วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

เดอะท็อปซีเคร็ต 2

โดย ทันตแพทย์สม สุจีรา
นางสังข์วาร โพธิไพร
ฝ่ายวิสาหกิจชุมชน

หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะพยายามเปิดเผยความลับที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จแตกต่างกัน โดยเขียนขึ้นจากประสบการณ์จริง รวมกับความรู้ทางด้านแพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวัตศาสตร์ จิตวิทยา บริหารธุรกิจ และพุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นหนังสือที่รวมเอาศาสตร์หลาย ๆ สาขามาใช้ในการอธิบายอย่างผสมกลมกลืน

หนังสือเดอะท็อปซีเคร็ต 2 ความลับสู่ความสำเร็จ ผู้เขียนได้วิเคราะห์ความสำคัญของสมองซีกซ้าย ซีกขวา กำลังของสติและความรู้สึก ซึ่งนำไปสู่การเปิดเผยความลับสู่ความสำเร็จทั้งด้าน การเรียน การงาน การเงิน ธุรกิจ และชีวิต พร้อมทั้งยกตัวอย่างและแนวทางการปฏิบัติที่ตรง กระจ่าง ชัดเจนและเหมาะจะนำไปปรับใช้กับชีวิตเป็น อย่างยิ่ง แล้วจะรู้ว่าชีวิตนั้น หากมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วการบรรลุเป้าหมายนั้นไม่ยากเลยขอเพียงลงมือทำอย่างจริงจัง แต่สิ่งที่ยากที่สุดอยู่ที่การไม่เริ่มต้นลงมือทำต่างหาก

ความลับของสมอง
มนุษย์เราทุกคนเกิดมาจะมีโครงสร้างสมองเหมือนกัน ขนาดเท่า ๆ กัน จำนวนเซลล์ประสาทไม่แตกตางกัน แต่สิ่งที่ทำให้บางคนฉลาดมาก เรียนเก่ง ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นเพราะพวกเขารู้ความลับของการใช้สมองบางส่วนที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ โดยอาจจะเป็นผลมาจาก พันธุกรรม การเลี้ยงดู พรสวรรค์ การศึกษา ฯลฯ ในทางพระพุทธศาสนาบอกว่า เกิดจากเจตสิก อันเป็นพลังมาจากกรรมเก่า รวมกลุ่มขึ้นเป็นองค์ประกอบของดวงจิต มารับอารมณ์ (เวทนา ตัณหา)อารมณ์เหล่านี้จะไปเหนี่ยวนำให้สมองส่วนที่ต้องการใช้เริ่มทำงานเกิดเป็นฉันทะ (ความชอบ ความถนัด ความพอใจ)

สำหรับนักวิทยาศาสตร์ วงการแพทย์ และวงการจิตวิทยาที่ไม่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ จึงเน้นเรื่องการศึกษาวิจัยเชิงกายภาพของสมองทั้งระบบการส่งสัญญาณประสาทและการทำงานของสมองส่วนต่าง ๆ

สมองของมนุษย์แบ่งออกเป็นสองซีก เหมือนส้มโอกลีบใหญ่ ๆ ที่นำมาประกบกันถ้าดูภายนอกจะบอกได้ว่า สมองทั้งสองเหมือนกัน ดูสมมาตร กลมกลืนและขนาดเท่ากันวงการแพทย์ทราบมานานแล้วว่า สมองแต่ละซีกจะควบคุมและรับสัมผัสร่างกายด้านตรงข้ามคือสมองซีกซ้ายทำหน้าที่ควบคุมและรับสัมผัสร่างกายด้านขวา ทั้งตา หู จมูก แขน ขา ฯลฯ ส่วนสมองซีกขวาก็จะส่งเส้นประสาทไข้วไปยังร่างกายด้านซ้ายดังนั้นถ้าเรามองด้านตาซ้าย สัญญาณภาพส่วนใหญ่จะถูกส่งไปที่สมองซีกขวาในทางตรงกันข้าม ถ้าเราเอาหูขวาฟัง สัญญาณเสียงจะส่งไปที่สมองซึกซ้าย

การทำงานของสมอง
- ปาฏิหารย์จากสมองซีกขวา
สมองซีกขวาจะทำงานได้เร็วกว่าสมองซีกซ้ายหลายเท่าการตัดสินใจฉับไว เช่น ขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วแล้วสุนัขวิ่งตัดหน้ากะทันหัน สมองซีกซ้ายจะคิดเชิงตรรกะว่าจะทำอย่างไร ถ้าชนแล้วจะบาปไหม จะหักหลบซ้ายหรือขวาดี มีเสาไฟฟ้าข้างทางหรือไม่ แต่การคิดวิเคราะห์เชิงเหตุผลอย่างละเอียดใช้ไม่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ไหวพริบปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยได้การตัดสิน ใจต้องเกิดขึ้นในเสี่ยววินาที ถ้าเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการตัดสินใจแบบนี้ มาก่อน จะทำให้สมองซีกขวาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น คนทั่วไปจะเรียกการทำงานของสมองซีกขวาว่า ไหวพริบ ปฏิภาณ ความคิดสร้างสรรค์ การหยั่งรู้ สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับการนึกคิดตรึกตรองหาเหตุผลแบบซีกซ้าย แต่การทำงานของมันรวดเร็ว ถูกต้อง และแน่นอนเพราะทำงานในระดับที่ละเอียดและซับซ้อนมากลงลึกถึงจิตใต้สำนึก

จากการตรวจวัดสมองด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กพบว่าผู้ที่ใช้สมองซีกซ้ายมากเกินไป เมื่อผิดพลาดล้มเหลวในชีวิต จะเกิดอาการโรคประสาทย้ำคิดย้ำทำ มองตัวเองในแง่ร้าย ตำหนิความบกพร่องตัวเอง มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตายสูงมาก ส่วนสมองซีกขวาอยู่เหนือขอบเขตของตรรกะเหตุผล ดังนั้นมันจะแสดงผลออกมาในรูปของสัญชาตญาณ การหยั่งรู้หรือความรู้สึกสังหรณ์ ซึ่งไม่มีเหตุผล แต่ถ้าตัดสินใจไปตามนั้นแล้วถูกต้อง กระบวนการนี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยชีววิทยา คืออยู่นอกเหนือความสามารถของวิทยาศาสตร์ที่จะอธิบาย

- การวิเคราะห์แบบองค์รวม
สมองซีกซ้ายจะทำงานโดยเรียนรู้จากส่วนย่อยไปหาส่วนใหญ่ แต่สมองซีกขวาจะกลับกัน มันจะมององค์รวม คือส่วนใหญ่ก่อนแล้วค่อยไปหาส่วนย่อย เพราะการพบหลักใหญ่เป็นเรื่องสำคัญกว่าเพราะจะมองเห็นองค์ประกอบทั้งหมดได้ เห็นจุดสำคัญทุกจุดถ้าอยากลงไปหาส่วนย่อยที่จุดไหนก็ไม่ใช่เรื่องยาก

อัจฉริยะของโลกล้วนคิดย้อนกลับจากองค์รวมก่อนแล้วค่อยมาแยกย่อย ทั้งไอน์สไตน์ นิวตัน เช่นเกลันเจโล อัจฉริยะด้านศิลปะ มีคนถามว่าทำไมแกะสลักรูปปั้นเดวิดได้งดงามหัศจรรย์ เขาตอบว่า ตอนที่หินก้อนใหญ่อยู่ตรงหน้าเขาเห็นรูปเดวิดอยู่ในหินก้อนนั้นแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือสกัดส่วนที่ไม่ใช่เดวิดออกไป จะเห็นได้ว่าเขาใช้สมองซีกขวาจิตนาการถึงองค์รวมก่อน แล้วจึงค่อยส่งสัญญาณไปที่สมองซีกซ้ายให้หาเครื่องมือ หาวิธีสกัดไปตามจิตนาการนั้น

- สมองซีกขวากับการวางแผน
การวางแผนหรือวางลำดับงานเป็นเรื่องสำคัญ การที่จะวางแผนได้อย่างแยบยล หรือจัดลำดับงานได้อย่างซับซ้อน ต้องเข้าใจองค์ประกอบโดยรวมเสียก่อน การรู้รอบก่อนรู้ลึกเป็นเรื่องสำคัญ คนคิดการณ์ใหญ่ต้องคิดใหญ่ และบางครั้งต้องรู้จักสละผลประโยชน์ส่วนย่อยเพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า คิดเล็กคิดน้อยจะพลาดเป้าหมายที่สำคัญไป ทักษะในการตัดสินใจที่แท้จริงต้องมองเห็นภาพรวม เห็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้วเท่านั้น การตัดสินใจใด ๆ มาจากข้อมูลที่แยกย่อยจะมีโอกาสผิดพลาดสูงมาก

- การพัฒนาสมองซีกขวา
คลื่นสมองทั้งสองซีกของมนุษย์จะมีความถี่เป็นอิสระต่อกัน แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่า การนั่งสมาธิ จะทำให้เกิดการปรับของความถี่คลื่นสมองซีกซ้ายและซีกขวา ให้ขึ้นลงในจังหวะเดียวกัน การปฏิบัติธรรมฝึกเจริญสติ เป็นการพัฒนาสมองซีกขวาที่ดีที่สุด สมองซีกขวาไม่ชอบความซ้ำซาก จำเจ ดังนั้นการเปลี่ยนวิธีการดำรงชีวิตประจำวันก็มีส่วนช่วยพัฒนาสมองซีกนี้ เช่น เปลี่ยนตำแหน่งที่นั่งทำงาน เข้าร่วมกิจกรรมแปลก ๆ ใหม่ ๆ

- จุดอ่อนของสมองซีกขวา
ข้อพึงระวังในการใช้สมองซีกขวาคือ กำจัดอารมณ์เชิงลบออกไปจากสมองเสียก่อนจะตัดสินใจ เพราะถ้าปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำ ไม่ว่าโกรธ กลัว หงุดหงิด อคติ อิจฉาริษยา ตระหนี่ คับข้องใจ ฯลฯ เกิดขึ้น การตัดสินใจด้วยสมองซีกขวาจะอันตรายกว่าการติดสินใจด้วยสมองซีกซ้ายมาก อารมณ์จะเป็นตัวเหนี่ยวนำ ทำให้เกิดการติดสินใจผิดไปแบบชนิดที่เรียกว่าคนละขั้วเลยทีเดียว

กำลังของสติ
สมองของมนุษย์ทั้งสองซีกสามารถความคุมและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ด้วย กำลังสติ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดมีสมองซีกเหมือนกับมนุษย์แต่สิ่งที่ทำให้สัตว์เหล่านั้นไม่สามารถใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ก็เพราะว่าพวกมันขาด สติสัมปชัญญะ

สติ คือความระลึกได้ถึงสิ่งที่ทำ คำที่พูด และเรื่องที่คิดทั้งที่เคยทำมาแล้ว และจะทำในอนาคตส่วนสัมปชัญญะหมายถึง ความรู้ตัว ถึงสิ่งที่เป็นไปในปัจจุบัน รู้ว่ากำลังทำ กำลังพูดหรือกำลังคิดอะไร สติทำให้ฉุดคิดขึ้นได้ รับรู้อารมณ์ เกิดการยับยั้งชั่งใจไม่เผลอ เช่นขณะเกิดวิกฤติ สติจะทำให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที

สติเป็นเจตสิกที่คุณสมบัติพิเศษ คือมันสามารถควบคุมทิศทางของจิตได้ เปรียบ จิตเป็นเรือสติก็คือหางเสือที่ติดเรือนั้นจะมีกำลังมากเพียงใด แต่ถ้าขาดหางเสือก็ไม่มีประโยชน์

การจะกำหนดสติจนเกิดปัญญาเข้าใจในความจริงแท้ของธรรมชาติต้องฝึกใช้สติจับที่อาการไม่ใช่รูป เช่นถ้ามีรสกระทบที่ลิ้นให้กำหนดเพียงแค่อาการขณะกระทบ ไม่แยกว่าเปรี้ยว หวาน เค็ม เพราะสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งสมมติที่มนุษย์ตั้งขึ้นมา เรียกเมื่อรับรู้ ผ่านผัสสะทางทวาร 6 หากปราศจากทวาร 6 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเหล่านี้ก็ไม่มีอยู่จริง ดังนั้นถ้าต้องการเข้าถึงความจริงแท้ต้องพยายามตัดสิ่งสมมติที่ฝังอยู่ในสมองออกให้หมด

เคล็ดลับในการพัฒนาประสิทธิภาพของสมองซีกขวาก็คือ การฝึกสติจับที่อาการ เพราะสมองซีกนี้จะทำหน้าที่รับรู้เกี่ยวกับการสัมผัส การเคลื่อนไหว อาการ ลีลา ท่าทาง และสิ่งที่เป็นนามธรรม

เคล็ดลับการจับจิต
เราทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่า งามจับใจ หรืองามจับจิต สองคำนี้มีความหมายต่างกัน งามจับใจคือความรู้สึกทางใจ ยินดี พอใจ ชอบ เกิดความสุขเมื่อได้เห็น ส่วนงามจับจิตเป็นความรู้สึกทางจิตซึ่งหมายความว่าหลังจากได้เห็นจะเกิดราคะ รัก หลง บูชา อิจฉาริษยาฯลฯ มีอารมณ์ต่างกันไป การฝึกสติที่สำคัญอีกสองฐานคือ การตั้งสติ เฝ้าดูความรู้สึกทางใจและจิต

การกำหนดสติไปที่จิตขณะรับอารมณ์ก็เป็นการฝึกเจริญสติ เพราะกลุ่มดวงจิตจะผุดขึ้นมาสร้างอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ มากมายเช่น ตื่นเต้น โกธร เกลียด ดีใจ เสียใจ อิจฉาริษยา แค้น อาฆาต หัวใจสำคัญของการกำหนดสติอยู่ที่ความต่อเนื่อง เมื่อมองความรู้สึกอย่างต่อเนื่องโดยปราศจากการต่อต้าน กลับจะทำให้สามารถความคุมมันได้ การตั้งสติตามดูจิตอย่างจดจ่อจริง ๆ โดยไม่คิดไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นก็คือความรู้สึกนั้นๆ จะค่อย ๆ เลือนหายไปเอง เคล็ดลับก็คือ อย่าอยากให้มันหาย เพราะถ้ายิ่งอยากมันจะยิ่งไม่หาย แต่ความรู้สึกเหล่านี้มันขี้อาย พอรู้ว่าเราจ้องอยู่ มันจะหลบไปทันที แล้วค่อย ๆ ผลุบ ๆ โผล่ ๆ รอออกมาตอนที่เราขาดสติ

จุดสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการฝึกสติคือ อย่าตั้งใจเพ่งจนเกินไป หรือพยายามฝืนความรู้สึก ฝืนความคิดตนเอง อย่าพยายามไปกด ไปบังคับ หรือเปลี่ยนแปลงความคิดเพราะจะไม่เข้าใจธรรมชาติตามแบบฉบับของตน

วิปัสสนาคือการตั้งสติเฝ้าดู แค่รู้เฉยๆ ไม่ต้องไปทำอะไร เพียงแต่รู้ตามอาการที่เกิดขึ้นและเข้าใจธรรมชาติของมันทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาย่อมไม่เที่ยงเสมอ พยายามจับความไม่เที่ยงให้ได้ถ้ารู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกเมื่อไร ก็คือความสามารถในการความคุมสมองซีกขวา

การพัฒนาความรู้สึก

1. จงเปลี่ยนความอยากให้เป็นความเชื่อแล้วเมื่อนั้นแรงบันดาลใจจะบังเกิด
2. การศึกษาหาความรู้จะทำให้ความคิดเปลี่ยนแต่ความรู้สึกไม่เปลี่ยน ต้องใช้สตินำความคิดเข้าไปเปลี่ยนความรู้สึก
3. ถ้าคุณเชื่อและรับความรู้สึกราวกับว่ามันเป็นเช่นนั้น กาย จิตใต้สำนึกและพลังจักวาลจะเหนี่ยวนำสิ่งนั้นให้เกิดขึ้นจริง
4. ความรู้สึกเชิงลบทุกชนิดไม่เป็นผลดีกับชีวิตไม่ต้องไปทำลาย เพียงแต่กำหนดสติเฝ้าดูให้รู้เท่ากัน
5. การคิดบวกคือจุดเริ่มต้นของการสร้างความรู้สึกดี ๆ
6. คนที่จับความรู้สึกได้จะไม่ทำร้ายจิตใจของคนอื่น และจะไม่ทำอย่างที่ตนเองเคยรู้สึกไม่ดีกับคนอื่น ๆ
7. การลอกความคิดดี ๆ เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์แต่การลอกความรู้สึกดี ๆ มีแต่จะก้าวหน้า
8. ถ้าคุณรู้สึกเหงา ให้คิดว่าไม่เหงา เป็นการใช้สมองซีกซ้ายมาเปลี่ยนความรู้สึก

สรุปความลับนั่นก็คือ
• เมื่อใดที่เราสร้างภาพแห่งอนาคตได้ชัดเจนเท่ากับภาพในอดีต เหมือนกับว่าเคยผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว รู้สึกว่าเกิดขึ้นจริงแน่นอน เมื่อนั้นเราก็จะสามารถกำหนดอนาคตให้เป็นดั่งภาพในจินตนาการได้
• เคล็ดลับของอัจฉริยะ คือการสร้างภาพที่ชัดเจนขึ้นในใจก่อนเสมอ
• มนุษย์มีสิ่งล้ำค่าอย่างหนึ่งนั่นคือ "สติสัมปชัญญะ" ที่คอยควบคุมดูแลอารมณ์ ความรู้สึก ตลอดไปถึงความคิด
• ความคิด ส่งผลต่อเซลล์ทุกเซลล์ในทุกระบบของร่างกาย และสามารถส่งผลไปถึงเซลล์ของคนอื่นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ในระบบประสาท ดังนั้น จงพยายามคิดบวกอยู่เสมอ
• การ "ให้" คือการเพิ่ม ให้บวก..บวกในตัวคุณก็จะเพิ่ม ให้ลบ ลบในตัวคุณก็จะเพิ่ม เช่น ยิ่งให้ยิ่งเก่ง ยิ่งสอนยิ่งรู้ ยิ่งเรียนยิ่งฉลาด ยิ่งบริจาคยิ่งรวย
• จักรวาลมีคลื่นความถี่ ตัวเราเปรียบเสมือนจอรับภาพ ถ้าต้องการภาพชีวิตแบบไหน ก็เพียงแต่ปรับความถี่ของจอรับภาพให้ตรงกับคลื่นความถี่ของจักรวาล
• จิตใต้สำนึก คือฐานข้อมูลของความคิด และความรู้สึกที่เกิดขึ้นซ้ำกันบ่อยๆจนตกตะกอนแล้ว
• เมื่อเราฝึกคิดบวกจนเป็นนิสัย จิตใต้สำนึกก็จะบันดาลให้สิ่งที่เราคิดเกิดขึ้นจริง แล้วจะพบว่าสิ่งดีๆเข้ามาสู่ชีวิตเรามากมายอย่างไม่น่าเชื่อ
• จิตใต้สำนึกทำงานแม้ในขณะหลับ ดังนั้น ในแต่ละวันควรระลึกถึงสิ่งดีๆที่ได้ทำลงไปก่อนล้มตัวลงนอน เพื่อจะได้ตื่นเช้าวันใหม่ด้วยความสดชื่น สมองแจ่มใส
• จิตใต้สำนึกมีพลังอำนาจมากว่าจิตสำนึกหลายหมื่นหลายแสนเท่า การทำงานของจิตใต้สำนึกอยู่เหนือมิติที่สี่
• จิตใต้สำนึก เป็นสิ่งที่เราสั่งสมไว้ในภวังคจิตมานานหลายภพหลายชาติ รวมทั้งชาติปัจจุบัน จึงทำให้เรามีพื้นฐานจิต อุปนิสัย หรือจริตที่แตกต่างจากคนอื่น ตามประสบการณ์ที่เราสั่งสมมา
• ทุกครั้งที่ทำความดี จงจดจำความรู้สึกดีดีนั้นไว้ ให้ประทับอยู่ในใจเรา สิ่งนี้จะเป็นพลังให้เรามีกำลังใจที่จะทำความดีอยู่อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญกว่านั้น พลังนี้จะดึงดูดสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นในชีวิตเราอย่างน่าอัศจรรย์
• กฎลับ 4ข้อ หนึ่ง.. ตั้งจิตอธิษฐานขอโดยปราศจากความอยาก เพื่อป้องกันความกระวนกระวายสอง.. มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราขอว่าเป็นจริงได้โดยไม่มีข้อลังเลสงสัย สาม..จินตนาการภาพแห่งความรู้สึกว่าสิ่งนั้นได้มาแล้วด้วยความรู้สึกปรีดาและมีความสุข สี่..เตรียมความพร้อมทั้งกายและใจ
• อย่าอธิษฐานขอที่เป้าหมาย แต่ให้ขอสิ่งที่จะทำไปให้ถึงเป้าหมายแทน เช่นขอให้มีพลังแรงกายแรงใจ มีสติปัญญาให้ไปถึงเป้าหมายนั้น เป็นต้น
• ความกลัวเป็นตัวขัดขวางศักยภาพของจิตอย่างรุนแรง ทำลายสุขภาพทั้งกายและใจ
• ความกลัวจัดเป็นความคิดด้านลบ เมื่อกลัวบ่อยๆ จิตใต้สำนึกจะบันทึกภาพนั้น แล้วเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นจริง
• เมื่อใดเรามีสติ ความคิดลบที่เกิดขึ้นในสมองจะไม่มีทางหลุดฝังลงไปในจิตใต้สำนึกได้
• เผชิญกับคนคิดลบ ต้องสร้างพลังบวกให้มากๆ(คบคนพาล พาลพาไปหาผิด)..แต่ยิ่งคบคนที่คิดบวก.บวกในตัวเราก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น(คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล)
• ถ้าเราคิดดี..สิ่งดีๆจะเข้ามาในชีวิต ถ้าเราคิดลบ สิ่งที่ไม่ดีก็จะเข้ามาในชีวิต
• เมื่อชีวิตพบกับอุปสรรค จงคิดบวก มองวิกฤตเป็นโอกาส เราก็จะมีพลังด้านบวกเพิ่มขึ้น มีความหวังและนั่นก็หมายถึงสิ่งดีๆ.ก็จะเข้ามาในชีวิตต่อไป
• การหัวเราะ จะทำให้คลื่นรังสีออร่ารอบๆตัวเป็นสีสดใส คลื่นบวกของสิ่งแวดล้อมจะมาออรอบๆตัวเรา เสียงหัวเราะมีพลังดึงดูดสูงมาก และมันสามารถดึงพลังคลื่นบวกแห่งจักรวาลเข้ามาสู่ตัวเรา
• ความรู้สึก "พอ" จะทำให้ชีวิตมีความสุข และเกิดความรู้สึกอยากแบ่งปันให้ผู้อื่น ความรู้สึกนี้จะเป็นพลังดึงดูดที่ทรงอานุภาพและเป็นทางลัดที่ง่ายที่สุดในการที่จะนำความมั่งคั่งมาสู่ตัวเรา
• จงแผ่เมตตาให้ทุกสรรพสิ่ง เพราะมีการทดลองพบว่ามีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพุ่งออกมาจากร่างกายขณะทีแผ่เมตตา
• จงมีสติทุกครั้งที่ระลึกและรู้สึกตัว ให้เข้าไปดูความรู้สึกและปรับให้เป็นบวกเสมอ
• ความรู้สึกเป็นกรรมเก่า ความคิดคือกรรมปัจจุบัน การจะตัดความรู้สึกต้องระดมพลังความคิดบวกให้เข้มข้น แล้วบีบอัด จนกลายเป็นความรู้สึกเชิงบวก จึงจะสามารถนำไปตัดความรู้สึกลบได้ (ระงับได้ด้วยการเจริญสติ)
• หมั่นใช้ปัญญาวิเคราะห์ความรู้สึก ว่าจะเหนี่ยวนำให้ความคิดเป็นบวกหรือลบ
• การคิดลบจะเกิดเป็นความรู้สึกฝังอยู่ในจิต เป็นกรรมติดตัว แต่ถ้าคิดบวก ก็จะเป็นการสกัดไม่ให้กรรมใหม่เกิดขึ้นอีก
• จงคิดบวกเสมอไม่ว่าสถานการณ์ใด คิดแต่สิ่งดีๆทำแต่สิ่งดีๆ แล้วจิตใต้สำนึกจะดึงดูดสิ่งที่ดีๆเหมือนกันเข้ามา ชีวิตเราก็จะไปสู่สิ่งที่ดี
• สิ่งที่สกัดกิเลสตัณหาได้มีเพียงสิ่งเดียวคือ "สติสัมปชัญญะ" เพราะเป็นตัวเฝ้าทวารทั้งขาเข้าและออก
• ในที่สุดเราก็จะรู้ว่า ทุกสิ่งแม้แต่ความรู้สึกก็ไม่มีอยู่จริง เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เหมือนฟองสบู่ที่เกิดดับภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว

ไม่มีความคิดเห็น: