วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

สามก๊ก

พรรณี เสมอภาค
ศูนย์เกษตรอินทรีย์ จ.ยโสธร

มีเพื่อนพ้องน้องพี่หลายคนบอกเล่าและชวนให้อ่านสามก๊ก ก็ยืมอ่านบ้าง วางบ้างตามอัธยาศัย... แต่ก็ยังไม่เคยยอมซื้ออ่านสักที เพราะราคาแพง จนหลานสาวอายุสิบสี่อ่านจบแล้วหลายรอบ บอกว่าชอบจูล่งมากจนใช้นามปากกาว่า “สุภาพบุรุษแห่งเสียงสาน” ในการเริ่มเขียนหนังสือ มาชวนอ่านและชวนคุยเรื่องราวต่างๆ ในสามก๊ก และคุณวิชัย พิมพ์ทอง ก็บอกว่าสามก๊กเป็นหนังสือที่อยากอ่านมากที่สุด ปีนี้เผอิญไปเดินดูหนังสือเจอตอนที่เขาลดราคา 20 เปอร์เซ็นต์ และเป็นหนังสือฉบับแปลใหม่ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เลยคิดว่าต้องซื้ออ่านอย่างจริงจังเสียที ฉบับที่อ่านครั้งนี้เป็นฉบับแปลใหม่ โดย วรรณไว พัธโนทัย แปลจากต้นฉบับภาษาจีนของหลอกว้านจง ที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมส่วนที่ผิดและส่วนที่ขาดหายไป ของฉบับที่แปลโดยเจ้าพระยาพระคลังหน อ่านแล้วรู้สึกว่าต้องตั้งใจศึกษาแง่มุมและข้อคิดหลายด้านจากสามก๊ก ก็อยากเชิญชวนให้ลองอ่านดู มีคำกล่าวที่ว่า “ดูหนัง ดูละคร แล้วกลับมาย้อนดูตัว” เมื่ออ่านวรรณกรรมแล้วก็น่าจะย้อนมองตนด้วยเช่นกัน

เรื่องย่อสามก๊ก (www.wikipedia.org/wiki/สามก๊ก) เป็นเรื่องตอนที่แผ่นดินจีนแบ่งแยกออกเป็นสามก๊กใหญ่ๆ นับตั้งแต่ สมัยพระเจ้าเลนเต้ กษัตริย์ราชวงศ์ฮั่น ครองราชเมื่อ พ.ศ. 711 พระเจ้าเลนเต้เป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอ ไม่สนพระทัยที่จะบริหารบ้านเมืองมัวแต่แสวงหาความสุขสำราญส่วนพระองค์ ปล่อยให้ขันทีทั้งสิบว่าราชการตามความพอใจ จนขุนนางและประชาชนได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว พระเจ้าเลนเต้มีโอรสสองพระองค์ต่างชนนีกัน จึงเป็นเหตุให้เกิดความยุ่งยากในการสืบราชสมบัติ ครั้นพระเจ้าเลนเต้สิ้นพระชนม์ โอรสองค์ใหญ่คือ หองจูเปียน ซึ่งขณะนั้นยังทรงพระเยาว์อยู่ได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ต่อมา โดยมีนางโฮเฮาพระมารดาเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่ในราชสำนักก็ยังวุ่นวายจากพวกขันทีทั้งสิบอยู่ โฮจิ๋นพี่ชายของนางโฮเฮา จึงเชิญตั๋งโต๊ะมาช่วยกำจัดพวกขันที

เมื่อเหตุการณ์เรียบร้อยเป็นปกติแล้ว ตั๋งโต๊ะก็ยึดอำนาจถอดถอนหองจูเปียงออก โดยให้เอาสุราผสมยาพิษกรอกจนสิ้นพระชนม์ จากนั้นก็สถาปนาหองจูเหียบขึ้นเป็นกษัตริย์ มีพระนามว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วตั๋งโต๊ะก็ตั้งตนเป็นพระมหาอุปราช มีฐานะเป็นบิดาบุญธรรมของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถืออำนาจบาทใหญ่กระทำการทุจริต พวกขุนนางทั้งหลายจึงคิดที่จะกำจัด ตั๋งโต๊ะ แต่ก็ไม่สำเร็จ จนอ้องอุ้นได้วางแผนส่งนางเตียวเสี้ยน ซึ่งเป็นบุตรสาวบุญธรรมไปเป็นภรรยาตั๋งโต๊ะ ให้นางใช้อุบายและมารยาหญิงทำให้ตั๋งโต๊ะผิดใจกับลิโป้ผู้เป็นทหารเอก จนกระทั่งลิโป้ฆ่าตั๋งโต๊ะตาย แต่อ้องอุ้นก็ไม่สามารถจัดการบ้านเมืองให้เรียบร้อยได้ ในที่สุดอ้องอุ้นก็ถูกลิฉุยกับกุยกีพรรคพวกของตั๋งโต๊ะฆ่า แล้วลิฉุยกับกุยกีก็บังคับพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่ใต้อำนาจ มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการบริหารบ้านเมือง พระเจ้าเหี้ยนเต้คับแค้นใจมากจึงมีรับสั่ง เรียกโจโฉมาช่วยกำจัด ลิฉุย กุยกี และพรรคพวก โจโฉยึดอำนาจในเมืองหลวงไว้ได้แล้วกำเริบ ตั้งตนเองเป็นมหาอุปราชควบคุมพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่ใต้อำนาจ ข่มเหงพวกขุนนางที่สุจริตและเหล่าราษฎร พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงใช้พระโลหิตเขียนหนังสือลับไปขอร้องให้ขุนนางที่จงรักภักดีช่วยกำจัดโจโฉแต่ถูกโจโฉจับได้ ขุนนางเหล่านั้นก็ถูกฆ่าตายหมดแม้แต่นางฮกเฮาพระมเหสีของพระองค์ก็ถูกจับไปฆ่าเช่นกัน พวกเจ้าเมืองต่างๆ ได้ทราบพฤติการณ์อันเลวทรามของโจโฉก็ไม่พอใจ คิดจะช่วยเหลือพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงพากันกระด้างกระเดื่องขึ้น โจโฉก็ให้จัดกองทัพไปปราบปราม สงครามจึงเกิดขึ้น โจโฉสามารถปราบเมืองต่างๆ ได้สำเร็จ แต่ไม่อาจปราบเล่าปี่ เจ้าเมืองเสฉวน และซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งได้

เล่าปี่เป็นเชื้อสายพระราชวงศ์ฮั่นแต่ยากจนอนาถา ได้คนมีฝีมือไว้เป็นทหารหลายคน แต่มีกำลังไพร่พลน้อยต้องคอยหลบหนีฝ่ายศัตรูอยู่เสมอ จนกระทั่งได้ขงเบ้งมาเป็นที่ปรึกษาจึงสามารถตั้งตนเป็นเจ้าเมืองเสฉวนได้ ส่วนซุนกวนเป็นเจ้าเมืองกังตั๋งโดยการสืบสกุล เป็นคนดีมีศีลธรรม ปกครองบ้านเมืองด้วยความเป็นธรรม จึงมีคนเคารพนับถือเข้ามาเป็นพวกมายมาย เมื่อโจโฉตาย โจผีบุตรชายของโจโฉครองตำแหน่งมหาอุปราชแทนแล้วต่อมาก็กบฏ ปลดพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากบัลลังก์ แล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ มีพระนามว่าพระเจ้าอ้วนโซ่ ตั้งราชวงศ์ขึ้นใหม่ คือ ราชวงศ์วุย เล่าปี่ถือว่าตนเองเป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่น ไม่ยอมรับพระเจ้าโจผีเป็นกษัตริย์ จึงตั้งตัวเองเป็นกษัตริย์สืบราชวงศ์ฮั่นใช้เมืองเสฉวนเป็นราชธานี ซุนกวนก็ไม่ยอมขึ้นกับพระเจ้าโจผีหรือเล่าปี่ ก็ตั้งตัวเป็นกษัตริย์บ้างมีเมืองกังตั๋งเป็นราชธานี

ประเทศจีนขณะนั้น จึงแยกเป็น 3 อาณาจักร หรือเรียกว่า สามก๊ก อาณาจักร ของเล่าปี่ เรียกว่า "จ๊กก๊ก" อาณาจักรของพระเจ้าซุนกวน เรียกว่า "ง่อก๊ก" และอาณาจักรของพระเจ้าโจผี เรียกว่า "วุยก๊ก"

ต่อมาเมื่อพระเจ้าเล่าปี่ พระเจ้าซุนกวน และพระเจ้าโจผีสิ้นพระชนม์แล้ว เชื้อสายที่สืบราชสมบัติต่อมาก็อ่อนแอลง สุมาเจียวซึ่งเป็นมหาอุปราชของวุยก๊กสามารถจับตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนมาเป็นเชลยได้ จึงรวมอาณาจักรจ๊กก๊กเข้ากับวุยก๊กได้ พอสุมาเจียวตายแล้ว สุมาเอี๋ยน ผู้เป็นบุตรชายสืบตำแหน่งแทน และได้ชิงราชสมบัติของวุยก๊กจากพระเจ้าโจฮวน แล้วตั้งตนเองเป็นกษัตริย์แทน ตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้น เรียกว่า ราชวงศ์จิ๋น พระเจ้าสุมาเอี๋ยนสามารถปราบพระเจ้าซุนโฮแห่งง่อก๊กให้ยอมสวามิภักดิ์ได้ แผ่นดินจีนทั้ง 3 อาณาจักรก็รวมกันเป็นอาณาจักรเดียว เรียกว่า เมืองไต้จิ๋น สงครามที่ดำเนินมานานก็สงบลงอย่างเด็ดขาด

สุดท้ายสามก๊กก็กลับเข้ารวมเป็นก๊กเดียวอยู่ในเมืองจิ้นราชอาณาจักรของพระเจ้าสมาเอี๋ยน และนี่ก็สมดั่งที่ผู้เขียนว่าไว้ในตอนต้นว่า “ธรรมดาสรรพสิ่งในใต้ฟ้าเมื่อแยกกันนานๆ ก็กลับเข้ารวมกันและเมื่อรวมกันนานๆ ก็กลับแยกกันอีก” ด้วยประการฉะนี้ อ่านจบสามก๊กจบแล้ว จะรู้จักตน และรู้จักคน.......

เรื่องสามก๊กนี้เรียกได้ว่านักอ่าน นักบริหาร นักปกครอง ส่วนใหญ่จะต้องรู้จักหรือคุ้นกับ วรรณกรรมชิ้นนี้ดี เพราะเป็นวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ที่มีคำกล่าวว่าดีที่สุดในโลก แฝงไปด้วยข้อคิดสอนใจต่างๆ นานา สามารถประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ปัญหาต่างๆ ได้ดี ในทุกยุคทุกสมัย แม้กระทั่งสถานการณ์ปัญหาทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ศิลปะและกลยุทธ์ต่างๆ จะสามารถพบเห็นได้จากเรื่องนี้โดยตลอด ไม่ว่าเป็นศิลปะการใช้คน กลยุทธ์การเป็นผู้นำ บทวิเคราะห์ สถานการณ์ต่างๆ จนมีคนกล่าวไว้ว่า "ผู้ใดอ่านสามก๊กจบสามหน คบไม่ได้" หรือวลีอมตะที่ว่า “อย่าพึ่งคิดทำการใหญ่ ถ้ายังไม่ได้อ่านสามก๊ก” หรือมีบางคนบอกว่าอยากเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองไทยช่วงนี้และช่วงต่อไป ก็ต้องอ่านสามก๊ก ในหนังสือฉบับแปลใหม่ คุณวรรณไว ได้กล่าวไว้ว่า “แม้จะอ่านสามครั้ง ขอจงเอาแต่ส่วนดีส่วนคุณธรรม สักสามเท่าตัว ก็จะเป็นคนที่น่าคบหาสมาคมด้วยยิ่งกว่าสามเท่าแน่นอน” จะจริงแท้แค่ไหน ก็ลองอ่านดูเองก็แล้วกัน

ไม่มีความคิดเห็น: