาความต่างระหว่างเกษตรกรรมกับธรรมชาติให้ได้ จากนั้นค่อยปรับเปลี่ยนและปรับปรุงการเกษตรให้ได้คล้ายคลึงธรรมชาติมากที่สุด ปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะค่อยๆลดลงและ หมดไปในการทำการเกษตร
กฎข้อสำคัญสำหรับเกษตรกรรม
1. แสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานสำคัญในการผลิตคาร์โบไฮเดรท การใช้ประโยชน์สูงสุดจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการผลิตทางการเกษตร
2. พืชสีเขียวเท่านั้นที่สามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตคาร์โบไฮเดรท การใช้ประโยชน์นี้จะทำได้มากน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนของพืชสีเขียว
3. แหล่งที่มาของความสมบูรณ์ของดินคือ อินทรียวัตถุที่มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่ การป้อนอินทรีวัตถุให้กับดินจึงจำเป็นอย่างมากในการเกษตร
4. สิ่งมีชีวิตทั้งมวลมีความสัมพันธ์ต่อกันในธรรมชาติ
ในการทำเกษตรกรรมให้ได้ผลคุ้มค่ากับการลงทุนนั้นจะต้องมีการนำกฎทั้ง 4 ข้อ นั้นมาใช้ในการทำการเกษตรให้ได้มากที่สุด จะต้องมีการศึกษาทดลองเพื่อให้เกิดความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่การผลิต และจะเห็นได้ว่าความแตกต่างในแต่เขตของระบบนิเวศนั้น จะต้องมีวิธีการทำเกษตรที่แตกต่างกันเพื่อความสมดุลของแต่ละระบบนิเวศนั้นๆ ระบบนิเวศในเขตร้อนมีลักษณะที่รุนแรงแต่มีดุลยภาพที่ละเอียดอ่อน เกษตรกรจะต้องรีบสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสม สามารถที่จะนำพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติให้ได้เต็มที่ และต้องไม่ทำลายสมดุลทางนิเวศนั้น ถ้าหากเราสร้างระบบนิเวศในเขตร้อนได้เหมาะสมผลิตผลทางการเกษตรจะสูงกว่าเขตอบอุ่นมาก
เกษตรกรรมเป็นประดิษฐกรรมที่มนุษย์เราสร้างแต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เกษตรกรรมไม่ได้อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติสอนเราว่าอารยธรรมต่างๆรุ่งเรืองแล้วดับไปเพราะความล้มเหลวในการปฏิบัติต่อธรรมชาติ อารยธรรมสามารถผสมพันธุ์พืชได้สำเร็จ แต่ทิ้งทะเลทรายไว้ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในอดีตและยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน ป่าธรรมชาติถูกมนุษย์ทำลายและการทำเกษตรที่ไม่เหมาะสมทำลายระบบนิเวศ เกิดปัญหากับสิ่งแวดล้อม มนุษย์เราควรจะเข้าใจได้แล้วว่าการทำการเกษตรตามแบบแผนที่ไม่ถูกต้อง จะทำลายรากฐานในระบบนิเวศอันเป็นรากฐานของมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายมากในระบบนิเวศเขตร้อน
ดิน คือ วัตถุธรรมชาติที่เกิดจากการแปรสภาพทางกายภาพและทางเคมีของหิน และแร่ธาตุต่าง ๆ รวมตัวกับอินทรียวัตถุ ที่สลายตัวจากซากพืชและซากสัตว์ ดินประกอบด้วยแร่ธาตุที่เป็นของแข็ง อินทรียวัตถุ น้ำ และอากาศที่มีสัดส่วนแตกต่างกันออกไป การเกิดขึ้นของดินเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำร่วมกันของปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพภูมิอากาศ พืช และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ต่อวัตถุต้นกำเนิดของดิน ในสภาพพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้น “ดิน” ในที่แห่งหนึ่งจึงอาจเหมือนหรือต่างไปจากดินในที่อีกแห่งหนึ่งได้ ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของปัจจัยเหล่านี้ ซึ่งมีความมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละบริเวณส่งผลให้ดินมีลักษณะเด่นเฉพาะตัว และเมื่อปัจจัยเปลี่ยนไป ดินจะมีลักษณะหรือสมบัติต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป น้ำในดิน น้ำในดิน คือ น้ำที่อยู่ในช่องว่างระหว่างเม็ดดิน มีความสำคัญมากต่อการปลูกพืช เนื่องจากน้ำในดินมีสารละลายของเกลือแร่ธาตุอาหารของพืช ดังนั้น จึงมักเรียกน้ำในดินว่า สารละลายดิน ซึ่งพืชจะดูดเข้าไปทางรากเพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ภายในพืช ถ้าปริมาณน้ำในดินลดลงถึงจุด ๆ หนึ่ง จนรากพืชไม่สามารถดูดน้ำขึ้นไปได้ พืชจะแสดงอาการเหี่ยวเฉาและตายในที่สุด แต่ถ้าปริมาณน้ำในดินมีมากเกินไปจะมีผลทำให้ปริมาณช่องว่างในดินลดลงไปด้วย เนื่องจากน้ำไปแทรกอยู่ตามรูพรุนของดิน รากพืชจะขาดออกซิเจนสำหรับหายใจ เมื่อปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน ๆ พืชก็จะตายเช่นเดียวกัน อากาศในดิน อากาศในดินอยู่ในช่องว่างระหว่างเม็ดดินในส่วนที่ไม่มีน้ำ อากาศในดินมีส่วนประกอบแตกต่างไปจากอากาศในชั้นบรรยากาศ เนื่องจากปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นองค์ประกอบของอากาศในดินมีมากกว่าในชั้นบรรยากาศและปริมาณของก๊าซออกซิเจนของอากาศในดินมีน้อยกว่าในชั้นบรรยากาศ ซึ่งรากพืชจะใช้เฉพาะก๊าซออกซิเจนเท่านั้นสำหรับการหายใจและการแพร่กระจาย ขยายเซลล์ของรากพืช ดังนั้นจึงต้องมีการจัดการให้ดินมีช่องว่างสำหรับระบายอากาศ
โดยสรุปจึงอาจกล่าวได้ว่า ดินเป็นผลลัพธ์โดยตรงของหิน แร่ ที่สลายตัวผุพังแล้ว ทับถมกันเกิดเป็นวัตถุต้นกำเนิดดิน เมื่อผสมคลุกเคล้ากับอินทรียวัตถุ และผ่านกระบวนการทางดิน จะปรากฏลักษณะและเกิดเป็นชั้นดินต่างๆ ขึ้น ซึ่งเราสามารถประเมินคุณสมบัติและจำแนกดินออกเป็นชนิดๆ ได้โดยการศึกษาลักษณะ และชั้นดินต่างๆ ที่เรียงต่อเนื่องกันจากข้างบนลงไปข้างล่างจนถึงชั้นหินที่สลายตัวหรือชั้นของวัตถุอื่นๆ
ปัญหาของเกษตรกรรมเคมี เป็นผลเสียหายร้ายแรงกับชาวไร่ชาวนาเป็นการทำลายและต่อต้านธรรมชาติโดยสิ้นเชิง เกิดปัญหาผลพวงมากมายหลายประการ ดินเสื่อมโทรม ต้นทุนสูง ปัญหาศัตรูพืช ปัญหาธรรมชาติ มลพิษในสิ่งแวดล้อม และยังมีปัญหาอื่นๆที่จะตามมาอีกมากมาย ปัญหาทางนิเวศวิทยาที่กล่าวมานั้นเกิดขึ้นเพราะการใช้ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลงในการทำการเกษตร การใช้สารเคมีในการเกษตรเราจะพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นทีละประเด็น
ดินเสื่อมโทรม เมื่อมีการใช้สารเคมีปัญหาแรกที่ต้องพบคือดินเสื่อมโทรม เพราะขาดแคลนอินทรีวัตถุในดิน ฮิวมัสลดลง และจุลินทรีย์ลดลงหรือถูกทำลาย ความสมดุลทางเคมีและชีววิทยาในดิน ค่าความเป็นกรด – ด่าง เสียสมดุล ธาตุอาหารหลักของพืชปลดปล่อยออกมาให้พืชนำไปใช้ได้ยากขึ้น พืชที่ปลูกไม่สมบูรณ์ผลผลิตลดลง โครงสร้างดินถูกทำลาย ความสามารถในการกักเก็บน้ำลดลง ความสามารถในการตรึงธาตุอาหารลดลง จุลินทรีย์ลดลง
ปัญหาศัตรูพืช ดินเสื่อมคือดินอ่อนแอเมื่อดินอ่อนแอ พืชก็อ่อนแอและถูกแมลงศัตรูพืชทำลายเสียหาย เกษตรกรใช้ยาฆ่าแมลง แมลงศัตรูธรรมชาติก็ตายด้วย ความสมดุลระบบนิเวศของแมลงเปลี่ยน ทำให้เกิดโรคระบาดกับพืชผลทางการเกษตร
คุณภาพของอาหารด้อยลง การใช้ปุ๋ยและสารเคมีต่างๆ กับพืชที่ปลูก ผลผลิตที่ได้ทั้งคุณภาพและคุณค่าทางอาหารจะลดลง ทั้งรสชาติ การเก็บรักษายาก คุณสมบัติทางยาลดลง วิตามิน โปรตีน และแร่ธาตุ จะน้อยกว่าวิธีการปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี และไม่คำนึงถึงสุขภาพของผู้บริโภค
มลพิษในดิน น้ำ อากาศ และผลผลิต เมื่อใช้สารเคมีในการเกษตร เป็นการสร้างมลพิษในสิ่งแวดล้อมเพราะสารพิษเหล่านั้นจะตกค้างนานกว่า 10 ปี และปนเปื้อนในผลผลิตเมื่อบริโภคก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพเกิดการสะสมในร่างกายทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดการเสื่อมสูญของเมล็ดพันธุ์พื้นเมืองเพราะการส่งเสริมผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ตอบสนองสารเคมีต่างๆ เพื่อให้ได้ผลผลิตสูง ปลูกพืชเชิงเดี่ยวทำให้เกิดความไม่สมดุลทางนิเวศ
หลักการเกษตรกรรม เมื่อเราเข้าใจเกษตรกรรมเคมีแล้วเข้าใจถึงผลกระทบจากการใช้สารเคมี เราจะต้องเปลี่ยนมาทำเกษตรกรรมธรรมชาติ ต้องอาศัยป่าธรรมชาติเป็นพื้นฐาน เรียนรู้ระบบนิเวศจากป่า ปลูกพืชให้หลากหลาย ผสมผสาน พืชหมุนเวียน ไม้ยืนต้น และเลี้ยงสัตว์เพื่อการเกื้อกูลกัน สร้างดินให้มีชีวิต เปรียบเสมือนการสร้างบ้านให้จุลินทรีย์ นำมูลสัตว์ใส่ในดิน เศษซากพืชซากสัตว์ที่ผ่านการหมักและที่สำคัญจะต้องไม่นำสารพิษใส่ลงในดิโดยเด็ดขาด เท่านี้ก็เป็นการสร้างดินให้มีชีวิต
หลักการบำรุงดินและอนุรักษ์ดิน การปรับปรุงบำรุงดิน การเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดิน เช่น การใส่ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยคอก การปลูกพืชตระกูลถั่ว การใส่ปูนขาวในดินที่เป็นกรด การแก้ไขพื้นที่ดินเค็มด้วยการระบายน้ำเข้าที่ดิน เป็นต้น
การป้องกันการเสื่อมโทรมของดิน ได้แก่ การปลูกพืชคลุมดิน การปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชบังลม การไถพรวนตามแนวระดับ การทำคันดินป้องกันการไหลชะล้างหน้าดิน รวมทั้งการไม่เผาป่าหรือการทำไร่เลื่อนลอย
การให้ความชุ่มชื้นแก่ดิน การระบายน้ำในดินที่มีน้ำขังออกการจัดส่งเข้าสู่ที่ดินและการใช้วัสดุ เช่น หญ้าหรือฟางคลุมหน้าดินจะช่วยให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการพังทลายหรือการสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ของหน้าดินนั้น จะทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ติดตามมา เช่น ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ทำให้เกษตรกรต้องซื้อปุ๋ยเคมีมาบำรุงดินเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล ตะกอนดินที่ถูกชะล้างทำให้แม่น้ำและปากแม่น้ำตื้นเขิน ต้องขุดลอกใช้เงินเป็นจำนวนมาก เราจึงควรป้องกันไม่ให้ดินพังทลายหรือเสื่อมโทรมซึ่งสามารถกระทำได้ด้วยการอนุรักษ์ดิน การใช้ที่ดินอย่างถูกต้องเหมาะสม การปลูกพืชควรต้องคำนึงถึงชนิดของพืชที่เหมาะสมกับคุณสมบัติของดิน การปลูกพืชและการไถพรวนตามแนวระดับเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน นอกจากนี้ควรจะสงวนรักษาที่ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ไว้ใช้ในกิจการอื่น ๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ที่อยู่อาศัย เพราะที่ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์และเหมาะสมในการเพาะปลูกมีอยู่จำนวนน้อย
สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายต้องอาศัยดินในการยังชีพและการเจริญเติบโต ถ้าปราศจากดินก็แทบจะกล่าวได้ว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่ในโลกนี้เลย ดินเป็นที่มาของปัจจัย 4 อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคของมนุษย์ ซึ่งอาจเป็นการได้มาโดยทางตรง หรือทางอ้อมก็ได้ พืชต้องอาศัยดินในการเจริญเติบโต ตั้งแต่เริ่มงอกออกจากเมล็ด จนกระทั่งโตให้ดอกให้ผล เนื่องจากดินเป็นสิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งที่ควบคุมหรือ กำหนดการเจริญเติบโตของพืช ดังนั้นในการปลูกพืช จึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของดิน
สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดการปลูกพืชต่างระดับ ควรปลูกพืชชนิดใด สารที่ใช้ไล่แมลง การปลูกพืชแนวกันลมให้ได้ผลคุมค่าและอื่นๆที่เป็นประโยชน์อีกมากมาย สามารถหาได้ในหนังสือสู่สำนึกธรรมชาติ เป็นแนวคิดเกษตรกรรมธรรมชาติสู่การปฏิบัติ โดยยึดหลักของธรรมชาติเป็นที่ตั้ง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)